ความคิดเห็นที่ 1 เคยได้ข่าวที่นั่นเค้าเผยแพร่คริสต์อย่างหนัก คนเกาหลีก็เปลี่ยนจากพุทธเป็นคริสต์ไปค่อนประเทศแล้ว เพราะฉะนั้น คนไทยกลุ่มนั้นอาจรู้สึกดีก็เป็นได้ แล้วแต่เค้าเถอะครับ จากคุณ : www3www เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 13:44:46

ความคิดเห็นที่ 2 พวกเราชาวพุทธทุกๆท่านก็ขอให้ทำหน้าที่เป็นชาวพุทธที่ดี ช่วยๆกันเผยแพร่พระพุทธศาสนาทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม และขอให้อย่ามัวแต่จะหาเรื่องทะเลาะกันเองเลยนะครับ เอาเวลาไปช่วยกันเผยแพร่พระพุทธศาสนากันดีกว่านะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 14:00:30

ความคิดเห็นที่ 3 เ็ป็นเรื่องน่ายินดีของชาวคริสต์ครับ ถ้ามองในมุมที่กลับกันนะ เหมือนอย่างเวลาที่เราตั้งกระทู้ว่า พระุพุทธศาสนาไปงอกงามในต่างแดน ในดินแดนตะวันตก ชาวคริสต์เขาอาจจะรู้สึกเหนื่อยใจก็เป็นไปได้ อย่างน้อยศาสนาคริสต์ก็เป็น กรรมวาที คือยึดถือคำสอนที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีนรก มีสวรรค์ ต่างจากหลายๆคนในปัจจุบันที่เชื่อว่าคนเราตายแล้วเกิดแค่ชาติเดียว ชาตินี้ต้องรีบๆรวย จะได้สุขสบาย อันนี้สิน่าเหนื่อยใจ เพราะเป็นความเห็นผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 14:30:37

ความคิดเห็นที่ 4 แก่นธรรมนี่พูดถึงกันมาก อะไรคือแก่นธรรม อ่านหนังสือเดี๋ยวก็คงเจอ อ่านเจอแล้วพ้นทุกข์มั้ย ก็คงจะไม่ ศาสนาคริสต์ก็ไม่เลว ถ้าเขาพ้นทุกข์ได้ก็ดี เป็นเรื่องที่ดีจริงมั้ย คำถามก็คือ พวกเราชาวพุทธพ้นทุกข์แล้วหรือยัง? จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 14:38:44

ความคิดเห็นที่ 5 การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เป็นเชิงรุกอย่างมากๆ ถึงขนาดมาสอนถึงบ้าน ที่เราเจอนะมาบ้านบ่อย แล้ว ถ้าเรายุ่งกับงานบ้าน พวกเขาถึงขนาดพร้อมจะส่งคนมาช่วยทำงานบ้านให้เลย ขอเพียงให้โอกาสเขามาเคุยด้วย แต่ของศาสนาพุทธโดยเฉพาะในประเทศไทย ปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็น เขิงรับ สมัยโบราณ เราคิดว่าศาสนาพุทธเผยแพร่ในเชิงรุกนะ จากคุณ : กังกา เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 14:49:00

ความคิดเห็นที่ 6 การเปลี่ยนศาสนาก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน  อาจจะเรียกว่าเป็นการถูกจริตของแต่ละคนก็ได้ จะพุทธไปเป็นคริสต์ก็ดี  จะคริสต์มาเป็นพุทธก็ดี ประเด็นคือถ้ามันทำให้แต่ละคนพ้นทุกข์ หรือลด ละ เลิกในสิ่งไม่ดี เปลี่ยนนิสัยเลวๆได้ ศาสนาไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ เปลี่ยนจากพุทธเป็นคริสต์แล้วทำตัวดีขึ้น เลิกทำตัวแย่ เลิกอบายมุขได้  ผมอนุโมทนาด้วยความยินดีนะ ดีกว่าพวกที่รู้ทุกอย่าง  รู้หมด  เป็นพระคัมภีร์ เป็นไบเบิ้ล เป็นพระไตรปิฏกเคลื่อนที่  แต่ยังไม่เลิกอบายมุข ท้าตีท้าต่อย ทำตัวสถุลระรานอยู่  พวกน้รู้ทุกเรื่องรู้ทุกเรื่อง  ยกเว้น เรื่องของตัวเอง อันนี้สิ ศาสนาไม่ช่วยอะไรเลย จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:01:54

ความคิดเห็นที่ 7 "พุทธไม่เคยทำให้เขาพ้นทุกข์" เพราะพระในศาสนาพุทธไม่เคยเอาเงินไปให้เขา ไม่เคยช่วยเหลือเขาด้านการศึกษา แต่ถ้าเขาไปนับถือคริสต์ บาทหลวงจะช่วย เอาเงินให้บ้าง ส่งลูกให้เรียนบ้าง แรงงานไทยเหล่านั้น คิดแต่เรื่องความลำบากเฉพาะหน้าครับ และคนส่วนมากที่พูดอย่างนี้  ก็ไม่รู้จักว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร คนที่หวังจะพ้นทุกข์แบบพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดมีน้อยครับ  แต่คนที่ชอบพ้นความลำบากเฉพาะหน้ามีเยอะ เหมือนที่มีพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า "คนจำนวนน้อยที่จะข้ามถึงฝั่ง ส่วนมากก็มีแต่เลาะๆชายฝั่ง" แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 16:21:36 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:19:24

ความคิดเห็นที่ 8 จะคริสต์หรือพุทธ ผมต้องการแค่ขอให้รอยยิ้มบังเกิดขึ้นบนใบหน้าเขาก็พอแล้วครับ ผมอยากให้ทุกคนเข้าถึงศาสนาทุกศาสนาจริง ๆ ก็แล้วกันครับ ผมอยากให้ทุกคนบนโลกมีศาสนาในหัวใจมีเมตตาจริง ๆ ทุกคนบนโลก ดีกว่าคนที่ไม่มีศาสนาหรือคนที่มีศาสนาแต่กายแต่จิตใจไม่ได้เข้าถึงเลย  แล้วจะรุ้ว่าโลกนี้มีแต่สันตินะ ถ้าทุกคนเข้าถึงศาสนาและอย่าได้พูดคุยกันถึงเรื่องสุดทางของแต่ละศาสนาเลยครับ เพราะว่า แต่ละศาสนามีการปฏิบัติตนต่อเพื่อนร่วมโลกให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติอยู่แล้ว ส่วนเรื่องลึก ๆ นั้นก็เหมือน คนต้องการศึกษาให้สำเร็จอะไรก็พึงศึกษาสิ่งนั้น ๆ ให้สำเร็จ แต่ชีวิตก็ยังต้องอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขให้ได้อยู่ดีครับ ผมยินดีเป็นคริสต์ ยินดีเป็นอิสลาม ยินดีเป็นพุทธถ้าจะทำให้สังคมโลกนี้มีรอยยิ้มที่เกิดจากใบหน้าผมและคนที่เห็นผมเพิ่มขึ้นมาสักคนสองคนผมก็ดีใจแล้วครับ จากคุณ : powerinvincible เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:25:18

ความคิดเห็นที่ 9 เพราะผมมองรอบตัวผมมองเห็นแต่พี่น้องร่วมโลก ผมไม่เห็นสวรรค์ ในนิมิต หรือพระพุทธเจ้าหรือเทวดาหรือมารร้ายซาตานหรือพระเจ้าในใด ๆ นอกจากพวกเรา และถึงแม้จะบอกว่าพระเจ้าเทวดา เทพ มาร ซาตานใด  แฝงอยู่แต่ผมพึงเห็นสิ่งที่พึงเห็นพึงประจักษ์ชัดด้วยเหตุด้วยผลว่า ผมเห็นพวกคุณทุกคนผมเห็นเพื่อน ๆ ของผม และสรรพสัตว์มากมายที่ร่วมดำเนินวิถีสุขทุกข์ นี่คือสิ่งที่ผมต้องรีบกระทำ ไม่ใช่โลกอื่นโลกไหนสวรรค์อื่นใด แต่เป็นโลกนี้ที่ผมต้องเริ่มรักให้ได้ก่อนสวรรค์หรือโลกอื่น จากคุณ : powerinvincible เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:28:18

ความคิดเห็นที่ 10 ผมเชื่อว่า เมื่อพระพุทธเจ้าจะเผยแพร่ศาสนาพุทธ  พระองค์คงเชื่อมั่นแล้วว่า นี่คือของจริง นี่คือ ของแท้   ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเท่าไรก็ตาม   สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็ชั่งเขา จากคุณ : Terawat เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:32:08

ความคิดเห็นที่ 11 รายการนี้ได้ดูอยู่ คุณวรรณสิงห์เป็นคนฉลาด พูดดี เป็นกลางดีพอสมควร ดำเนินรายการได้ดี แต่ยังขาดความลุ่มลึกในความรู้ด้านศาสนา เขารู้แค่ผิวๆ จึงสัมภาษณ์ได้แค่ผิวๆ   อย่าลืมว่า ศาสนานั้นมีมาเป็นพันๆ ปี ก่อนหน้านี้แล้ว เนื้อหาสาระจริงๆ นั้น ลึกล้ำมาก ขอพูดตรงๆ ที่บุคคล อย่ามาหาว่าลบหลู่ศาสนานะ เพราะศาสนาคริสต์ เขาถือว่ามนุษย์เป็นคนบาปอยู่แล้ว เราพูดเรื่องคนบาปตามความเป็นจริง ว่ากันตรงๆ นะ การเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์  อาจเป็นแค่การสนองความมักง่ายในใจตนได้มากขึ้น คนส่วนใหญ่ที่เปลี่ยน มักพูดเรื่องศีล 5 ที่ตัวเองรักษาไม่ค่อยได้ คงจะกระอักกระอ่วนใจ ถ้ายังเป็นชาวพุทธ นี่คือความละอายใจ ในกรณีคนส่วนหนึ่ง อาจจะไม่ได้เจิงจังเรื่องศาสนา แต่ก็ถือไปตามทะเบียนบ้าน ใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะใช้ แต่ก็ยอมรับความจริง ถึงเวลาเขาก็ทำบุญบ้าง แต่บางคน แทนที่จะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนชีวิตรักษาศีลธรรมพื้นๆ แค่ 5 ข้อ กลับเปลี่ยนศาสนาไป เพื่อชดเชยศีลที่ตนกระพร่องกระแพร่งนั้น ก็เสมือนจะหาอะไรมาแลกบาปที่คาใจอยู่นั่นละ ทั้งยังได้ข้ออ้างทำผิดศีล 5 ได้มากขึ้น ได้โดยตามความเชื่อว่า พระเยซูเขาไถ่บาปได้ ล้างบาปได้ ดังนั้นต่อไป การฆ่าสัตว์เพื่อกิน หรือเป็นอาชีพ ก็จะไม่รู้สึกละอายหรือมีบาปในใจเท่าตอนเป็นชาวพุทธ หรือแม้ตอนกินเหล้า ก็ไม่รู้สึกละอายเท่าไหร่ เพราะศาสนาคริสต์ไม่ได้ห้ามแบบเบ็ดเสร็จ ว่ากันง่ายๆ คือ ความเชื่อบางอย่าง สนองมาตราฐานศีลธรรมที่ต่ำลงของบางคนนั่นละ และการทำแบบนี้ มันจะยิ่งทำให้คนคนนั้นจมลง เพราะถ้าเขามีโอกาสเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่สนองความมักง่ายกว่านี้ได้อีก เขาก็จะเปลี่ยนศาสนาใหม่อีก การที่บางคนบอกว่า ศาสนาพุทธไม่เคยเอาเงินให้เขา แสดงว่า เขาเป็นคนที่มองโลกในมุมแคบๆ เพราะเรื่องการกุศลนั้น ในองค์กรของพุทธศาสนา ก็มีการกุศลช่วยคนมากมาย เพียงแต่เขาไม่ได้พบเจอเท่านั้นเอง เพราะมองได้แค่นั้น ชีวิตเขาก็เหมือนเอาเศษเงินซื้อได้ ถ้าชีวิตคนเอาเศษเงินซื้อได้ คุณก็ไม่ได้ต่างจาก ผู้หญิงที่ขายบริการ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว จิตวิญญาณคุณจะมีเหลือคุณค่าอะไร? จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 17:12:51

ความคิดเห็นที่ 12 . . . . . . เสียใจทำไม  บัวมีตั้ง 3 เหล่าเราเสียเพียงบัวไต้น้ำ แต่เราได้คนมีคุณภาพ มากกว่านั้น . . . จากคุณ : พุทธจิต เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 18:02:55

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วแต่เธอแหล่ว ไม่ง้อ ไม่แคร์ ไม่สน จากคุณ : AnotherPractitioner เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 18:52:56

ความคิดเห็นที่ 14 ฝากข้อคิดจากบทความหนึ่งถึงจขกท.........และทุกคน....เพื่อความเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงมีการเปลี่ยนความเชื่อ.... ใครก็ตามที่จริงจังกับศาสนาของตนน่าจะคิดว่าศาสนาที่ตนนับถืออยู่นั้นถูกต้อง. มิฉะนั้นแล้ว เขาจะนับถือศาสนานั้นทำไม? คริสเตียนได้รับคำเตือนว่า “จงชันสูตรทุกสิ่ง สิ่งที่ดีนั้นจงถือไว้ให้มั่น.” (1 เธซะโลนิเก 5:21) คนเราควรตรวจดูให้แน่ใจว่า ความเชื่อของเขาได้รับการสนับสนุนจากคัมภีร์ไบเบิล เพราะความเชื่อแท้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น. เอเฟโซ 4:5 ยืนยันเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว, ความเชื่ออย่างเดียว, บัพติสมาอันเดียว.” พระเยซูไม่เห็นด้วยกับทัศนะแบบไม่จริงจังของสมัยใหม่ที่ถือว่า ศาสนาก็คือถนนหลายสาย ซึ่งทุกสายล้วนนำไปสู่ความรอด. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ตรัสว่า “ประตูคับและทางแคบซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็มีผู้พบปะน้อย.” พยานพระยะโฮวาเชื่อว่าพวกเขาได้พบทางนั้น. มิฉะนั้น พวกเขาก็คงจะมองหาศาสนาอื่นแล้ว.—มัดธาย 7:14. องค์การและงานที่พวกเขาทำทั่วโลก มีหลายช่องทางเพื่อชี้นำงานให้คำพยานซึ่งกำลังทำกันอยู่ใน 230 กว่าดินแดน. การชี้นำโดยรวมมาจากคณะกรรมการปกครอง ณ สำนักงานใหญ่ที่บรุกลิน นิวยอร์ก. ทุกปี คณะกรรมการปกครองส่งตัวแทนไปยังดินแดนต่างๆ ทั่วโลก เพื่อหารือกับผู้แทนของสาขาในภูมิภาคนั้นๆ. ในสำนักงานสาขา มีคณะกรรมการสาขาประมาณ 3 ถึง 7 คน เพื่อดูแลงานในดินแดนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของตน. บางสาขามีโรงพิมพ์ บางแห่งก็ใช้เครื่องพิมพ์แบบโรตารีความเร็วสูง. ประเทศหรือพื้นที่ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของสาขาจะถูกแบ่งเป็นภาค และแต่ละภาคก็ถูกแบ่งเป็นหมวดๆ. แต่ละหมวดประกอบด้วยประชาคมราวๆ 20 ประชาคม. ผู้ดูแลภาคเยี่ยมหมวดต่างๆ ในภาคของเขาโดยวิธีหมุนเวียนกัน. แต่ละหมวดจะจัดการประชุมใหญ่ปีละ 2 ครั้ง. นอกจากนี้ ยังมีผู้ดูแลหมวด ซึ่งตามปกติแล้วเขาจะเยี่ยมทุกประชาคมในหมวดของเขาสองครั้งต่อปี เพื่อช่วยพวกพยานฯ ในการจัดระเบียบและทำงานประกาศในเขตที่ประชาคมนั้นได้รับมอบหมาย. ประชาคมท้องถิ่นและหอประชุมเป็นศูนย์กลางในการบอกข่าวดีแก่ชุมชนของคุณ. พื้นที่ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของประชาคมแต่ละประชาคมจะถูกแบ่งเป็นเขตย่อยๆ. มีการมอบหมายเขตเหล่านี้ให้พยานฯ แต่ละคนที่พยายามจะเยี่ยมและพูดคุยกับผู้คนในบ้านทุกหลังที่อยู่ในเขตนั้น. แต่ละประชาคม ซึ่งประกอบด้วยพยานฯ ไม่กี่คนจนถึง 200 คน มีผู้ปกครองที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานในหน้าที่ต่างๆ กัน. ผู้ประกาศข่าวดีแต่ละคนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์การของพยานพระยะโฮวา. พยานพระยะโฮวาทุกคน ไม่ว่าจะรับใช้ที่สำนักงานใหญ่, ในสำนักงานสาขา, หรือในประชาคม ต่างก็ทำงานประกาศ ซึ่งก็คือการบอกผู้อื่นถึงเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. ในที่สุด รายงานเกี่ยวกับการงานเหล่านี้จะถูกส่งไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อรวบรวมและจัดพิมพ์ลงในหนังสือประจำปี. นอกจากนั้น ทุกๆ ปีจะมีการจัดพิมพ์แผนภูมิรายงานลงในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 มกราคม. สิ่งพิมพ์ทั้งสองนี้มีรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่ทำสำเร็จไปในแต่ละปีของงานให้คำพยานเกี่ยวกับพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์. เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พยานฯ และผู้สนใจประมาณ 16,000,000 คน ได้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี. พยานพระยะโฮวาใช้เวลามากกว่า 1,000,000,000 ชั่วโมงในแต่ละปีเพื่อประกาศข่าวดี และมีผู้รับบัพติสมาใหม่มากกว่า 300,000 คน. การแจกจ่ายสรรพหนังสือมียอดรวมถึงหลายร้อยล้านเล่ม. ครับ  นี่เป็นเพียงกลุ่มหนึ่งของงานการประกาศเผยแพร่ของพยานพระยะโฮวา....แล้วกลุ่มอื่นอีกมากมายของคริสตศาสนจักรทั่วโลกละ........................ ดังนั้น จงอย่างเหนื่อยใจเลยครับ  หากยังเหนื่อยใจ นั่นแสดงว่าความเชื่อในศาสนาเดิมของคุณยังไม่มั่นคงพอ   จึงเกิดข้อกังขา   คำเชิญสำหรับจขกท.และทุกคน      เรายินดีที่ได้พูดกับทุกคน. เราหวังว่าทุกคนคงยินดีที่ได้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวา. โปรดตอบรับคำเชิญที่ขอให้มาเยี่ยมเราที่หอประชุมราชอาณาจักร. คุณจะได้เห็นว่าเราจัดการประชุมอย่างไร. และได้เห็นว่าเราพยายามอย่างไรที่จะแบ่งปันข่าวดีแก่คนอื่นๆ ในเรื่องอุทยานบนแผ่นดินโลกภายใต้ราชอาณาจักรของพระคริสต์. จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:19:29

ความคิดเห็นที่ 15 นานาจิตตัง  ความสุขทางจิตของศาสนาพุทธมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ และต้องใช้ความเพียรพยายามในการเข้าถึงมาก (รู้ได้เฉพาะตัวบุคคลที่ เข้าถึงเท่านั้น) ส่วนความสุุขในปัจจัย 4 บนโลก มนุษย์ต้องการมากกว่าความสุุขทางจิต เพราะมองเห็น สัมผัสได้ และไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะต้องไปดูจิตตนเอง อยู่ตลอดเวลา ศาสนาเกือบจะทุกศาสนาสอนให้มนุษย์ทำความดีอยู่แล้ว อย่าคิดไรมากเลย เป็นเรื่องส่วนตัวของทุกคนที่จะใช้ปัญญา (สมอง)คิดเอง บังคับกันไม่ได้ ต้องเรียกว่า แล้วแต่วาสนา ชิว ๆ จากคุณ : น้องสโนว์ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:34:15

ความคิดเห็นที่ 16 กรรมของเขา จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 19:48:03

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเองรู้สึกเฉยๆ แต่ไม่เคยที่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นครับ ไม่ใช่ว่าศาสนาอื่นไม่ดีนะครับ แค่คิดว่าหลักธรรมของศาสนาพุทธนี่ใช้แก้ไขปัญหาได้ ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์ พระพุทธองค์ทรงคิดได้นานแล้วกระบวนการแก้ไขปัญหา นักวิทยาศาสตร์ดังๆเพิ่งจะมารู้หลักการเอาทีหลังนี่เอง หากเป็นไปได้ขอเกิดใต้ร่มพระพุทธศาสนาทุกชาติไปจนกว่าจะได้เข้าถึงนิพพาน แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 20:29:32 จากคุณ : Classic Joomla เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 20:29:11

ความคิดเห็นที่ 18 ผมอยู่โรงเรียนคริสต์เตียนตั้งแต่อนุบาล ถูกปลูกฝังเรื่องพระเจ้าตั้งแต่เล็กจนโต แต่ ผมคือคนที่เปลี่ยน จากคริสต์ เป็น พุทธ  เพราะพี่ชายพูดธรรมมะให้ฟัง แล้วก็รู้สึกได้ว่า พุทธนี่แหละ มีเหตุผลที่สุด ถ้ายิ่งอ่านธรรมมะลึกซึ้ง และทำสมาธิมาก ก็ยิ่งทำให้เราละกิเลสได้มาก เหตุผลที่ผมไม่เลือกคริสต์ เพราะมีหลายอย่างเกินจริงไป แต่หลักคำสอนเขาก็ดี แต่ไม่ลึกซึ้งพอ ฟังแล้วเป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์มากกว่า ผมไม่เชื่อว่าโลกจะถูกสร้างภายใน 7 วัน ผมเคยอธิษฐานกับพระเจ้า เคยเชื่อว่าจะต้องมีใครได้ยินทุกข์ที่ผมมี แต่สุดท้ายก็พบว่าการอธิษฐานเป็นเพียงการสร้างกำลังใจ ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครมารับผิดชอบการกระทำของตัวเราเอง  เราเป็นลูกผู้ชายพอที่จะไม่ขอให้พระเจ้ามารับบาปที่เราก่อเอง ผมเกิดมาในโลกใบนี้ ถ้าผมไม่แข็งแกร่งด้วยตัวเอง แล้วถ้าผมตายไปแล้วพระเจ้าไม่มีจริงขึ้นมา ผมก็ซวยน่ะสิ  ดังนั้นยึดหลักเพียงแค่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เกิดมาก็เกิดมาคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว ทำไมต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ ถึงจะตายไปแต่เราปฎิบัติตัวให้แข็งแกร่งแล้ว อะไรจะเกิดเราก็ไม่หวั่น ผมมารู้วิธีดับทุกข์ทางใจ ก็เพราะเข้าใจจากหลักธรรม  มันเป็นธรรมดาของจิตที่ถูกกระทบจากสิ่งภายนอก ซึ่ง จิตเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราดับทุกข์ ก็ต้องดับที่ความเข้าใจเอง  ถ้าเราตีความว่านี่คือ ทุกข์ มันก็ทุกข์  แต่ถ้าเรามองว่า มันแค่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เพียงเสียววินาที่ก็ผ่านไปเป็นอดีต แต่ที่มันอยู่ในใจเรา คือความหมายที่เราตีความกับเหตุการณ์นั้น  ถ้าเราไม่ตีความ มันก็ไม่มีความหมาย  เมื่อไม่มีความหมาย  ก็ไม่มีทุกข์ ประมาณนี้ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 54 22:26:21 จากคุณ : เดียวก็ตายจากกัน (ไห่) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 22:23:53

ความคิดเห็นที่ 19 คหสต. ในความคิดผม การสารภาพบาป การทำกิจกรรมร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์แบบสองทาง ของศาสนาคริสต์ ช่วยลดความเครียดของคนได้เยอะน่ะครับผม ในขณะที่ศาสนาพุธโดยส่วนใหญ่(เวลาไปวัด) ฟังเทศ ฟังธรรม นั่งสมาธิ จะเป็นการรับทางเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีใครไปสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไม่มีที่ให้พวกเขาระบายทุกข์ นี่จึงเป็นสาเหตุให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนศาสนาหรือเปล่า... ปล.ศาสนาพุทธที่บ้านผมกำลังแย่ จากคุณ : JKLjoker เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 22:29:23

ความคิดเห็นที่ 20 พวกคุณ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน จะกลัวไปทำไม  ธรรมดาอะไร อะไรที่ เป็นของปลอม ของไม่จริง ย่อมเสื่อมสูญไปเอง  อะไร ที่เป็นของจริง ก็ ยังคงอยู่ตลอดไป  คุณไม่มั่นใจแล้ว เหรอ ว่า ศาสนาพุทธของพวกคุณ เป็นของ จริง  จึงได้ วิตก ไปได้ขนาดนั้น จากคุณ : orapronobis เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 22:45:52

ความคิดเห็นที่ 21 ที่บอกว่า "พุทธไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ " คนไทยจำนวนมากที่เป็นลักษณ์นี้แหละ คือนึกว่าศาสนาพุทธนั้น ถ้าทำบุญมากๆแล้วอธิษฐานขอนั่นขอนี่  ขอแล้วก็รอ ผลบุญตอบสนอง  พอไม่ได้ก็เกิดอคติขึ้นมาทันที....นี่แหละเข้าใจกันผิดๆ กลาย เป็นทำบุญเพื่อสนองกิเลส  เมื่อไม่ได้ก็เกิดคำถามในใจ? ทำไปทำไม? ไม่เห็นมีผล ตอบสนองใดๆเลย......แล้วพอมาทางคริสต์ เดี๋ยวพาเที่ยว เดี๋ยวพากิน เดี๋ยวพา ไปนั่นไปนี่  โห!  เห็นเป็นรูปธรรม ได้รับผลตอบสนองราวสวรรค์บันดาล นี่ก็ทำให้ ชาวพุทธ ที่ไม่เข้าใจถึงแนวทางของพุทธแท้ๆหลงทาง   น่าสงสารน๊ะครับ ญาติผมก็เป็นเหมือนกัน  แต่ก่อนไหว้เจ้าทำบุญมากมาย  แต่เค้าไม่เห็นผลใดๆ ก็เลยไปศาสนาคริสต์เฉยเลย......ก็ต้องบอกว่าเป็นวิบากกรรมของแต่ล๊ะคน   เราแค่ช่วยเผยแพร่แนวทางพุทธแท้ๆ...กรรมนั้นแหละที่บันดาลไม่ใช่การร้องขอ หรือวิงวอนใดๆ  หว่านพืชเช่นรัยก็ได้ผลเช่นนั้นและ  นี่แหละพุทธแท้ๆเมื่อรู้ทาง ชัดเจนแล้ว  จะไม่วอกแวกออกนอกแนวทางเลย  เพราะเราไม่ได้เริ่มจากการร้อง ขอหรือวิงวอนเราเริ่มจากการปฎิบัติเพื่อ ลด ล๊ะ ขัดเกลากิเลส  นี่แหละคือหนทาง ทำให้พ้นทุกข์ได้ในที่สุดนั่นเอง^^ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 10:58:34

ความคิดเห็นที่ 22 คำว่าพ้นทุกข์ของคนเหล่านี้เขาคงหมายถึงไม่มีใครเอาอะไรมาช่วยเหลือเขาเหมือนศาสนาอื่น ซึ่งเขาคงหมายถึงสิ่งของ จากคุณ : yh354 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 12:01:27

ความคิดเห็นที่ 23 ผมมองว่า การที่คนที่นับถือศาสนาเพียงเปลือกนอก จะเปลี่ยนศาสนาแล้วไปนับถืออย่างจริงจัง มันเป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ อย่างน้อยก็จะมีคนที่ดีเพิ่มมากขึ้น จากคุณ : หอบหืด เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 13:08:56

ความคิดเห็นที่ 24 ญาติเราคนนึง ไปทำงานที่เกาหลี ไม่ตายก้อเพราะคริสต์นี้แหละค่ะ ญาติเราต้องผ่าตัดสมอง ไม่มีเงิน ก็ได้ทางคริสเตียนที่โน้นเค้าช่วย ลงประกาศหนังสือพิมพ์ เรื่ยไรเงินมาให้ได้ผ่าตัดสมอง กลับมาเมืองไทย ญาติเราคนนี้ก็นับถือคริสต์อย่างจริงจังค่ะ เค้าพูดขึ้นมาคำนึงว่า "ไม่ตายก็เพราะพระเจ้าช่วยนี้แระ" จากคุณ : บินไม่ได้ ไม่เคยคร้านที่จะเดิน เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:34:17

ความคิดเห็นที่ 25 แม้จะเคยบวชแต่คงไม่ได้บวชเพื่อเรียนรู้อย่างแท้จริง อาจบวชตามประเพณีไม่เกิน 7 วัน และไม่มีใครสอน จึงไม่เข้าใจพุทธแท้ ว่าไปแล้วการจะเข้าใจหลักการของคำสอนศาสดาองค์ใด  ย่อมขึ้นอยู่กับปัญญาและบารมีของตนด้วย   ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ต้องใช้ทั้งปัญญา บารมี  จึงจะเข้าถึงและปฏิบัติตามคำสอนได้  คริสต์เป็นศาสนาที่ดีรองรับผู้มีปัญญาระดับหนึ่งได้ แม้ว่าจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกซักระยะแต่อย่างน้อยก็สอนได้เรื่องความดี ความเมตตา ช่วยให้โลกสงบสุขได้ จากคุณ : sunnyorchids เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 16:01:19

ความคิดเห็นที่ 26 ศาสนาพุทธ  สอนให้มักน้อยสันโดษ มีความสุข จากการออกจากกาม ไม่กลัวต่อความตาย จึงอาจจะไม่ถูกใจคนที่กลัวต่อความตาย และยังมีความสุขกับการแสวงหากามอยู่ แต่เมื่อไหร่ที่เค้าปลงต่อความตาย  เลิกแสวงหากาม  เขาก็จะพบศาสนาที่เหมาะกับเขา จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 16:22:40

ความคิดเห็นที่ 27 ผมก็เคยดู ชื่อรายการ พื้นที่ชีวิต ดูแล้วก็ใจหายเหมือนกันครัย จากคุณ : smellycat เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 20:12:56

ความคิดเห็นที่ 28 ผม เห็นแต่ละคน เข้าใจ ศาสนาคริสต์แบบผิดๆ ทั้งนั้น เรื่องแรก ศาสนาคริสต์ เราไม่ใช่สวนสนุกหรือสถานบันเทิง ที่คนจะเปลี่ยนมาเชื่อ เพราะเราแจกของ เราพาไปเที่ยว  เราไม่ได้รวยขนาดนั้น เพียงแต่ ถ้ามีผู้ตกทุกข์ได้ยาก มาหาเราก็ไม่นิ่งนอนใจ ศาสนาคริสต์เราจะไม่ปล่อยให้เขา ตกทุกข์ได้ยาก เพียงลำพังโดยที่ เราช่วยได้แล้วไม่ช่วยเด็ดขาด เพราะ ตามหลักคำสั่งสอน ของพระเยซูเจ้า ที่ได้สั่งสอนให้เรา รักเพื่อนบ้าน รักผู้อื่น เหมือนรักตนเอง ซึ่งนอกจากพระเยซูจะสอนแล้ว พระองค์ยังปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้เราเห็น  พระองค์สอนให้เรา ไม่เห็นแก่ความสบายส่วนตัว จนไม่สนใจเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เราถือว่าสิ่งที่เราได้ทำต่อเพื่อนพี่น้อง เราก็ได้ทำสิ่งนั้นต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ของเรา มธ 25:31-46   เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า“เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย   แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’   บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’   พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’   แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’   พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’   พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร” ส่วนที่ศาสนาคริสต์ ต้องเผยแพร่นั้น เพราะอะไร  ก็เพราะเราทำตามคำสั่งสอน ของพระเยซูเจ้าที่ ตรัสไว้ว่า  "เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" [มัทธิว 28:19-20] เพราะ คริสต์เราเชื่อ โดยทางพระเยซู เจ้าเท่านั้น ที่เราจะได้รับความรอดไปสู่สวรรค์ได้ เราจึงปรารถนาให้ทุกคนได้รอดไปสู่สวรรค์ จึงได้ประกาศเรื่องราวของพระเยซูเจ้าออกไป ด้วยอะไรนะหรือ ก็ด้วยความรัก ไง เปรียบเหมือนว่า  เราเห็น เพื่อนพี่น้องเรา กำลังกินอาหารที่มียาพิษ เรารู้แล้วเราไม่เตือนหรือ  หรือ เรารู้ว่า ในสถานที่หนึ่งกำลังเกิดเพลิงไหม้ มีหลายคนที่ยังไม่รู้ เราที่รู้ จะไม่เตือนเขาให้รับรู้หรือ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่อีกเรื่องนึง  การประกาศ ของ คริสต์ก็ด้วยเหตุผลนี้  แต่ถ้าท่านคิดว่าเพราะมีเรื่องเงินทองและผล ประโยชน์ คริสตชน จึงต้องประกาศเรื่องราวของพระเยซูเจ้า  ก็นับว่าแปลก  เพราะจะมีใคร ยอมลำบาก ยอมขายหน้าเมื่อถูกปฏิเสธไป หลายต่อหลายคนต้องยอมตาย เช่น นักบุญมรณสักขี หลายองค์ ที่ยอมตายเพื่อได้ประกาศเรื่องของพระเยซูเจ้า เช่น นักบุญ เปาโล ที่ถูกตัดศรีษะ  นักบุญเปโตรที่ ถูกตรึงกางเขนกลับหัว  นักบุญสเทเฟน ที่ถูกหินขว้างจนตาย  นักบุญหลายองค์ ถูกจับโยนให้สู้กับสิงโต เพียงเพราะ การประกาศนั้น  หรือ บรรดา มิชชันนารี ที่เข้ามาในสยามยุคแรกๆ ยอม เสี่ยงภัยกลางทะเล เสี่ยงต่อการถูกฆ่า ถูกทรมาณ ทิ้งบ้านทิ้งเมืองมา เพื่อ เงินค่าจ้างหรือ แต่เป็นเพราะความเชื่อที่มี ในพระเยซูเจ้า เชื่อในคำสั่งสอนของพระองค์ และเพราะรัก อยากให้ เพื่อนมนุษย์ได้พบความรักของพระเยซูคริสต์ เขาเหล่านั้น จึงเต็มใจที่จะทำต่างหาก   ส่วนที่บางคนบอกว่า ที่เขาเป็นคริสต์ เพราะ  กลัวความตาย เพราะเขายังสุขอยู่กับสิ่งยั่วเย้าในโลกนี้ นั้น แท้จริงพระเยซูเจ้าสอนเรา ว่า "อย่ารักโลกหรือสิ่งใดๆ ในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดาก็ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความทะนงในสิ่งที่ตนมีหรือทำ ไม่ได้มาจากพระบิดาแต่มาจากโลก โลกกับความปรารถนาต่างๆ ของโลกก็ล่วงไป แต่ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าดำรงอยู่ตลอดกาล" 1 ยอห์น 2: 15-17 และพระองค์ ยังสอนเราว่า ลก 9:22-25 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม” หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป” ส่วนเรื่องที่เพราะกลัว ตาย จึงมาเป็นคริสต์นั้น แท้จริงแล้ว เราสอนว่า 2ทธ 3:1-17 อันตรายที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย 3 (1)จงรู้เถิดว่า ยุคสุดท้ายจะมีช่วงเวลาความยุ่งยากเกิดขึ้น (2)มนุษย์จะทำตามใจตน เห็นแก่เงิน อวดดี ยโสและหยาบคาย ดื้อด้านต่อบิดามารดา เนรคุณ ไม่นับถือศาสนา (3)ไร้มนุษยธรรมไม่ยอมให้อภัย นินทาว่าร้าย เสเพล เข้ากับใครไม่ได้ เกลียดชังความดี (4)ทรยศ ไม่คำนึงถึงผู้อื่น หยิ่งผยอง รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า (5)นับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอก แต่ไม่ยอมให้ศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิต จงอย่าคบกับพวกนี้เลย (6)พวกนี้บางคนแฝงตัวเข้าไปตามบ้าน เพื่อหลอกลวงหญิงด้อยปัญญาบาปหนาเป็นทาสของกิเลสตัณหาต่าง ๆ (7)หญิงเหล่านี้อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่รู้จักความจริงเลย (8)ยันเนสและยัมเบรสต่อต้านโมเสส ฉันใด คนหลอกลวงเหล่านี้ก็ต่อต้านความจริงฉันนั้น เป็นคนที่ใช้ปัญญาทางชั่วร้ายและมีความเชื่อที่ไร้ประโยชน์ (9)แต่พวกเขาจะทำเช่นนี้ต่อไปได้อีกไม่นาน ความโง่เขลาของเขาจะปรากฏชัดแจ้งแก่ทุกคนดังที่เกิดขึ้นกับสองคนนั้นมาแล้ว (10)แต่ท่านติดตามเรื่องของข้าพเจ้าอย่างใกล้ชิด รู้คำสอน ความประพฤติ ความตั้งใจ ความเชื่อ ความพากเพียร ความรัก ความอดทน (11)การเบียดเบียน ความทุกข์เช่นที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่เมืองอันทิโอก อิโคนิยูมและลิสตรา ท่านรู้เรื่องการเบียดเบียนที่ข้าพเจ้าได้รับ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นได้ทุกครั้ง (12)ทุกคนที่ต้องการดำเนินชีวิตด้วยความภักดีต่อพระคริสตเยซู จะถูกเบียดเบียนอย่างแน่นอน (13)ส่วนคนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะยิ่งเลวร้ายลง ทั้งหลอกลวงคนอื่นและถูกหลอกลวงด้วย (14)ท่านจงมั่นคงในคำสอนที่ท่านได้เรียนและมีความเชื่อมั่นแล้ว ท่านก็รู้ว่าท่านเรียนรู้จากผู้ใด (15)ตั้งแต่ยังเป็นเด็กท่านรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งช่วยท่านให้มีความเฉลียวฉลาดเพื่อรับความรอดพ้นโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเยซู (16)ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์ เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม (17)คนของพระเจ้าจะได้เตรียมพร้อมและพร้อมสรรพเพื่อกิจการดีทุกอย่าง ทั้งพระเยซูเจ้า และนักบุญเปาโล สอนไว้เสมอ ว่า ชีวิตคริสตชน ที่ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า นอกจาก จะไม่สบายแล้ว ในยุคสุดท้าย จะต้องเจอการเบียดเบียน ข่มเหง และ คริสตชน เป็นจำนวนมาก จะถูก ทรมาณและฆ่า อย่างทารุณ ดังนั้น คงไม่เหมาะสำหรับ คนกลัวตาย แน่ๆครับ จากคุณ : orapronobis เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 22:38:46

ความคิดเห็นที่ 29 ศาสนาที่เป็นเพียงแค่ชื่อ แต่สาระอยู่ที่คำสอน  เป็นสิ่งสำคัญ ศาสนาที่มีพื้นฐานไม่มั่นคง ไม่ว่าในเรื่องวินัย ศีล คำสอน ทำให้คนไม่ดีใช้ความเชื่อทางศาสนาเป็นเครืองมือทำการในทางที่ไม่ดีเช่น แสวงหาผลประโยชน์ และทำลายผู้ที่ต่อต้าน ในอดีตเช่นศาสนาจักร ในอนาคตจะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ แบบนั้นอีก จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 03:00:06

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องอย่างนี้...........ก็ต้อง ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของชาวคริสต์  และผู้สอนศาสนาคริสต์.............. ที่เขาเก่ง  และสามารถปรับทิศทางการแนะนำ  หรือจูงใจให้ผู้คนจากศาสนาอื่นๆ  เข้ามาหา  มาพึ่งศาสนาของเขา....... ยินดีด้วยใจจริง................ ไม่เหมือนกับผู้คนในศาสนาพุทธของข้าพเจ้า  ที่ผู้คนบางส่วน  และหลายๆ  ท่านที่มีความรู้ทางศาสนา  และปัจจุบันอยู่ในสถานที่  หรือมีหน้าที่สั่งสอนพระพุทธศาสนาโดยตรง.............กลับแตะต้องท่านไม่ได้เลย ! ! ! ! ขนาดแนะนำให้ท่านเข้าถึงคนพุทธด้วยการใช้ภาษาไทยง่ายๆ .......โดยไม่ต้องยกบาลี  หรือลอกพระไตรปิฎกมาอ้างบ่อยๆ  เพราะคนเขาไม่เข้าใจ  พาลเบื่อ............... ข้าพเจ้าแนะนำด้วยการมองไกล   หวังดีแก่การจรรโลงพระพุทธศาสนาโดยนึกถึงคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน.......แต่ แต่พวกที่หมกตัวอยู่แต่หลังกำแพงวัด....บางคนก็ไม่เข้าใจ...บางคนแถมแค้นเคือง....ก่นว่าด่าทอ  เสียดสี ........... ก็ในห้องศาสนานี้แหละ กระทู้นี้  แสดงว่าคริสต์  เขาไปไกล  ถึงไหน  ถึงไหนแล้ว..............! ! !( ที่จริงเขาเก่งมานานแล้ว  ดูในประวัติศาสตร์ที่  Missionary  ของเข้าสามารถบุกเข้าถึงชาวเขาให้หันจากถือผี  ถือพุทธ  มาถือคริสต์ ได้ ) แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 54 04:58:38 จากคุณ : Detente เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 04:52:15

ความคิดเห็นที่ 31 คงไม่เห็นว่าพุทธมีอะไรพิเศษ ถ้าสนใจปาฏิหารย์ พระดังๆก็ถูกว่างมงาย ศาสนาอื่น เขาไม่โจมตีกันเองว่าปาฏิหารย์ของเขางมงาย เหลือเืรื่องอ่านตำรา ซึ่งเขาอ่านเองก็ได้ เลยไม่มีอะไรพิเศษ ยิ่งต่อไป คนจะออกจากพุทธมากขึ้น จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 54 01:49:39