ความคิดเห็นที่ 1 เพราะบุคคลประเภทอื่นๆ  ขาดเจตสิกที่สำคัญหลายๆอย่างตอนมาเกิด  โดยเฉพาะเจตสิกสำคัญ คือ ปัญญาเจตสิก หรือ อโมหเหตุ  ซึ่งเป็นเจตสิกสำคัญสำหรับการรู้ธรรมในระดับอุตตริมนุสธรรมทั้งหลาย  (อุตตริมนุสธรรม  แปลว่า ธรรมเหนือมนุษย์  ได้แก่  ฌาน  สมาบัติ  อภิญญา  มรรค  ผล  นิพพาน) โมหเหตุ หรือ ปัญญาเจตสิก  จะมีมาเกิดกับจิตที่เป็นติเหตุกบุคคลเท่านั้น จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 10:23:39

ความคิดเห็นที่ 2 จากความเห็นที่ 1 ที่ คุณโขตานบอกไว้ ดังนี้แล้ว  ถ้าเราขาดเจตสิกสำคัญหลายๆอย่างมาตอนเกิด  โดยเฉพาะเจตสิกสำคัญ คือ ปัญญาเจตสิก หรือ อโมหเหตุ จะมีปัจจัยใดๆ   ที่เราจะสร้างให้มีได้หรือไม่   อาจจะสร้างให้เกิดมีในชาตินี้   หรือเกิดมีในชาติหน้า จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 10:35:16

ความคิดเห็นที่ 3 การบอกว่าสรรพสิ่งเป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ การเข้าในในไตรลักษณ์ จำเป็นต้องใช้กำลังของ ฌาน ขนาดไหนครับ??? การเข้าใจใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผมว่า คนที่มี "เหตุผล" คิดถึงที่มาที่ไป คิดถึงที่ไปที่มา น่าจะเข้าใจได้ไม่ยากนะครับ ...ความเห็นส่วนตัว จากคุณ : สวรรค์รำไร เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 11:10:46

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นดังที่คุณโขตานกล่าวครับ ผู้ที่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในชาตินี้ ผู้ที่สามารถทำฌานให้เิกิดขึ้นได้ในชาตินี้ คือ มนุษย์ที่ปฏิสนธิด้วยไตรเหตุ หรือเหตุ 3 ประการ อันได้แก่ อโลภะเหตุ อโมหะเหตุ อโทสะเหตุ ซึ่งเป็นผลมาจากกุศลในชาติก่อนที่ถึงพร้อมด้วยเหตุ 3 ประการ คือ 1. ปุพพเจตนา เจตนาก่อนสร้างกุศลปราศจากความโลภ โกรธ หลง 2. มุญจนเจตนา เจตนาขณะสร้างกุศลปราศจากความโลภ โกรธ หลง 3. อปรเจตนา เจตนาภายหลังสร้างกุศลปราศจากความโลภ โกรธ หลง จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 11:13:18

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณสวรรค์ฺรำไร การพิจารณาพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาด้วยกำลังของปัญญาในวิปัสสนา ที่เรียกกันว่า วิปัสสนาญาณ วิปัสสนา ไม่จำเป็นต้องเริ่มปฏิบัติด้วยอัปปนาสมาธิ เริ่มจากขณิกสมาธิ และอุปจารสมาธิได้เลย แต่ขณะที่มรรคจิตเกิด และขณะที่ผลจิตเกิด จิตต้องถึงพร้อมด้วยปฐมฌานเป็นอย่างต่ำ เพราะโลกุตตรจิต ทั้ง 40 ดวง นั้น ประกอบด้วยเจตสิกของฌานเป็นประธานทุกดวง ที่เรียกกันว่าโลกุตตรฌาน แม้พระอริยะประเภทสุกขวิปัสสกะที่ไม่เคยทำฌานมาก่อน เวลาบรรลุมรรคผลนิพพานก็ต้องได้โสดาปัตติมรรคจิต และโสดาปัตติผลจิตที่ประกอบด้วยเจตสิกของปฐมฌาน จากคุณ : คืนวันอันแสนดี เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 11:56:09

ความคิดเห็นที่ 6 กล่าวง่าย ๆ ก็คือ  คนที่จะบรรลุโสดาบันได้(และยาวไปถึงอรหันต์)ในภพชาติปัจจุบันนี้ไปเลย   จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถึงพร้อมด้วยปฐมฌานในชาตินี้  ซึ่งคนเราที่เกิดมาบนโลกมีอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. ในอดีตชาติเคยฝึก "ฌานสมาบัติ"  มาก่อน ทำให้มีพื้นฐานทางสมาธิที่ดี  ถ้าชาติปัจจุบัน ยังสนใจใฝ่รู้ธรรมะอยู่  ไม่หลงไปกับโลกวิทยาศาสตร์/วัตถุนิยม แต่หันมาเข้าวัด เข้าป่า ฝึกกรรมฐานต่อ  เขาผู้ซึ่งมีพื้นฐานจากอดีตชาติดีอยู่แล้ว ย่อมสามารถทำ ปฐมฌาน ให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย  คือ อาจจะใช้เวลาฝึกเพียง 1 ปี ก็ทำปฐมฌานเป็นแล้ว  บางท่านที่อดีตชาติสะสมเรื่องนี้มาเยอะ ทำได้ถึงฌาน 4 ฌาน 8 บ้างอะไรบ้าง ยิ่งสามารถรื้อฟื้นได้ไวกว่า 1 ปีเสียด้วยซ้ำ  เผลอ ๆ ไปหัดนั่งสมาธิติด ๆ กัน 7 วันก็ได้ปฐมฌานแล้วก็ยังมี   แต่คนกลุ่มแรกนั้นมีน้อย มีไม่เกิน 10% ของมนุษย์บนโลกในแต่ละยุคสมัย  ตั้งแต่สมัยพุทธกาล  พระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่บวชกับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มีพื้นฐาน ฌานสมาบัติ มาก่อน 2. กลุ่มที่ไม่เคยฝึกหรือสะสมบารมีด้าน "ฌานสมาบัติ" มาก่อนในอดีตชาติเลย  กลุ่มนี้ จริง ๆ แล้วจัดเป็นกลุ่มใหญ่ของมวลมนุษย์ด้วยซ้ำ  มีประมาณถึง 90% ของคนบนโลกเลยทีเดียว ตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว  พระพุทธองค์ก็เน้นสอน "สติปัฏฐาน 4" กับคนกลุ่มนี้  คนกลุ่มนี้อาจจะต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าคนกลุ่มแรก เพราะไม่มีพื้นฐานด้าน "ฌานสมาบัติ" มาก่อน  แต่ก็ไม่ใช่ว่าถ้าเขาพยายามต่อเนื่องทั้งชาตินี้ แล้วเขาจะไม่ได้อะไรติดมือไปเลยนั้น ไม่ใช่...  ถ้าเขาผู้นั้นมีพื้นฐานของสติปัญญาที่ดีอยู่แล้ว คือ อยู่ในกลุ่มบัวเหนือน้ำ  เช่น คนที่ฉลาดมาก ๆ แต่ไม่มีฌาน เช่น อาชีพหมอ  เป็นต้น  กลุ่มนี้ก็อาจจะบรรลุธรรมระดับโสดาบันได้ในชาตินี้ไปเลยก็น่าจะมีอยู่(ถ้าช่วงท้าย ๆ ของชีวิตเกิดได้ปฐมฌานขึ้นมาในท้ายที่สุดอ่ะนะ)  หรือถ้ายังไม่บรรลุอะไรเลยก่อนตาย  แต่ได้ทำกุศลกรรมดี ศึกษาเรียนรู้ธรรมะ และฝึกปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิตย์ ตลอดทั้งชีวิต  คนกลุ่มนี้ย่อมได้รับผลของ วิบากกรรมดี ต่อเนื่องต่อไปในภพชาติหน้าอย่างแน่นอน เปรียบดังนิทานเรื่อง กระต่าย กับ เต่า   ถ้ากระต่ายนั้นประมาทในการใช้ชีวิต  เต่า ก็อาจจะดินแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปก่อนกระต่ายก็เป็นได้ แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 13:13:42 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 54 13:10:24 จากคุณ : Sirtraderlot เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 13:08:12

ความคิดเห็นที่ 7 เคยมีคนถามคำถามทำนองนี้มาก่อน เลยขอนำมาฝาก จขกท. เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ ทวิเหตุกบุคคล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร เพื่อให้เป็นติเหตุกบุคคล? http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/06/Y10705276/Y10705276.html ความคิดเห็นที่ 1     ก็มีทางเดียว คือ ต้องหมั่นสร้างกุศลบุญบารมีไว้มากๆ  และอธิษฐานจิตไว้เรื่อยๆ  สม่ำเสมอ จากคุณ : โขตาน   เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 11:11:33     ความคิดเห็นที่ 2     เจริญ สัมมาทิฐิ เสมอครับ จากคุณ : aunemaek2   เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 11:34:13   ความคิดเห็นที่ 3     หมั่นเจริญกุศล ที่ประกอบด้วยเหตุ 3 ครับ (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) โดยเฉพาะ การเจริญสติปัฏฐาน อันเป็นธรรมตรงข้ามกับโมหะโดยตรง (หากขณะจิตใดไม่มีโมหะ ขณะนั้น โลภะ โทสะ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้) จากคุณ : บ่าวอุดรคนโก้   เขียนเมื่อ : 19 มิ.ย. 54 14:38:17     ความคิดเห็นที่ 4     เวลาสร้างกุศล ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา จะต้องเห็นโทษตลอดจนปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ในกาลทั้ง 3 ครับ คือ 1. ปุริมเจตนา เจตนาก่อนกระทำ 2. มุญจนเจตนา เจตนาขณะกระทำ 3. อปราปรเจตนา เจตนาภายหลังกระทำไปแล้ว จิตจึงจะเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตตจิต เพื่อที่จะได้มีปฏิสนธิจิตในชาติถัดไปเป็นมหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต จากคุณ : ปริญญาบ้าเกมส์ จากคุณ : Sirtraderlot เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 13:33:05

ความคิดเห็นที่ 8 เพราเวลาสร้างกุศล  ไม่ได้สร้างกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา   ส่วนใหญ่แล้ว  คนที่ทำบุญ น้อยคนนักที่จะทำโดยคิดว่าทำเพราะอะไร  มีผลอะไร  ไม่ได้พิจารณา  แต่ทำเพราะคิดว่าดีจึงทำบ้าง ทำตามเค้าบ้าง ทำให้สบายใจบ้าง  เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จึงไม่ได้ไตรเหตุ ไม่มีปัญญาเจตสิกประกอบในมหากุศลจิตที่เป็นปฏิสนธิจิต จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:35:03

ความคิดเห็นที่ 9 มนุษย์ทุกๆคนบนโลกใบนี้สามารถฝึกฝนอบรมปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมได้ทุกคนในชาตินี้ ถ้าได้ฝึกฝนอบรมตนอย่างถูกวิธี มีความอดทน รักษาศีล5 ขึ้นไป เป็นต้น ไม่มีข้อยกเว้นครับ การบรรลุธรรมไม่ใช่หมายถึงการเป็นพระอรหันต์นะครับ แต่หมายถึง เห็นธรรม มีความสว่างปรากฏขึ้น เป็นต้น ขอบคุณครับ จากคุณ : กรรไกรรัตนะ เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 14:39:33

ความคิดเห็นที่ 10 กราบขอบพระคุณในทุกความเห็นครับ จากคุณ : Terawat เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 15:10:25

ความคิดเห็นที่ 11 สมัยพระพุทธเจ้าตรัสรู้แรกๆ  แยกบุคคล ออกเป็น 3 เหล่า ข้อความบางตอนในพระไตรปิฎก    ... ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ บางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ บางเหล่า ตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี... — 'มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ทรงเปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า' จากคุณ : aunemaek2 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 17:06:18

ความคิดเห็นที่ 12 ต้องศึกษาเรื่องวิถีจิต ดูครับแล้วจะเข้าใจมากขึ้น ภ ภ ภ ภ ตี น ท ป วิ สํ สัน วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ คนที่ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากที่เป็นทวิเหตุกจิต  ก็จะมี ภ หรือ ภวังค์จิต เช่นนั้นไปตลอดภพชาตินั้น ทำให้ ช หรือ ชวนะ ที่เป็น กุศลที่ประกอบด้วย ปัญญาเจตสิก เกิดขึ้นได้น้อยไปด้วย จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 19:03:08

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบหนูแอนนี่อ้วน   คห. ที่ ๒ ... ถ้าเจตสิกไม่มาร่วมเกิดประกอบกับปฏิสนธิจิตในครั้งแรกของชาตินี้    คนนั้นก็จะไม่มีโอกาสฝึกให้ได้เห็นผลให้เกิดในชาตินี้ได้ แต่จะเป็นนิสัยปัจจัยสำหรับชาติต่อๆไปได้ ... หมายถึง เช่น  พวกที่เกิดด้วย  ทวิเหตุ  เป็นทวิเหตุกบุคคล  จะเกิดมาได้แค่ ๒ เหตุ คือ อโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ  แต่ไม่มีอโมหเหตุ(ปัญญาเจตสิก)   ดังนั้น  คนนี้  จะไม่มีปัญญาอะไรมากมายในชาตินี้   ถึงฝึกยังไงก็ไม่อาจจะทำปัญญาให้เกิดได้  ...แต่การฝึกและสร้างบุญบารมีเกี่ยวกับปัญญาในชาตินี้ เพื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นผู้มีปัญญา คือเกิดเป็น ติเหตุกบุคคล  อันนี้เป็นได้  ไม่มีปัญหา จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 19:07:06

ความคิดเห็นที่ 14 ได้ยินมาว่า  ท่านเหล่านั้น บำเพ็ญเพียรสะสม บารมี มาหลายภพหลายชาติ อยู่ก่อนแล้วครับ  พอได้พบพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรม จึงสำเร็จทันที ดั่งพระพุทธเจ้าเองท่านก็ บำเพ็ญเพียร สร้างบารมีในแบบต่างๆมาหลายชาติเช่นกัน กว่าจะได้ตรัสรู้ จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 20:10:59

ความคิดเห็นที่ 15 บางท่านที่บ่นว่าตัวเองไม่ได้สะสมบารมีมาพอ จึงไม่สามารถทำฌานสมาบัติได้ ไม่ขอฝึก ขอทำอย่างอื่นเหอะ ผมก็แปลกใจ... แปลกใจว่าเขาจะบ่นอย่างนี้ไปอีกกี่แสนชาติ ผมเข้าใจว่ามหาสติปัฏฐาน๔นีฺ่ฮิตกันมากับชาวกุรุ ใครเป็นชาวกุรุเก่าก็คงจะชอบใจเป็นพิเศษ แต่ขอให้ทำแบบมหาสติปัฏฐาน๔ จริงๆเหอะ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 21:36:52

ความคิดเห็นที่ 16 ผมไม่ค่อยทราบเรื่องพวกนี้หรอกครับ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องเกินจำเป็นและอาจจะชวนให้ฟุ้งซ่านเปล่าๆ เรื่องพวกนี้ส่งเสริมปัญญาน้อยแต่สร้างความแตกแยกมาก เพราะมันทำให้คนคิดเปรียบเทียบแบ่งแยกว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ อันที่จริงใครจะบรรลุได้ไม่ได้ไม่มีความจำเป็นใดๆต้องไปใส่ใจเลย คิดมากไปหรือพูดมากไปก็อาจเป็นกรรม เพราะอาจทำให้ผู้อื่น หรือแม้แต่ตัวเราเองหมดกำลังใจปฏิบัติธรรมไปด้วย เราไม่ควรเอาอดีตหรือความคิดเกี่ยวกับอดีตมาใส่ใจมากจนเกินไป เพราะคืนเดียวเท่านั้น คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ คนที่เขาปฏิบัติกันจริงจังย่อมล่วงภาวะเดิมได้ทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น แต่ที่ไม่ได้มัักเป็นเพราะไม่เอาจริงหรือไม่ใส่ใจปฏิบัติมากกว่า ดังนั้นอย่าโทษอะไรเลยครับ จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 09:40:06

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่ว่าจะเกิดด้วยดวงไหนก็เกิดมาแล้ว  แก้ไขไม่ได้นอกจากเกิดใหม่ ต่อให้บรรลุธรรมไม่ได้  หรือ ทำปฏิภาคนิมิตจนถึงฌานไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งไปได้  เพราะถ้าคุณไม่สร้างเหตุใหม่แล้ว คุณก็จะไม่สามารถก้าวขึ้นสู่การเข้าถึงพระนิพพานได้เลย  ก็หนทาง ของการถึงมรรคผล นิพพาน  ไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว  ดูอย่างพระพุทธองค์ และสาวก  ท่านต้องสร้างบารมีมากี่ภพ  กี่ชาติ  ถ้าเราไม่ได้สร้างมา ก็ต้องเร่งขวนขวาย  สร้างต่อไป  เพราะไม่มีใครทำให้แน่  นอกจากตัวเรา ถ้าเราต้องเเดยวกิดมาไม่ประกอบด้วยปัญญา  นั่นก็เพราะผลกรรมของเราเอง สิ่งที่ต้องแก้ไข  จบลงที่ตรงนี้  ตรงปัจจุบัน  และอย่าเสียเวลา สร้างเหตุที่ดีต่อไป   การถึงพระนิพพานไม่ได้สร้างแค่วันเดียว  หรือชาติเดียว เจริญในธรรมคะ จากคุณ : goodsthailand เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 12:28:25