ความคิดเห็นที่ 1 แล้วมาดูกันว่า กุรอ่านบอกเรื่องการแต่งกายนี้ไว้อย่างไร           24:31. และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะ (คีมารฺ) ของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ (ญุยูบิฮินนา) และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับ (ซีนะห์) ของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอหรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์เถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ คิมารฺ          ในอายะห์ข้างต้นมีคำว่า "คุมูรฺ" ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปพหูพจน์ของ "คิมารฺ" (อีก 3 รูปที่เหลือคือ คุมรฺ, อัคมิเราะห์, และ คิมีรฺ มีอาการนามเป็น คิมเราะห์ จาก "ลิซานุลอะร็อบ" ซึ่งว่ากันว่าเป็นพจนานุกรมที่ล้ำลึกที่สุดแล้วในภาษาอาหรับ) คำว่า คิมารฺ มีรากศัพท์จากอักษร 3 ตัว คือ คอมารอ ในพจนานุกรมของ Hans Wehr ที่ผมคิดว่าเป็นพจนานุกรมสองภาษาดีที่สุดตอนนี้ระบุว่า คอมารอ = to cover, to hide, to conceal และพจนานุกรมเล่มเดียวกันนี้ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า คิมารฺ = veil covering head and face of a woman แบบนี้ตรงๆ เลย ไม่มีเล่มไหนแปลว่า "ม่าน" หรือ "เสื้อคลุม" หรือ "ผ้าห่ม"          คิมา รฺหมายถึงสิ่งที่ปกคลุมอีกสิ่งหนึ่ง และนี่เป็นความหมาย "โดยกว้าง" แต่คนอาหรับนั้นเขาใช้คำว่าคิมารฺมีนัยยะเกี่ยวข้องกับศีรษะเป็นสำคัญ จริงๆ แล้วคำไทยก็มีลักษณะเช่นเดียวกับการใช้คำว่าคิมารฺของชาวอาหรับ เช่น คำว่า "จุติ" เรามักจะเข้าใจว่าแปลว่า "เกิด" แต่อันที่จริงมีความหมายตรงกันข้ามเลย คือแปลว่า "ตาย" แต่เราใช้จุติมาพูดว่า "เอื้องอัยราวัณจุติเมื่อวันที่ 30 กุมภาพันธ์" แทน "ตาย" ได้มั้ย เพราะ "จุติ" ใช้กับเทวดา "ตาย" จากสวรรค์ลงมา "เกิด" บนโลกเท่านั้น ฉะนั้นการจะเข้าใจคำๆ หนึ่งเราไม่ได้ดูที่ความหมายตามศัพท์อย่างเดียว แต่ต้องดูการนำไปใช้ในบริบทต่างๆ ด้วย เช่น มีรายงานจากท่านบิลาล (รด.) กล่าวว่า          ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ศ.) (ทำน้ำละหมาดโดย) ลูบบนถุงเท้าและคิมารฺ รายงานโดยมุสลิม          โดย ปกติคิมารฺมักจะใช้หมายถึงผ้าคลุมศีรษะ (นาศีฟ) ของผู้หญิง แต่บางครั้งก็หมายถึงผ้าโพกศีรษะของผู้ชาย ซึ่งมุสลิมในเมืองไทยเรียกว่า "สาระบั่น" ดังในฮะดีษข้างต้น          คุณเข้าใจเรื่องการทำน้ำละหมาดหรือ ป่าว เพื่อประกอบความเข้าใจของคุณ ผมจะอธิบายให้ฟังสั้นๆ เวลามุสลิมหญิงหรือชายจะละหมาด เขาจะต้องอาบน้ำละหมาดก่อนที่จะไปละหมาดได้ กล่าวคือ ต้องล้างอวัยวะดังต่อไปนี้ตามลำดับ 1. มือทั้งสอง 2. ปากพร้อมชะล้างในรูจมูก 3. ใบหน้าจากตีนผมถึงปลายคาง 4. ท่อนแขนล่างจนถึงศอก 5. ลูบผมโดยเสยขึ้นไปถึงท้ายถอย 6. ใบหู และ 7. เท้าทั้งสองเลยตาตุ่มขึ้นมา          ในกรณีที่ทำน้ำละหมาดเช่นนี้แล้ว และใส่ถุงเท้าหรือรองเท้ามาโดยตลอด เมื่อจะทำน้ำละหมาดใหม่ก็เพียงแต่ลูบถุงเท้านั้นแทนการล้างเท้าทั้งสองได้ ทำนองเดียวกับการลูบสาระบั่นแทนเส้นผมได้หากใส่สาระบั่น (คิมารฺ) อยู่ ทีนี้ ผมถามคุณว่า การที่ท่านนบี (ศ.) เอาน้ำลูบคิมารฺตามฮะดีษข้างต้น จะให้แปลว่าลูบเสื้อคลุมหรือผ้าห่มหรือไง ขอยืมสำนวนเข้าของบทความหน่อยนะครับ ว่า          คำว่าคิมาร จากที่ผมเอามาอธิบายจะพบว่าคือสิ่งที่คลุมศรีษะครับ ถ้ามีการสั่งใช้คิมารฺก็หมายถึง คลุมศรีษะครับแล้วถึงดึงมาปิดหน้าอก ถ้าถึงมาปิดหน้าอกแล้วไม่คลุมหัว          "0 Prophet! Tell your wives and your daughters and the women of the believers to draw their outer garments above themselves ( when they go out). That is better so that they may be recognized and not molested. And Allah is Forgiving, Merciful." (33:59) ในอายะห์นี้พระองค์ใช้คำว่า ญาลาบิบ (Outer Garments หรือ Cloaks) รูปพหูพจน์ของ ญิลบาบ นี่ครับถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ ผ้าคลุมหัว ซึ่งอัลลอฮฺสั่งในอีกอายะห์ ซึ่งโดยรวมแล้ว ก็จะพบว่า มุสลิมมะห์ต้องคลุมหัว ปิดหน้าอก ไม่เปิดเผยเครื่องประดับหรือความสวยงาม และยังต้องใส่ผ้าคลุมหลวมๆ ยาวๆ ด้วย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:07:59

ความคิดเห็นที่ 2 ญุยูบิฮินนา           คำว่า "ญุยูบิฮินนา" (their bosoms) ที่กุรอ่านใช้ "ญุยูบ" เป็นพหูพจน์ของ "ญัยบ์" ซึ่งแปลว่า ซอง ซอก ร่อง(อก) รากศัพท์ของคำนี้หมายถึง Neck และ Collarbone (กระดูกไหปลาร้า) ด้วย ดังนั้นญัยบ์จึงกินความตั้งแต่ปลายคาง ลำคอ ช่วงไหล่ อกช่วงบน ลงมาถึงหน้าอกเลย          Shaykh Muhammad Nasiruddin Albani says that the word "jayb" is related to the word "jawb" which refers to something cut out, and he says that in this context it refers to the neckline of the woman's dress.          ในตัฟซีรฺ (Exegesis) ของกุรฺฏูบีบอกไว้ว่าสตรีในยุคก่อนอิสลามนั้น เขาจะคลุมผมโดยปัดชายผ้าไปด้านหลังเผยให้ช่วงลำคอและเนินอก อย่างที่ผมคัดมานี้          Imam Abu Abdullah Qurtubi: "Women in those days used to cover their heads with the khimar, throwing its ends upon their backs. This left the neck and the upper part of the chest bare, along with the ears, in the manner of the Christians. Then Allah commanded them to cover those parts with the khimar."          Imam Abu'l-Fida ibn Kathir: "'Draw their khumur to cover their bosoms' means that they should wear the khimar in such a way that they cover their chests so that they will be different from the women of the jahiliyyah (คือยุคมืดก่อนอิสลามมา) who did not do that but would pass in front of men with their chests uncovered and with their necks, forelocks, hair and earrings uncovered."          เพราะเหตุนี้พระองค์อัลลอฮฺจึงระบุว่า "...that they should draw their veils over their bosoms . . ." ให้มุสลิมะห์ปฏิบัติไว้ให้แตกต่างจากการปฏิบัติของหญิงอื่นๆ          หมายเหตุ: หากความว่า "over their bosoms" (อฺะลา ญุยูบิฮินนา) หมายถึง "on (above) their bosoms" แล้วล่ะก็ กรุอ่านก็จะใช้ว่า "เฟาเกาะ ญุยูบิฮินนา" มากกว่า ดังนั้น Over จึงเป็นคำแปลที่เหมาะสมแล้วของ "อฺะลา" เนื่องจากคำนี้ยังมีนัยยะของการข้าม พาด ผ่านจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอยู่ด้วย ซึ่ง On หรือ Above ไม่มีนัยยะนี้ให้ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:09:13

ความคิดเห็นที่ 3 ซีนะห์          คำว่า "ซีนะห์" (ornaments) ไม่ได้หมายถึงเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสวยด้วย อย่างเช่นคนอาหรับเรียก บัยตุลซีนะห์ (บ้านแห่งซีนะห์) หมายถึง Beauty Shop ดังนั้นความงดงามบนตัวหญิงทั้งโดยธรรมชาติหรือประดิษฐ์จึงเข้าข่ายต้องปกปิดเมื่อออกนอกบ้านด้วย กุรอ่านฉบับแปลของยูซุฟ อฺะลีจึงแปลแยกเป็นสองคำว่า "beauty and ornaments" เลย ดังนั้นการที่คุณอ่านกุรอ่านฉบับแปลแล้วจะคิดว่านั่นคืออัลกุรอ่านไม่ได้!          และนี่ก็เป็นเหตุผลนึงนะครับ ที่ถ้าใครบอกว่า อ่านกุรอ่านภาษาอังกฤษก็ได้ ภาษาไทยก็ได้ ไม่ต้องภาษาอาหรับ คนนั้นก็ผิดแล้วล่ะครับ เพราะการแปลจากภาษาอีกภาษาย่อม ไม่ตรงความหมาย 100% ยิ่งเป็นคัมภีร์ที่มีความลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อย่างกุรอ่านด้วยแล้ว ยิ่งอ้างไม่ได้ว่า ไม่ต้องอ่านเป็นภาษาอาหรับ          เพราะตัวอย่างกระทู้นี้ก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่า การอ่านกุรอ่านจากอีกภาษาโดยคิดว่านั่นคือความหมายกุรอ่านอย่างแท้จริง มันคือการเปิดช่องให้ถูกหลอกจากคนที่พยายามบิดเบือนอิสลามนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:09:41

ความคิดเห็นที่ 4 เมื่ออ่านแล้วเราจะพบว่า กุรอ่านได้บอกแล้ว อะไรคือการแต่งกายที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม และขอบเขตนั้นถึงแค่ไหน          แต่บางคนที่พยายามบิดเบือนก็อ้างว่า ไม่พบบัญญัติเรื่องการแต่งกายในกุรอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ที่เขากล้าพูดเช่นนั้น ลองมาอ่านดูว่ามีมั๊ย           "0 Prophet! Tell your wives and your daughters and the women of the believers to draw their outer garments above themselves ( when they go out). That is better so that they may be recognized and not molested. And Allah is Forgiving, Merciful." (33:59) ในอายะห์นี้พระองค์ใช้คำว่า ญาลาบิบ (Outer Garments หรือ Cloaks) รูปพหูพจน์ของ ญิลบาบ          ญิลบาบนั้นเป็นเสื้อคลุมหลวมๆ และมีความยาวจนเลยเท้าไป มีหลายๆ ฮะดีษที่ศอเฮียะฮฺ (Authentic) ยืนยันประเด็นนี้ไว้ เช่น          Ibn Umar (raa) reported that the Messenger of Allah (Sallallahu Alayhi Wasallam) said: “ On the Day of Resurrection, Allah will not look at the man who trails his garments along out of pride”. Umm Salamah then asked:” What should women do with (the hems of) their garments?” He replied: “Let them lower them a bandspan”. She replied: “ Their feet would be exposed!” He then said: “Let them lower them a forearm’s length but no more.”           (รายงานโดยอัฏฏอบารอนี - สายรายงานศอเฮียะฮฺ)          คนพวกนี้มักจะปฏิเสธแบบอย่างท่านศาสดาและฮะดีษ แต่ที่ผมให้อ่านก็เพื่อให้รู้ว่า เขาใช้คำว่า ญิลบาบยังไง ในภาษาอาหรับ และมีขอบเขตแค่ไหน          ดังนั้นการจะมาอ้างว่าไม่พบขอบเขตการแต่งกายของสตรีมุสลิมในกุรอ่านจึงเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะอย่างน้อยที่สุด มุสลิมมะฮฺต้องคลุมผม ปิดมาถึงหน้าอกนะครับ          ถ้าจะมาอ้างว่า คิมารฺแปลว่าผ้าปูโต๊ะ เอามาปิดเฉพาะทรวงอก มันก็เหมือนกับตีความการให้สวมหมวกกันน็อคว่า เป็นเฮดการ์ดนักมวยใส่แล้วจะได้ไม่ถูกน็อค หรือตีความเป็นหมวกวิศวะกันการถูกน็อคจากของแข็งหล่นทับหัว ก็เลยไม่ยอมใส่หมวกกันน็อคตามที่กฎหมายให้ใส่ ซึ่้งจริงๆแล้วหมวกกันน็อคคืออะไรคนใช้ภาษาไทยรู้ดีครับ ถ้าใครไปตีความมั่วว่าเป็น เฮดการ์ดนักมวยหรือหมวกวิศวกรแล้วล่ะก็ เป็นไปได้สองทางคือ คนคนนั้นไม่มีความรู้และความเข้าใจทางภาษา หรือจงใจแถนั่นเอง จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:10:23

ความคิดเห็นที่ 5 และได้มีบาง login พยายามอ้างเจ้าหญิงที่ปฏิบัติตัวผิดหลักศาสนา มาแล้วอ้างแบบไม่มีสาระอะไรเลยว่า เจ้าหญิงนั้นรู้หลักศาสนามากกว่ามุสลิมในที่นี้ มันเป็นการอ้างที่ผิดตรรกะ หรือจะเรียก ตรรกะวิบัติก็ได้          เพราะไม่มีหลักฐานอะไรว่า เจ้าหญิงนี้มีความรู้ศาสนาอะไรมากมาย เรียนจบด้านศาสนา เข้าใจกุรอ่านเป็นอย่างดี มีความเชี่ยวชาญในหลักการของอิสลาม แต่กลับเห็นชัดๆว่า ได้กระทำการที่ขัดกับหลักการของกุรอ่าน แล้วจะเอามาอ้างเพื่ออะไร? ไม่มีเหตุผลอื่นที่น่าเชื่อถือแล้วหรือ                    กุรอ่านบทไหนเหรอครับสอนให้ พิจารณาปฏิบัติตนตามใครคนหนึ่งจากฐานะการเป็นเจ้าหญิง หรือเจ้าชาย หรือพระราชา? ท่านนบีเคยบอกเหรอครับว่า ถ้าใครเป็นคนมียศสูงแล้วก็ทำตามได้เลย ไม่ว่าจะขัดกับกุรอ่านหรือไม่ หรือมีคำสอนในอิสลามเหรอครับว่า ใครที่มียศสูง คนนั้นก็มีความเข้าใจในอิสลามมากกว่าคนอื่น          ถ้าคิดว่าเจ้าหญิงนั้น ทำถูกก็อธิบายมาซิครับว่า ถูกต้องตามหลักอิสลาม บทไหน ข้อไหน โองการที่เท่าไหร่? บอกได้หรือไม่?          งั้นผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกันว่า ไม่ต้องอ้างแค่เจ้าหญิง ต่อให้แม่เจ้าหญิง บวกกับอีกกี่ชั่วโคตร ของเจ้าหญิงเป็นเชื้อเจ้าทั้งหมด และฝ่าฝืนหลักการอิสลามไม่ยอมคลุมผมมาตลอด มันก็ไม่ทำให้บัญญัติเรื่องการคลุมผมของอิสลามต้องถูกยกเลิกหรอกนะครับ          เพราะฉะนั้น เมือ่อัลลอฮฺสั่งให้คลุมผมก็ต้องคลุม นบีสั่งให้คลุมก็ต้องคลุม ไม่มีข้ออ้างนะครับ          และไม่มีใครบอกนะครับว่า เน้นที่ผู้หญิงมากกว่าชาย หรือชายมากกว่าหญิง แต่ต้องทำกันหมดครับตามคำสั่งของอัลลอฮฺ นั่นคือนอกจากต้องแต่งกายให้มิดชิดแล้ว ก็ต้องลดสายตาลงต่ำด้วย ไม่มองสิ่งที่ไม่ควรมอง ไม่มีใครบอกนะครับว่า แต่งกายมิดชิดพอ ส่วนคนจ้อง จ้องเท่าไหร่ก็ได้          ดังนั้น ต่อให้การปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด จะไม่สามารถป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การปกปิดร่างกาย นั้นไม่จำเป็น หรือสามารถเปิดเผยส่วนพึงสงวนได้ตามใจชอบ เพราะต้องทำควบคู่กันไปครับ ทั้งลดสายตาตัวเอง และปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด อย่าเอาตรรกะวิบัติมาใช้ เพราะมันใช้หลอกมุสลิมไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:11:59

ความคิดเห็นที่ 6 โดยสรุปแล้ว อิสลามนั้นมีบัญญัติเรื่องการปกปิดร่างกายแล้ว อย่างน้อยที่สุด มุสลิมมะฮฺต้องคลุมผม ปิดมาถึงหน้าอก           เรื่องนี้มีคำสอนชัดเจนอยู่ในกุรอ่านครับ ใครหรือผู้ใดก็ตามที่บอกว่า เป็นแค่การตีความหมายอย่างขาดวิสัยทัศน์แล้วล่ะก็ ถือว่า คนผู้นั้นโกหกครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:15:04

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อไปเป็นของแถม สำหรับผู้ที่อ้างว่า ศรัทธากุรอ่าน ทำตามกุรอ่าน ทำไมไปเห็นดีเห็นงามกับผู้ที่ฝ่าฝืนกุรอ่านกันล่ะน๊อ กุรอ่านบอกว่า "...และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับ (ซีนะห์) ของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ..." ภาษาอังกฤษก็บอกว่า "...and not expose their adornment except to their husbands..." แต่แมทท์บอกว่า หญิงคนนี้แต่งตัวถูก หรือตุ้มหูไม่ใช่เครื่องประดับหว่า เอ๊ะยังไง   จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:20:00

ความคิดเห็นที่ 8 แต่งตัวแบบนี้ สตรี กาเฟร เขาแต่งกันนะครับ สตรี มุสลิมไม่ได้ให้แต่งตัวโป๊ๆ แมทท์นี่บิดเบือนบทบัญญัติ กุรอ่าน  ด่า นบีมูฮำหมัด อยู่เรื่อยในบอร์ดแห่งนี้ เขาเรียกว่าพวก ก่อกวน นะ ผมว่า     จากคุณ : ดุนยาแค่ทางผ่าน เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:39:28

ความคิดเห็นที่ 9 น่าเบื่อจริงๆพวกนี้ ..น้ำท่วมเดือดร้อนกันทั่ว ยังจะมาถกเถียงกันอยู่กับเรื่องบ้าๆบอๆนี่ ควรจะออกไปช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก จะดีกว่านะ . จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 10:54:19

ความคิดเห็นที่ 10 ท่าน สุดเดียวดาย บอกเฉพาะกระทู้มุสลิม อย่างเดียวหรือครับ แคบไปหน่อยไหม แล้วศาสนาท่านหล่ะ เยอะกว่าของพวกผมนะ ไปบอกด้วยนะครับ อย่ามา สอง มารตฐาน   อ้อ ฝากท่าน สุดเดียวดาย ไปบอกกระทู้แมทท์ด้วยนะครับ ผมขอหล่ะ จากคุณ : ดุนยาแค่ทางผ่าน เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 11:00:54

ความคิดเห็นที่ 11 แทนที่จะเอาเวลาเข้ามาโพสต์ ถ้าตัวเองจะทำก็ควรทำโดยการไม่เข้ามาโพสต์ แล้วไปช่วยคนไม่ดีกว่าหรือไง? เรื่องศรัทธา และศาสนาคือทางนำชีวิต ถ้าคิดว่ามันไร้สาระก็ไม่ต้องเข้ามา แต่ผมคิดว่า สิ่งที่ทำให้คนดีกว่าสัตว์ ก็คือศาสนานี่แหละ ถ้าอยากมีชีวิต แต่มีชีวิตแบบสัตว์ ก็เรื่องของคุณครับ คุณ สุดเดียวดาย จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 11:44:24

ความคิดเห็นที่ 12 ขำ คุณสุดเดียวดายอ่ะค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 54 12:53:58

ความคิดเห็นที่ 13 กำลังง่วง คุณเดียวดายเข้ามาตาสว่างเลย จากคุณ : chinky เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 10:41:54