|
(ผมจะลองก๊อปปี้ถ้อยคำลงมา...ข้างล่างนี้)
-------------------------------------------
หลวงปู่มั่นสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์
--------------------------------------------------------------------------------
พระธรรมเจดีย์ :ที่ว่าพระสกิทาคามี ทำการราคะพยาบาทให้น้อยนั้น
ดูมัวไม่ชัดเจน เพราะไม่ทราบว่าน้อยแค่ไหนไม่แตกหักเหมือนพระโสดาบัน พระอนาคามีและพระอรหันต์
พระอาจารย์มั่น :แตกหักหรือไม่แตกหักก็ใครจะไปรู้ของท่าน เพราะว่าเป็นของเฉพาะตัว
พระธรรมเจดีย์ :ถ้าจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะชี้ตัวอย่างให้เข้าใจบ้างหรือไม่?
พระอาจารย์มั่น :การสันนิษฐานนั้นเป็นของไม่แน่ ไม่เหมือนอย่างได้รู้เองเห็นเอง
พระธรรมเจดีย์ :แน่หรือไม่แน่ก็เอาเถิด ข้าพเจ้าอยากฟัง?
พระอาจารย์มั่น :ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าท่านที่ได้เป็นโสดาบันเสร็จแล้วมีอัธยาศัยใจคอซึ่งต่างกับปุถุชน
ท่านได้ละกามราคะพยาบาทส่วนหยาบถึงกับล่วงทุจริตซึ่งเป็นฝ่ายอบายคามีได้คงเหลือแต่อย่างกลาง อย่างละเอียดอีก 2 ส่วน
ภายหลังท่านเจริญสมถวิปัสสนามากขึ้นก็ละกามราคะปฏิฆะสังโยชน์อย่างกลางได้อีกส่วนหนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่านี่แหละเป็นมรรคที่ 2ต่อ
มาท่านประพฤติปฏิบัติละเอียดเข้าก็ละกามราคะพยาบาทที่เป็นอย่างละเอียดได้ขาด
ชื่อว่าพระอนาคามี
พระธรรมเจดีย์ :กามราคะพยาบาทอย่างหยาบถึงกับล่วงทุจริต หมายทุจริตอย่างไหน?
พระอาจารย์มั่น :หมายเอาอกุศลกรรมบถ 10 ว่าเป็นทุจริตอย่างหยาบ
พระธรรมเจดีย์ :ถ้าเช่นนั้นพระโสดาบันท่านก็ละอกุศลกรรมบถ 10 ได้ เป็นสมุจเฉทหรือ?
พระอาจารย์มั่น :ตามความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่ากายทุจริต 3 คือ ปาณา อทินนา กาเมสุมิจฉาจาร
มโนทุจริต 3 อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฎฐินี้ละขาด ได้เป็นสมุจเฉท
ส่วนวจีกรรมที่ 4 คือ มุสาวาทก็ละได้ขาดส่วนวจีกรรมอีก 3 ตัว คือ ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาป
ละได้แต่ส่วนหยาบที่ปุถุชนกล่าวอยู่แต่ส่วนละเอียดยังละไม่ได้ต้องอาศัยสังวรความระวังไว้
พระธรรมเจดีย์ :ที่ต้องสำรวมวจีกรรม 3 เพราะเหตุอะไร ทำไมจึงไม่ขาดอย่างมุสาวาท?
พระอาจารย์มั่น :เป็นด้วยกามราคะ กับปฏิฆะ สังโยชน์ทั้ง 2 ยังละไม่ได้
พระธรรมเจดีย์ :วจีกรรม 3 มาเกี่ยวอะไรกับสังโยชน์ทั้ง 2 ด้วยเล่า?
พระอาจารย์มั่น :บางคาบบางสมัย เป็นต้นว่ามีเรื่องที่จำเป็นเกิดขึ้นในคนรักของท่านกับคนอีกคนหนึ่งซึ่งเขาทำความไม่ดีอย่าง
ใดอย่างหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องพูดครั้นพูดไปแล้วเป็นเหตุให้เขาห่างจากคนนั้น จึงต้องระวังส่วนปิสุณาวาจา บางคราวความโกรธเกิด
ขึ้นที่สุดจะพูดออกไปด้วยกำลังใจที่โกรธว่าพ่อมหาจำเริญแม่มหาจำเริญที่เรียกว่าประชดท่าน ก็สงเคราะห์เข้าใจผรุสวาจา
เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม ส่วนสัมผัปปลาปนั้นดิรัจฉานกถาต่างๆมีมาก ถ้าสมัยที่เผลอสติมีคนมาพูด ก็อาจจะพลอยพูดไปด้วยได้
เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม
พระธรรมเจดีย์ :อ้อพระโสดาบันยังมีเวลาเผลอสติอยู่หรือ?
พระอาจารย์มั่น :ทำไมท่าจะไม่เผลอ สังโยชน์ยังอยู่อีกถึง 7ท่านไม่ใช่พระอรหันต์จะได้บริบูรณ์ด้วยสติ
พระธรรมเจดีย์ :กามราคะ พยาบาท อย่างกลางหมายความเอาแค่ไหนเมื่อเกิดขึ้นจะได้รู้?
พระอาจารย์มั่น :ความรักแลความโกรธที่ปรากฎขึ้น มีเวลาสั้นหายเร็วไม่ถึงกับล่วงทุจริต นี่แหละเป้นอย่างกลาง
พระธรรมเจดีย์ :ก็กามราคะ พยาบาท อย่างละเอียดนั้นหมายเอาแค่ไหนแลเรียกว่าพยาบาท
ดูหยาบมาก เพราะเป้นชื่อของอกุศลฦ?
พระอาจารย์มั่น :บางแห่งท่านก็เรียกว่าปฏิฆะสังโยชน์ก็มีแต่ความเห็นของข้าพเจ้าว่า
ไม่ควรเรียกพยาบาทควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชน์ดูเหมาะดี
พระธรรมเจดีย์ :ก็ปฏิฆะกับกามราคะที่อย่างละเอียดนั้นจะได้แก่อาการของจิตเช่นใด?
พระอาจารย์มั่น :ความกำหนัดที่อย่างละเอียดพอปรากฎขึ้นไม่ทันคิดออกไปก็หายทันทีส่วนปฏิฆะนั้น เช่นคนที่มีสาเหตุ
โกรธกันมาแต่ก่อนครั้นนานมาความโกรธนั้นก็หายไปแล้ว และไม่ได้นึกถึงเสียเลยครั้นไปในที่ประชุมแห่งใดแห่งหนึ่งไปพบคนนั้นเข้า
มีอาการสะดุดใจ ไม่สนิทสนมหรือเก้อเขินผิดกับคนธรรมดา ซึ่งไม่เคยมีสาเหตุกัน
ข้าพเจ้าเห็นว่าอาการเหล่านี้เป็นอย่างละเอียดควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชน์ได้ แต่ตามแบบท่านก็ไม่ได้อธิบายไว้
พระธรรมเจดีย์ :สังโยชน์ทั้ง 2 นี้ เห็นจะเกิดจากคนโดยตรงไม่ใช่เกิดจากสิ่งของทรัพย์สมบัติอื่นๆ?
พระอาจารย์มั่น :ถูกแล้ว เช่นวิสาขะอุบาสกเป็นพระอนาคามีได้ยินว่าหลีกจากนางธัมมทินนาไม่ได้หลีกจากสิ่งของทรัพย์สมบัติ
ส่วนอื่นๆส่วนความโกรธหรือปฏิฆะที่เกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องของคนทั้งนั้นถึงแม้จะเป็นเรื่องสิ่งของก็เกี่ยวข้องกับคน ตกลงโกรธคนนั่นเอง
www.watpanonvivek.com
_________________
12-12-2009, 11:47 PM #3 ธัมมนัตา สมาชิก
ข้อสังเกตุ
บทสนทนานี้ เดิมอยู่ในหนังสือ ชื่อปุจฉา-วิสัชนา บ้าง ธัมมานุธัมมปฏิปัตติบ้าง ซึ่งเป็นหนังสือที่ดี ได้จัดพิมพ์มาหลายครั้ง ครั้งแรก ๆ ไม่ปรากฎชื่อผู้เขียน แต่มีผู้ที่จัดพิมพ์ระยะหลังใส่ชื่อผู้เขียนว่าเป็นบทสนทนาธรรมระหว่างพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตโต กับพระธรรมเจดีย์ จูมพันธุโล ในฐานะที่ได้ติดตามธรรมะของหลวงปู่มั่นมาและพิมพ์ประวัติท่านหลายครั้งแล้ว ขอตั้งข้อสังเกตุไว้ เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด คลาดเคลื่อน ต่อครูบาอาจารย์ จึงขอให้ใช้วิจารณาญาณก่อนตัดสิน ดังนี้
1.จากที่ติดตามหนังสือนี้ไม่ปรากฎเอกสารชั้นต้นที่ยืนยันว่าเป็นบทสนทนา ระหว่างพระอาจารย์มั่น กับพระธรรมเจดีย์ จูมพันธุโล แต่อย่างใด หากมีอยู่ จะต้องได้รับการเผยแผ่โดยลูกศิษย์ ในช่วงหลังจากที่หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพนั้น มีการรวบรวมเอกสารคำสอนหลวงปู่มั่นที่สำคัญ ๆ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ได้มอบหมายให้ท่านพระอาจารย์เส็ง ปุสโส รับผิดชอบ จัดทำหนังสือที่ระรึกในงานศพท่านปี 2493 ก็ไม่ปรากฎเอกสารชุดนี แต่อย่างใด
2.การบันทึกคำสอนหลวงปู่มั่นนั้นโดยมีรายละเอียดแบบสนทนาคำต่อคำ ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะการบันทึกต้องแอบบันทึกแบบสรุปความย่อ เช่นคำอธิบายใน มุตโตทัย ของหลวงปู่วิริยังค์ ท่านว่าต้องหลบหลวงปู่มั่น แอบบันทึกมุตโตทัย ใช้เวลาหลายเดือน และนำมาให้หลวงปู่มั่นอ่านอีกครั้งและท่านพระอาจารย์มั่นก็รับรองในภายหลัง
รูปแบบข้างต้นเป็นการสนทนาก็จริงอยู่ แต่หากอ่านโดยพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเป็นการเขียนโดยมีการวางโครงสร้างการเขียนไว้ก่อน และเขียนแบบถามตอบ อ้างอิงบาลีอย่างเป็นขั้นเป็นตอน น่าจะเป็นการเขียนโดยคนเดียวกันมากกว่า
3.พระอาจารย์จูมท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ให้ความเคารพสักการะอย่างสูงต่อพระอาจารย์เสมอ การซัก-ถามด้วยถ้อยคำที่ดูฐานะเกือบเสมอกันนั้น น่าจะไม่ใช่ถ้อยคำพาที ระหว่างศิษย์-อาจารย์
4.ในหนังสือเล่มนี้ที่จัดพิมพ์ในปี 2498 และ 2536 ไม่ได้ระบุผู้เขียนไว้ หากเป็นข้อเขียนของท่านทั้งสองแน่แท้น่าจะมีศิษย์รุ่นแรก ๆ ของท่านรวบรวมไว้แล้ว โดยเฉพาะพระอาจารย์เจ้าคุณธรรมเจดีย์เอง
อย่างไรก็ตามเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง เข้าใจว่าผู้เขียนไม่ต้องการระบุตัวตนหรือให้สนใจว่าใครเขียน ให้มุ่งเน้นที่ธรรมะมากกว่า
หากท่านผู้ใดที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นบทสนทนา ระหว่างพระอาจารย์มั่น กับพระอาจารย์จูม ก็โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ความกระจ่างยืนยันในเรื่องนี้ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะมีผู้สนใจในหนังสือธัมมานุธัมมปฏิปัตตินี้และจัดพิมพ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
หากผิดพลาดประการใดในการแสดงความเห็นนี้ก็ขออภัยในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย __________________
จากคุณ |
:
โขตาน
|
เขียนเมื่อ |
:
28 พ.ย. 54 13:01:10
|
|
|
|
|