ในพุทธศาสนา ไม่ได้ปฏิเสธ การมีครอบครัว หรือการมีคู่ ดังจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ ได้ตรัสหลักธรรมอื่น ๆ เอาไว้มากมาย เกี่ยวกับการมีคู่ครอง และการดูแล บริหาร การมีชีวิตคู่อย่างไร ให้มีความสุข เช่น หลัก ฆราวาสธรรม ทิศทั้ง ๖ มงคลสูตร และหลักธรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ตรัสไว้ เพื่อสนับสนุน การอยู่ในสังคม และการดูแลครอบครัวให้มีความสุข ในโลกนี้
แต่หลักธรรม บางส่วน โดยเฉพาะ ส่วนที่ ท่านเจ้าของกระทู้ได้หยิบยกมานั้น พระองค์ทรงตรัสแก่พระภิกษุ เพื่อให้มีความเบื่อหน่าย ต่อการกลับเข้าไปสู่ภาวะแห่งคฤหัสถ์ ซึ่งเป็นภาวะที่ต่ำกว่า ภาวะแห่งการเป็นพระสงฆ์ ในพุทธศาสนา (หินะภาโว) เท่านั้น
ดังนั้น การศึกษา หลักธรรมในพระพุทธศาสนา หากจะมุ่งยึดเพียงหลักธรรม ที่ตรัสจำเพราะเจาะจง พุทธบริษัท กลุ่มอื่น มาใช้กับ พุทธบริษัทอีกกลุ่ม ก็จะกลายเป็นว่า ใช้หลักพุทธธรรม ไปในทางที่ "ผิดฝาผิดตัว" ได้เช่นกัน
จึงฝากไว้เพื่อพิจารณา ในฐานะเป็นอีกความเห็นหนึ่ง ที่แตกต่าง ครับ
ผมเคยเข้าวัด วัดหนึ่งไปกับครอบครัว และญาติ ๆ เพื่อไปฟัง พระบวชใหม่ ที่เป็นลูกชาย ของญาติในตระกูล ขึ้นแสดงธรรม (เพราะเป็นธรรมเนียมของพระวัดนั้น ว่า พระใหม่ทุกรูป ที่บวชเข้าพรรษา ต้องแสดงธรรมโปรด บิดามารดา และญาติ ๆ ตลอดถึงคนที่มาทำบุญ ทั่ว ๆ ไป ๓ ครั้ง ก่อนสึก)
ปรากฎว่า หลวงพี่ ท่านขึ้นธรรมมาสน์ ก็ร่ายยาวเลยครับ ประมาณว่า ตำหนิติเตียน สตรีตลอดเวลาว่า สตรีเพศเป็นมาร สตรีเพศเป็นเพศที่เป็นพิาเป็นภัยต่าศาสนา เป็นเพศที่ยั่วยวนให้หลงไปในอบายภูมิ ดังนั้น การเข้าไปข้องเกี่ยวกับสตรีเพศนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปในทางบาปกรรม ฯลฯ
เรียกว่า ตลอดการเทศน์นั้น ตำหนิ สตรีเพศว่า เป็นมารศาสนา ประมาณนั้น ทั้ง ๆ ที่ โยมแม่ โยมน้องสาว พี่สาว โยมซ้อ โยมอาอี๊ โยมอาม่า อาอึ้ม ก็นั่งพนมมือฟังอยู่ด้วย
ผมซึ่งเป็นโยมญาติ ( ต่างกับญาติโยมไหม?) ที่สนิทสนมกับพระใหม่มาก ๆ คนหนึ่ง หลังจากท่านเทศน์จบ ก่อนกลับบ้าน ก็ตามไปถึงกุฏิ และไถ่ถามว่า กันณ์เทศน์ท่านได้แต่ใดมา พระนวกะ (พระบวชใหม่) ก็ตอบว่า หลวงพี่ พระพี่เลี้ยงท่านให้มา
หลังจากวันนั้น ผมก็หมั่นเข้าวัดนั้นเป็นประจำ แม้ไม่ใช่วัดพระ หมั่นไปสนทนาธรรม กับพระพี่เลี้ยงรูปนั้น และเสนอ ข้อคิดเห็น คล้าย ๆ กับที่ผมเสนอไปแล้วข้างบนนั้น ว่า "หลักธรรม ในพุทธศาสนานั้น น่าจะมีอีกมากมายที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอน เพื่อให้ประชาชน ส่วนใหญ่ของโลกนี้ ที่ยังเป็นฆราวาส ได้มีชีวิอยู่อย่างมีความสุข หากพระคุณเจ้าจะกรุณานำมาเทศนาสอนบ้าง ก็เชื่อว่า จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง" (ทำนองว่า ขอร้อง หรืออาราธนา ให้พระได้แสดงธรรม โปรดฆราวาส ให้ถูกจุดประสงค์ ของพระพุทธองค์ บ้าง ในกรณีที่จะสงเคราะห์ฆราวาสผู้ครองเรือนอยู่ ตามปกติวิสัย)
ปรากฎว่า ตลอดพรรษา หลังจากวันนั้น ไม่มีพระใหม่รูปไหน เทศน์เรื่อง "สตรี หรือบุตร ภรรยา" เป็นพิษเป็นภัย ต่อศาสนา ต่อพรหมจรรย์ ในศาสนา โดยที่มีคนมาฟังเยอะ ๆ ทั้งหญิงทั้งชาย ฯลฯ อีกเลย
หลังออกพรรษา พระที่เป็นญาติผมก็ลาสิกขา และยังคงหมั่นไปกราบ หลวงพี่พระพี่เลี้ยง อยู่เป็นประจำ หลาย ๆ ครั้งก็ชวนผมไป ผมก็ไปกราบท่านอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่บ่อยเหมือนญาติผม จนกระทั่ง ปัจจุบัน ท่านมีสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสูง ๆไปแล้ว (เป็นท่านเจ้าคุณฯ)
ไม่เคยคิดว่า บังอาจสอนพระครับ และพระเองท่านก็ไม่เคยคิดว่า เราซึ่งเป็นญาติโยมไปสอนท่าน แต่ท่าน มองว่า เราไปอาราธนา ให้ท่านเมตตา สอนธรรมะ อันเป็นประโยชน์โดยตรง กับวิถีชีวิตแห่งฆราวาส เท่านั้น
ในส่วนของการฝึกฝนตบะ ทางธรรม เพื่อแผดเผา เอาชนะกิเลส อันเกิดจากเพศรส อันเป็น หินะภาโว หรือเป็ศที่ต่ำทราม อันอาจจะเป็นภัย ต่อพรหมจรรย์ ของพระสงฆ์นั้น ท่านก็ไปสอนกันเองภายใน เฉพาะพระด้วยกันเท่านั้น ก็ถือว่าได้ประโยชน์ และไม่ทำลายจิตใจ ของญาติโยม ที่เป็นสตรีเพศ ซึ่งรวมถึง สตรีผู้เป็นแม่ ด้วย
ดังที่ผมได้ รับความเมตตา จากท่านเจ้าคุณรูปนั้นท่านกล่าวว่า ...ธรรมะในพุทธศาสนา บางครั้ง ก็มีลักษณะ เป็นคล้าย ๆ คัมภีร์อุปนิษัท ของพราหมณ์อยู่บ้างเช่นกัน ก็คือ ต้องถ่ายทอดกันเฉพาะตน ๆ ในที่ ที่สมควร (เช่นเรื่อง อาบัติของพระ หรือ หลักการชนะกิเลส ชนะกามารมณ์ ในเพศบรรพชิต ด้วยวิธีการต่าง ๆ ) เพียงแต่ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่เหมือนพระเวทของพราหมณ์ ก็ตรงที่ เราถ่ายทอดแต่สิ่งดีงามงาม เรางดเว้น การถ่ายทอด เรื่องอาคมขลัง อาถรรพ์มนตรา หรือสิ่งที่เป็นไปในลักษณะอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เบื้องบน มาให้คุณ หรือให้มาลงโทษ แก่เรา หรือแก่ผู้อื่น ตามคำสวดอ้อนวอน ฯลฯ.....
และดูเหมือน ท่านเจ้าคุณ (เดี๋ยวนี้เป็นชั้นธรรมแล้ว) ท่านจะเมตตาผม เป็นกรณีพิเศษอยู่บ้างเหมือนกัน บางครั้ง ท่านก็มาที่บ้านเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นิมนต์ (ท่านให้ลูกศิษย์โทรล่วงหน้า ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น) ท่านอ้างว่า โยม (คือผม) ยังมีกิเลส เป็นหน้าที่ของอาตมา ที่จะต้องหมั่นมาหาบ่อย ๆ หากโยมไม่ไปวัด อาตมาก็จะมาบ้านโยมนี่แหล่ะ ดังนั้น ก็ให้เลือกเอา ว่าจะไปวัด (ซะดี ๆ) หรือจะให้อาตมา มาหาที่บ้าน
ท่านเจ้าคุณ ท่านไม่ธรรมดาเลยนะครับ เมตตาสูงมาก ดังนั้น ผมก็เลยได้มีโอกาส ไปวัดบ้าง ท่านเจ้าคุณมาที่บ้านบ้าง ท่านขอให้ช่วยขับรถ พาท่านไปกิจนิมนต์ ในจังหวัดใกล้เคียงบ้าง เพื่อตรวจตราดูแล พระในปกครองของท่าน ซึ่งมีหลาย ๆ จังหวัด เพื่อที่จะได้สนทนากัน ในเรื่องราวต่าง ๆ
ผมก็คิดว่า เป็นโชคดีนะครับ ไม่ได้ถือว่า ถูกพระเรียกใช้ให้ไปขับรถหรอก เพราะ วันไหนที่ท่านให้ผมขับรถให้ท่าน (รถท่านบ้าง รถผมบ้าง) ท่านก็จะไม่อนุญาต ให้ศิษย์ หรือคณะผู้ติดตามคนอื่น ๆ ติดตามเลย ท่านก็จะได้มีโอกาส ถ่ายทอดคัมภีร์ "อุปนิษัท" ตามแบบฉบับ ของคณะสงฆ์ไทย อันว่าด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่ชาวบ้าน ทั่ว ๆ ไป มักจะยังไม่รู้ ว่าวงการพระ ท่านยังมีอะไร ๆ ที่มหัศจรรย์พันลึกมาก ๆ ทีเดียว ทั้งพระป่า และเมือง
ท่านเป็นพระนักปกครอง ท่านย่อมรู้อะไรลึก ๆ เกี่ยวกับพระ เป็นธรรมดามาก ๆ ครับ
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 54 13:16:32