Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"สงครามหิญาบในตูนีเซีย" ติดต่อทีมงาน

สงครามหิญาบในตูนีเซีย

By nafeezah.sp - Posted on มกราคม 31st, 2011
Tagged:  

มุมมุสลิมญิฮาด

วันนี้เราจะมาพูดถึงประเทศตูนิเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่เข้ารับอิสลามตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่อิสลามเริ่มเรืองอำนาจขึ้น ตูนิเซียเป็นประเทศมุสลิมที่โดดเด่นเพราะครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นฐานทัพของทหารมุสลิมในภารกิจการพิชิตอันดาลูเชีย และจากนั้นก็ซิซิลีในเวลาต่อมา

จากข้อมูลข้างต้น คุณอาจต้องประหลาดใจถ้าได้ทราบว่าในปัจจุบัน พี่น้องมุสลิมในดินแดนที่อิสลามเคยแผ่ร่มเงาไพศาลแห่งนี้ต้องเผชิญกับความกดดันมากมายในการที่จะใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของอิสลาม หนึ่งในความยากลำบากที่โดดเด่นคือการคลุมหิญาบของมุสลิมะฮฺซึ่งถูกห้ามโดยเด็ดขาดจากทางการ มหาวิทยาลัยต่างๆ ของตูนิเซียบังคับนักศึกษามุสลิมะฮฺให้เข้าเรียนโดยปราศจากสิ่งปกคลุมศีรษะ

ไม่เฉพาะหิญาบเท่านั้นที่ถูกสั่งห้าม แต่รวมทั้งหมวกต่างๆ ผ้าพันผม และทุกอย่างที่ปกปิดศีรษะด้วย นี่คือข้อความที่เอกสารทางการศึกษาได้ระบุไว้ นักศึกษาที่ไม่ยอมลงชื่อในเอกสารจะต้องถูกไล่ออก และบางทีอาจจะต้องถูกปรับอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เอกสารที่ว่านี้ยังกำหนดเงื่อนไขสำหรับนักศึกษามุสลิมว่าจะต้องเข้าเรียนด้วยใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ประหนึ่งว่าเครานั้นเป็นอันตรายร้ายแรงต่อระบบการศึกษาของตูนิเซีย

วันที่ 2 มิถุนายน 2003 นักศึกษาตูนิเซียที่คลุมหิญาบกลุ่มหนึ่งกล่าวประณามระบอบการปกครองของตูนิเซียที่ทำให้พวกเธอถูกห้ามจากการเข้าห้องสอบเพียงเพราะหิญาบของพวกเธอ สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นในช่วงท้ายของปี เมื่อทนายความและนักสิทธิมนุษยชนกว่าร้อยคนลงนามในหนังสือประท้วงและประณามระบอบการปกครองของตูนิเซียที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหิญาบ

คำร้องทุกข์นี้ถูกเสนอให้แก่ประธานธิบดีเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2003 โดยมีใจความว่า “สตรีตูนิเซียที่คลุมหิญาบถูกห้ามทำงานและเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้งแต่ต้นปี นอกจากนี้ตำรวจก็ยังต่อว่าพวกเธอและบังคับให้พวกเธอถอดหิญาบโดยกล่าวดูถูกพวกเธอด้วยภาษาที่หยาบโลนเป็นอย่างมาก แม้จะอยู่ต่อหน้าสามีหรือพี่น้องผู้ชายของพวกเธอก็ตาม และพวกเธอยังถูกบังคับให้ลงชื่อในหนังสือสัญญาว่าพวกเธอจะไม่สวมใส่หิญาบอีกในอนาคตอีกด้วย”

แต่ถึงกระนั้น การต่อต้านหิญาบก็ยังไม่ได้ดำเนินมาจนถึงขีดสุด จนกระทั่งเมื่อผู้ต่อต้านหิญาบเล็งเห็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะใช้ในการกำจัดหิญาบ เป็นช่องที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝังคนรุ่นต่อไปไม่ให้มีความผูกพันใดใดกับหิญาบ นั่นคือช่องทางที่มีเด็กๆ เป็นกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มปฎิบัติการเหลือเชื่อที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน โดยส่งตำรวจบุกเข้าโจมตีร้านของเล่นที่ขาย “ฟุลละฮฺ” ตุ๊กตาผู้หญิงสวมหิญาบยี่ห้อดัง และในเมื่อแม้แต่ตุ๊กตาของเด็กๆ ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้สวมหิญาบเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในหนังสือเรียนของประเทศนี้ไม่มีภาพของผู้หญิงที่คุลมหิญาบหรือรายละเอียดข้อมูลใดที่เกี่ยวข้องกับการคลุมหิญาบเลย


ในปี 2006 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯยังได้ออกคำสั่งให้อาจารย์ซัยดะฮฺ
อะดะละฮฺถูกพักการสอนเป็นเวลา 3 เดือน โดยไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินเดือน เนื่องจากเธอสวมใส่หิญาบในโรงเรียน ขอบคุณอัลลอฮฺที่ทำให้คำตัดสินนี้โมฆะไปเพราะการคัดค้านของคณะตุลาการตูนิเซียเนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญตูนิเซีย

นอกจากนี้ กระทรวงกิจการเกี่ยวกับสตรีและครอบครัวยังออกกฎห้ามไม่ให้มุสลิมะฮฺคลุมหิญาบเข้ามาในทุกสถาบันที่สังกัดกระทรวงนี้ รายละเอียดของกฎนี้ระบุไว้ว่าหิญาบ หรือการคลุมศีรษะใดๆ ไม่ว่าจะด้วยผ้าคลุมหรือหมวกต่างๆ นั้นถือเป็นรูปแบบหนึ่งของความสุดโต่งและยังออกคำสั่งเพิ่มเติมว่าให้ดำเนินการกับผู้ที่สวมใส่หรือใช้สิ่งที่ระบุไว้ข้างต้นทุกคน พวกเขาทำราวกับว่าหิญาบหรือผ้าคลุมศีรษะนั้นเป็นอาวุธของผู้ก่อการร้ายที่สตรีผู้สวมใส่มันจะต้องถูกดำเนินคดี

อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่เพียงสงครามต่อต้านหิญาบ ทว่ามันคือสงครามต่อต้านอิสลาม สงครามต่อต้านหิญาบนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวอย่างหนึ่งของการต่อต้านทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอิสลามของรัฐบาลตูนิเซีย อันที่จริง
ยังมีอีกหลายตัวอย่างของสงครามต่อต้านอิสลามที่น่าร้าวรานใจ ด้วยเหตุนี้
กรรมการนักสิทธิมนุษยชนหลายคนจึงบันทึกเหตุการณ์การข่มเหงและล่วงละเมิดสิทธิไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ที่อันตรายยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่รัฐบาลตูนิเซีย

กำลังพยายามที่จะ “ถอนรากถอนโคนต้นตอต่างๆ” ฉะนั้นพวกเขาจึงสั่งปิดเว็บไซต์และสถานีดาวเทียมบางช่องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับอิสลาม นอกจากนี้พวกเขายังกำหนดข้อจำกัดในการเดินทางและการเคลื่อนไหวของผู้นำศาสนาและผู้รู้บางท่านด้วย กล่าวได้ว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่รัฐบาลตูนิเซียทุ่มเททำตลอดมา ก็คือการสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนได้มีโอกาสรู้เห็นการตื่นตัวของอิสลามที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกมุสลิมนั่นเอง

(มาชาอัลลอฮฺ แล้ววันนี้ตูนิเซียก็กลายเป็นจุดเริ่มอันสว่างไสวของก้าวต่อไปแห่งการตื่นตัวนั้นเอง - ผู้เรียบเรียง)


แหล่งข้อมูลอ้างอิง http://en.islamstory.com

http://www.baanmuslimah.com/dp57/node/1079

นำมาให้อ่านเพื่อเป็น ความรู้อีกด้านหนึ่งสำหรับสมาชิกในเรื่องการปกครอง
ของมุสลิมในประเทศมุสลิมด้วยกัน  

แก้ไขเมื่อ 01 ธ.ค. 54 13:55:23

จากคุณ : แมทท์
เขียนเมื่อ : 1 ธ.ค. 54 13:51:23




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com