น้ำผักแบบที่มีเนื้อ อย่างนั้นไม่น่าจะได้เพราะจะล่วง วิกาลโภชนา
แต่ถ้าเป็นน้ำต้มได้รสหรือกลิ่นผัก อย่างนี้ ก็น่าจะดื่มได้
--------------------------------------------------------------------
(พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒)
พระพุทธานุญาตน้ำอัฏฐบาน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด
คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑
น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะทราง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือ
องุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเหง้าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑.
( อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพํ ผลรสํ ฐเปตฺวา ธญฺญผลรสํ ฯ )
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก.
( อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพํ ปตฺตรสํ ฐเปตฺวา ปกฺกฑากรสํ ฯ )
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง.
( อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพํ ปุปฺผรสํ ฐเปตฺวา มธุกปุปฺผรสํ ฯ )
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.
--------------------------------------------------------------------
(สมันตปาสาทิกา)
ว่าด้วยรส ๔ อย่าง
ธัญญผลรส นั้น ได้แก่ รสแห่งข้าว ๗ ชนิด
ฑากรส นั้น ได้แก่ รสแห่งผักที่สุก.
จริงอยู่ รสแห่งผักที่เป็นยาวกาลิก ย่อมควรในปุเรภัตเท่านั้น.
รสแห่งผักที่เป็นยาวชีวิกที่สุกพร้อมกับเนยใสเป็นต้น ที่รับประเคนเก็บไว้ ควรฉันได้เจ็ดวัน.
แต่ถ้ารสแห่งผักนั้นสุกด้วยน้ำล้วน ควรฉันได้จนตลอดชีวิต.
ภิกษุจะต้มผักที่เป็นยาวชีวิกนั้นให้สุกพร้อมกับนมสดเป็นต้นเองไม่ควร.
แม้ที่ชนเหล่าอื่นให้สุกแล้ว ย่อมนับว่ารสผักเหมือนกัน.
ส่วนในกุรุนที แก้ว่า รสแม้แห่งผักซึ่งเป็นยาวกาลิก ที่คั้น
ในน้ำเย็นทำก็ดี สุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ดี ย่อมควร.
วินิจฉัยในข้อว่า ฐเปตฺวา มธุกปุปฺผรสํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
รสดอกมะซางจะสุกด้วยไฟ หรือสุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ตาม
ย่อมไม่ควรในปัจฉาภัต ชนทั้งหลายถือเอารสดอกไม้อันใดซึ่งสุกแล้ว
ทำให้เป็นน้ำเมารสแห่งดอกไม้นั้น ย่อมไม่ควรแต่ต้น แม้ในปุเรภัต.
ส่วนดอกมะซาง จะสดหรือแห้ง หรือคั่วแล้ว หรือคลุกน้ำอ้อยแล้ว
ก็ตามที เขายังไม่ทำให้เป็นน้ำเมา จำเดิมแต่ดอกชนิดใด
ดอกชนิดนั้นทั้งหมด ย่อมควรในปุเรภัต
รสอ้อยที่ไม่มีกาก ควรในปัจฉาภัต.
รส ๔ อย่างเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อทรงอนุญาตน้ำปานะ ได้ทรงอนุญาตไว้ด้วยประการฉะนั้นแล.
--------------------------------------------------------------------
(อธิบายคำศัพท์ เพิ่มเติม)
คำว่า ปุเรภัต (ก่อนภัต, ก่อนอาหาร)
หมายถึง เวลาก่อนฉันของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ แต่เมื่อพูดอย่างกว้าง หมายถึง ก่อนหมดเวลาฉัน คือ เวลาเช้าจนถึงเที่ยง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ภิกษุฉันอาหารได้;
คำว่า ปัจฉาภัต (ทีหลังฉัน, เวลาหลังอาหาร) หมายถึงเวลาเที่ยงไปแล้ว;
คำว่า กาลิก (เนื่องด้วยกาล, ขึ้นกับกาล, ของอันจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไปซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้และฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด) จำแนกเป็น ๔ อย่าง คือ
๑. ยาวกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่วเวลาเช้าถึงเที่ยงของวันนั้น
เช่น ข้าว ปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ ขนมต่างๆ
๒. ยามกาลิก รับประเคนไว้และฉันได้ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือก่อนอรุณของวันใหม่
ได้แก่ ปานะ คือ น้ำคั้นผลไม้ที่ทรงอนุญาต
๓. สัตตาหกาลิก รับประเคนไว้แล้วฉันได้ภายในเวลา ๗ วัน
ได้แก่ เภสัชทั้ง ๕
๔. ยาวชีวิก รับประเคนแล้ว ฉันได้ตลอดไปไม่จำกัดเวลา
ได้แก่ ของที่ใช้ปรุงเป็นยา นอกจากกาลิก ๓ ข้อต้น
(ความจริงยาวชีวิก ไม่เป็นกาลิก แต่นับเข้าด้วยโดยปริยาย เพราะเป็นของเกี่ยวเนื่องกัน)
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 54 19:52:01