ความคิดเห็นที่ 1 พบก่อนที่ท่านจะปรินิพพานครับ...โดยท่านใช้ญาณระลึกชาติ...จึงได้รู้ว่าไปพบพระพุทธเจ้าในสมัยก่อนๆครับ จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 23:41:41

ความคิดเห็นที่ 2              พบในสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ เช่น              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕              มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์              ฆฏิการสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=6596&Z=6824                            ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=403              พระพุทธพจน์ :-              ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว        ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป              ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต. http://84000.org/tipitaka/read/?9/90              หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html     แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 54 23:44:12

ความคิดเห็นที่ 3 จิตไม่ได้หายไปไหน พระพุทธเจ้ายังเคยเสด็จมาสอนพระธรรมเทศนาให้พระอาจารย์มั่นฟังเลย หรือของหลวงพ่อฤาษี ก็มีทั้งองค์ปัจจุบัน สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 00:08:37

ความคิดเห็นที่ 4 พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อนิพพานแล้ว แม้จิตของท่านก็จะไม่ปรากฎอีก และจะไม่มีใครได้พบพระองค์อีก   การที่พระพุทธเจ้าโคดมได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ นั้น มีอยู่ 23 พระองค์  แต่การพบนั้นหมายถึง  ทรงพบในสมัยก่อน  สมัยที่ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์  สมัยที่ยังทรงบำเพ็ญบารมีในพระชาติก่อน ๆ ยังไม่ได้ทรงตรัสรู้ เรียกว่า ได้พบพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ในชาติก่อน ๆ หลายชาติก่อนหน้าที่จะเ็ป็นพระพุทธเ้จ้า ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงตรัสรู้แล้วท่านไปสนทนาหรือไปพบพระพุทธเ้จ้าพระองค์ก่อน ๆ ในมิติใด ท่านเจ้าของกระทู้เข้าใจถูกถึงการปรินิพพาน  เพราะเมื่อนิพพานแล้ว แม้จิต ก็จะสิ้นไปด้วย  เพราะเหตุให้เกิดจิตแต่ละดวง ก็ดับสลายไปเหมือนกัน  จะไม่มีพระพุทธเจ้าประทับนั่งหรือยืนในที่ใดในแดนนิพพานอย่างคำสอนของหลวงพ่อบางรูป ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการพบพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ของพระพุทธเจ้าโคดม                          "สมัยนั้น เราออกจากอาศรมของตนแล้ว สลัดผ้าคากรองเหาะไป                          ในอัมพรได้เห็นหมู่ชนผู้มีจิตโสมนัส ยินดี ร่าเริงเบิกบานใจ จึงลง                          จากอากาศมาถามมนุษย์ทั้งหลายในขณะนั้นว่า มหาชนผู้มีจิตโสมนัส                          ยินดี ร่าเริง เบิกบานใจ ช่วยกันแผ้วถางทางสำหรับเดินเพื่อใคร                          ชนเหล่านั้นอันเราถามแล้วบอกว่า พระพุทธชินเจ้าผู้ยอดเยี่ยมเป็น                          นายกของโลก พระนามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ชน                          ทั้งหลายช่วยกันแผ้วถางทางสำหรับเดินเพื่อพระองค์ ขณะนั้นปีติ                          เกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ เราจึงกล่าวประกาศความ                          โสมนัสว่า พุทโธ พุทโธ เราทั้งยินดีทั้งสลดใจยืนคิดอยู่ ณ ที่นั้น                          ว่าเราจะปลูกพืชคือบุญลงในที่นี้ขณะอย่างได้ล่วงไปเสียเลย แล้ว                          กล่าวว่าถ้าท่านทั้งหลายช่วยกันถางทางเพื่อพระพุทธเจ้า ขอจงให้                          โอกาสหนึ่งแก่ข้าพเจ้าแม้ข้าพเจ้าก็จะช่วยแผ้วถางทางเสด็จดำเนิน                          ในกาลนั้นชนเหล่านั้นได้ให้โอกาสเพื่อการถางทางแก่เรา" (1) ตัวอย่างข้างต้นนี้ พระโพธิสัตว์ หรืออดีตชาติของพระพุทธเจ้าได้ทรงบวชเป็นดาบส  ท่านได้เห็นคนมาชุมนุมกันจึงถามว่าทำอะไร เขาตอบว่ารับเสด็จพระพุทธเจ้า  พระดาบสโพธิสัตว์จึงมาขอรับเสด็จด้วย   ทรงเริ่มเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงพบไว้ในพระไตรปิฎก ที่นี้ รัตนจงกรมกัณฑ์ http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=33&A=6654&Z=6873&pagebreak=0 ตัวอย่างที่สอง จากลิ้งค์ของคุณฐานาฐานะ พระโพธิสัตว์ ได้บวชในศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่สามในภัทรกัปป์นี้ นี้เป็นการพบพระพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้าโคดม  คือทรงพบในอดีตชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เื่มื่อปรินิพพานแล้ว  ท่านจะสิ้นรูปนามขันธ์ห้า  ไม่มีใครได้พบอีก หากจะมีผู้กล่าวว่า  ได้พบพระพุทธองค์  การพบนั้น  ก็ต้องมีการเห็นร่างกาย ร่างกายเป็นรูปขันธ์ หากได้สนทนากับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนในแดนนิพพาน  การสนทนานั้นเกิดจากวจี วจีเกิดจากจิต จิตเกิดจากสังขาร นั้นเป็นสังขารขันธ์ หากมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดประทับในแดนนิพพานจริง เท่ากับแดนนั้น มีรูปขันธ์ มีสังขารขันธ์ มีขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีที่ไหน  ที่นั่นไม่ใช่ินิพพาน จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 00:39:18

ความคิดเห็นที่ 5 อ่าน คห. 1, 2 ผ่านมาพอจะเข้าใจ มาเจอ คห. 3 จิตไม่ได้หายไปไหน คือเข้าใจว่านิพพานคือจิตหายไปด้วย รบกวนท่านๆ อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไม๊คะ และเป็นเถรวาทหรือมหายานคะ จากคุณ : งงอีกล่ะ (GravityOfLove) เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 00:44:19

ความคิดเห็นที่ 6 ตอนพิมพ์ คห. 5 ยังไม่ได้ Refresh หน้าก็เลยยังไม่ได้อ่าน คห. 4 คุณ Serene_Angelic ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 00:47:50

ความคิดเห็นที่ 7 ตอนแรกสารภาพว่าผมก็มีความเชื่อแบบคุณเหมือนกัน คือ รู้สึกเอาเองว่ามันน่าจะ "แตกดับไปเลย" คือ ไม่รับรู้สถาวะใดๆอีก แต่พอศึกษาหาข้อมูลมากขึ้น ความเชื่อก็เปลี่ยนไป คือ เท่าที่อ่านมา เพราะผมเองก็ไม่ทราบว่าจริงๆเป็นอย่างไร ในประวัติพระอาจารย์มั่น พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปเทศนาธรรมให้ท่านฟังหลายครั้ง ตอนท่านธุดงค์อาศัยอยู่ในถ้ำ ส่วนหลวงพ่อฤาษี และหลวงพ่อสด ผู้สำเร็จมโนมยิทธิ และวิชชาธรรมกายจริงๆ สามารถเห็น"เมืองนิพพานได้" ท่านอธิบายว่า นิพพานเป็นเหมือนเมือง เป็นที่อยู่ของพระอรหันต์ มีความประณีตกว่าพรหม แต่อยู่เหนือกฎสังสารวัฏ คือ ไม่มีการเกิด-ดับอีก โดยเฉพาะหลวงพ่อฤาษี พระพุทธเจ้าเคยมีเทศนาให้ท่านฟังอย่างน้อยสองพระองค์ คือ พระพุทธเจ้าองค์แรก(จริงๆ) กับพระพุทธเจ้าของเรา ส่วน เรื่องขันธ์ 5 นั้นก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นตัวจิดก็ได้ที่สื่อสารกัน ท่านเคยพูดไว้ว่า ที่คนพูดว่านิพพานสูญนั้น เพราะไม่เคยเห็น จะว่าเค้าก็ไม่ได้ สุดท้ายนี้ถามว่าผมเชื่อท่านหรือไม่ ตอบว่าเชื่ออย่่างสนิทใจว่าเป็นอย่างนั้น เพราะท่านทั้งสามเป็นพระอริยสงฆ์ รู้ได้อย่างไร...เหมือนหลวงตามหาบัว ก็บอกไว้ชัดเจนว่าท่านเป็นพระอรหันต์ สำหรับความเชื่อมหายาน เค้ากล่าวถึงแดนนิพพานไว้นานแล้ว แต่เถรวาทอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะมหายานเองอาจมีการเติมแต่งเนื้อหาอีกมาก เอาเป็นว่า มหายานเรียกแดนนิพพานว่า "ทิพยเกษตร" ก็แล้วกัน เรื่องเหล่านี้ search ดูได้ไม่ยากเลย ลองตรองดู แล้วก็เลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล ตามแบบของคุณก็แล้วกัน http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%AF-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-87675.html แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 01:20:07 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 01:19:40 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 01:19:01 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 01:16:47 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 01:14:51 จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:12:25

ความคิดเห็นที่ 8 ที่หลวงตามหาบัวเล่าว่า  พระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ที่นิพพานไปนานแล้ว  มาหา นั้น ...นั่นคือ ธรรมนิมิต ไม่ใช่หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เหล่านั้นมาจริงๆ นิพพานไม่ใช่จิต  ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป  ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นที่เป็นสังขาร ...  เมื่อใดที่พระอรหันต์ซึ่งได้ประจักษ์นิพพานสมบูรณ์แล้วตายลง(ดับขันธ์)  หลังจากนั้นจิตและขันธ์ทั้งหลาย คือ รูป นาม ทั้งหลายจะดับไป ไม่โผล่มาเกิดอีก จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:42:27

ความคิดเห็นที่ 9              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗              ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต              อุทาน ปาฏลิคามิยวรรคที่ ๘              ๑. นิพพานสูตรที่ ๑              [๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้              สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย ธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้ว น้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า              ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น              ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป              เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ              จบสูตรที่ ๑ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕  บรรทัดที่ ๓๙๗๗ - ๓๙๙๒.  หน้าที่  ๑๗๕. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992              ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=158              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔              มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์              มหาตัณหาสังขยสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=8041&Z=8506                            ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=440              พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙              สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค              ยมกสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=2447&Z=2585                            ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=198              หมวดหนังสือธรรมะ              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html     แนะนำ :-              อ่านและค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม     http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม                สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                   หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 01:45:58

ความคิดเห็นที่ 10 ที่คห. 7 กล่าวถึงมหายานนั้น  จริงๆแล้วมหายาน ก็ไม่ได้สอนแบบที่คุณว่าแต่อย่างใด มหายานมีการกล่าวถึงพุทธเกษตร โลกธาตุของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์แม้ก็จริง  แต่พุทธเกษตรเหล่านั้น "ไม่ใช่นิพพาน"  แต่เป็นโลกธาตุ (ดินแดน) ประจำพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ มหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงสร้างบารมีและทรงมีปณิธานแตกต่างกันไป ทำให้เมื่อไ้ด้ตรัสรู้แล้ว  โลกธาตุที่ได้ตรัสรู้ จะมีความวิจิตรพิสดาร นานาประการ แตกต่างกันในแต่ละพระองค์ - บางโลกธาตุ  พระพุทธเจ้าทรงใช้กลิ่นหอมอันเป็นทิพย์ เป็นเครื่องแสดงธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ในโลกธาตุนั้นๆ   - บางโลกธาตุก็ประกอบด้วยสุขอันเป็นทิพย์นานาประการ (เช่นพุทธเกษตรสุขาวดี) โลกธาตุเหล่านั้น จึงเป็นคนละเรื่องกับนิพพาน   แม้มหายานจะแต่งเติมเสริมเนื้อหาไปมากขนาดไหน  แต่เมื่อมาพูดถึงเรื่องนิพพานแล้ว มหายานเองก็ยังมั่นคงอยู่ในหลักได้ว่า นิพพานไม่ใช่ดินแดน และไม่มีการไปการมาอะไรอีก  และพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ยังไม่ได้ทรงดับขันธ์ปรินิพพาน  ยังทรงโปรดเวไนยสัตว์ในโลกธาตุของพระองค์อยู่นั่นแหละ อย่างโลกที่เราอยู่นี้ ทางมหายานก็ถือว่า เป็นโลกธาตุอันหนึ่ง เป็นพุทธเกษตรแบบหนึ่งเหมือนกัน   แต่มีลักษณะต่างจากพุทธเกษตรอื่นๆที่ล้วนประกอบด้วยทิพยสุข   เพราะพระพุทธเจ้าศากยมุนีนั้น ทรงสร้างบารมีมา ให้โลกธาตุของพระองค์  เป็นโลกธาตุที่สรรพสัตว์มีสุขและทุกข์ไปตามเหตุปัจจัยกฏธรรมชาติ  เพื่อที่จะได้ทรงแสดงธรรมสั่งสอนให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา   ให้เห็นได้อย่างเด่นชัด   โลกธาตุของเรานี้ มหายานเรียกว่า   "สหาโลกธาตุ" (โลกธาตุที่ต้องอดทน) อันนี้ว่ากันตามหลักมหายาน ซึ่งก็ต่างกับหลักเถรวาทแน่นอนอยู่แล้ว  แต่ข้อนี้ก็ต้องบอกว่า มหายานเองก็ยังคงรักษาหลักการใหญ่ได้อยู่ว่า นิพพานแล้วไม่มีไป ๆ มา ๆ อีก  ดังนั้นพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จึงมีพุทธเกษตรเอาไว้รองรับ และโปรดสรรพสัตว์ก่อนจะเข้าสู่นิพพาน   พูดเป็นสำนวนก็บอกว่า "ทั้งเถรวาทและมหายานก็บอกว่านิพพานเป็นอนัตตา แต่ธรรมกายกลับบอกว่านิพพานเป็นอัตตา" แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 02:19:01 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 02:18:38 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 02:16:48 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 02:16:19

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อเป็นประเด็นคงต้องพิสูจน์กันหน่อยแล้ว มาพวกเรามาหาคำตอบกันเถิด รู้แล้วก็ไม่ต้องแชร์นะ แชร์มาก็ไม่รู้ เพราะว่ามัน ปจต. :| จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 03:15:18

ความคิดเห็นที่ 12 ช่วยอธิบายง่ายๆให้ คุณ GravityOfLove อีกทีนะครับ --------------------------------------------- พระโคดมพุทธเจ้าเคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ หมายถึง ในอดีตชาติต่างๆ พระพุทธเจ้าเรา เคยเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ----------------------------------------------- เช่น ในสมัย พระพุทธเจ้าองค์ก่อน คือยุคของ พุทธเจ้า(พระนามว่า)กัสสปะ สมัยนั้น พระโคดมพุทธเจ้า ได้เกิดเป็น โชติปาละมานพ และ โชติปาละมานพ ก็ได้ทำบุญต่างๆ ในสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนนั้นไว้ ทีนี้ พอมาในสมัยพุทธศาสนายุคนี้ โชติปาละมานพ ก็มาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็น พระโคดมพุทธเจ้า จากคุณ : ชาวมหาวิหาร เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:03:36

ความคิดเห็นที่ 13 ^    ^    ^ เป็นการเชิญชวนที่ยอดเยี่ยมเลยครับ ช่วยกันเร่งปฏิบัติ เพื่อให้พบคำตอบด้วยตน แต่อย่างไรก็ตาม ขออนุญาต นำข้อความนี้มาแสดง จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:12:29

ความคิดเห็นที่ 14 ปฐมปรินิพพานสูตร สูตรที่ ๑  (ข้อความจะซ้ำกันกับที่ท่านฐานาฐานะนำมาแสดง แต่จากพระไตรปิฏกต่างฉบับอ้างอิง  อาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยที่การเรียบเรียงคำแปล) จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:17:35

ความคิดเห็นที่ 15 ปฐมปรินิพพานสูตร สูตรที่ ๑  จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:18:10

ความคิดเห็นที่ 16 ปฐมปรินิพพานปฏิสังยุตตสูตร สูตรที่ ๒ จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:20:37

ความคิดเห็นที่ 17 ปฐมปรินิพพานปฏิสังยุตตสูตร สูตรที่ ๓ จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:23:10

ความคิดเห็นที่ 18 ปฐมปรินิพพานปฏิสังยุตตสูตร สูตรที่ ๔ จากคุณ : ยามประจำวัน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 07:24:36

ความคิดเห็นที่ 19 เรียนถามหน่อยครับ พระอรหันต์ สามารถ เข้าใจผิด คิดว่า นิมิตที่เกิดขึ้นนั้น เป็นของจริงได้ไหม เช่น นิมิตของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมาสอนธรรม รวมถึงองค์ปฐมด้วย (แม้ในพระไตรปิฎก จะไม่เคยเอ่ยคำว่าองค์ปฐมเลย)       นิมิตของเมืองนิพพาน  เป็นต้น เหตุผลที่ผมสงสัย ก็ด้วยเพราะว่า  พระผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้นล้วนแต่ สามารถเทศน์ได้อย่างกับ การเข้าถึงอรหันตผลแล้ว ทั้งสิ้น  แต่ก็ยังรับรองว่านิมิตนั้นเป็นของจริง  จึงเกิดความขัดแยังขึ้นในใจของผมว่า    ทำไมท่านจึง เห็นว่า  พระพุทธเจ้ามาโปรดท่าน พระองค์ปฐมมีจริง  เมืองนิพพานมีจริง ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : นพนครสวรรค์ เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 08:56:02

ความคิดเห็นที่ 20 เรื่องบางเรื่อง ควรจะไปถามคนที่ตอบได้ เพราะถ้าไปถามคนที่รู้ไม่ถึง ก็จะได้คำตอบแบบไม่ตรงเสียทีเดียว   ของที่ีมีจริงก็มีจริงอยู่อย่างนั้น  ไม่ว่าเราจะมีความเชื่ออย่างไร เรื่องนี้นับว่าน่าศึกษา  ผมเองก็ยังไม่ได้ข้อสรุป แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 10:10:33 จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 09:41:21

ความคิดเห็นที่ 21 หลวงตามหาบัว  ก็ชี้แจงไว้แล้วในหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ว่า หลวงปู่มั่นไม่ได้สงสัยว่านิมิตพระพุทธเจ้าที่เจอนั้น หมายถึงอะไร จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 10:44:27

ความคิดเห็นที่ 22 ธรรมกายจริงๆ บอกว่านิพพานเป็นอนัตตาครับ ผมถึงย้ำว่า ธรรมกายจริงๆ "วจีเกิดจากจิต จิตเกิดจากสังขาร" อันนี้ผมว่าไม่น่าใช่นะครับ เพราะ มีรูป วิญญาณไปผัสสะ เกิดความจำได้เป็นสัญญา แล้วปรุงแต่งต่่อไปเป็นสังขาร เกิดเวทนา แล้วก็มีสัญญามีบอกเราอีกรอบว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเวทนานั้น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่ดับ คือ ดับขันธ์ จิตยังอยู่แต่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ส่วนเรื่องที่พระอริยะท่านพบปะักับพระพุทธเจ้านั้น ผมก็ไม่ทราบจริงๆว่าท่านเห็นกินแบบใด ทั้งผมก็ไม่เคยเห็นเมืองนิพพาน ส่วนทิพยเกษตรนั้น จากที่รู้คือ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ จะทรงกรุณาน้ำเหล่ามนุษย์ ที่มีดวงตาเห็นธรรมไปอยู่ที่นั้นกับพระองค์ ถ้าตีความแบบนี้ ทิพยเกษตรของมหายาน ผมว่าก็คือ แดนนิพพานนั่นเอง จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 17:31:30

ความคิดเห็นที่ 23 อันนี้ quote มา ไม่รู้จริงๆว่า คือ สิ่งที่เรียกว่าธรรมนิมิต หรือเปล่า แต่จากคำอธิบายไม่ค่อยเหมือนครับ แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก "มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระ ท่านเคยเล่า ว่าคืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่ความสม ปรารถนาได้พ้นทุกข์ และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระ พุทธบาทรับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระ พุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ ฉะนั้น ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิต ผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณา ให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถ ปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้ เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน." link http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13034 แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 18:26:11 จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 17:39:39

ความคิดเห็นที่ 24 อันนี้ของหลวงพ่อฤาษี จะได้ไม่ต้องเสียเวลา link ดู "..........อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว ต่อมาวันหนึ่งประมาณ เวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตร สวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่าฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้ เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาสจะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า (ท่านคงจะทราบ ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด) ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวงดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่าง ขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับหลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่ ทีนี้ต่อมา หลวงพ่อสดท่านก็ยืนยันเอาจริงเอาจัง ต่อมาท่านก็สงเคราะห์คืนนั้นเอง ท่านก็สงเคราะห์บอกว่า เรื่องต้องการทราบนิพพาน เขาทำกันอย่างนี้ ท่านก็แนะนำวิธีการของท่าน รู้สึกไม่ยาก เพราะเราเรียนกันมาเดือนหนึ่งแล้ว ตามพื้นฐานต่าง ๆ ท่านบอกว่าใช้กำลังใจอย่างนี้ เวลาผ่านไปประมาณสัก ๑๐ นาที รู้สึกว่านานมากหน่อย ทุกคนก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพานมีจริง เห็นนิพพานเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ พระที่นิพพานทั้งหมด เป็นแก้วหมด แต่ไม่ใช่แก้วปั้น เป็นแก้วเดินได้ คือแพรวพราวเหมือนแก้ว สวยงามระยับทุกอย่างที่พูดนี้ยังนึกถึงบุญคุณหลวงพ่อ สดท่านยังไม่หาย ท่านมีบุญคุณมาก รวมความว่า เวลานั้นเรายังเป็นคนโง่ อาจจะมีจิตทึมทึก แต่ความจริงขอพูดตามความเป็นจริงเวลานั้นจิตไม่ดำ จิตใสเป็นแก้ว แต่ความแพรวพราวของจิตไม่มีการใสเป็นแก้วนั้น เวลานั้นเป็นฌานโลกีย์ ฌานสูงสุด ใช้กำลังเฉพาะเวลานะ ฌานโลกีย์นี้เอาจริงเอาจังกันไม่ได้ จะเอาตลอดเวลานี้ไม่ได้ เพราะอยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็สั่งว่า หลังจากนี้ต่อไป ทุก ๆ องค์ จงทำอย่างนี้จิตต่อให้ถึงนิพพานทุกวัน ตามที่จะพึงทำได้ อย่างน้อยที่สุด จงพบนิพพาน ๒ ครั้ง คือ ๑. เช้ามืด และประการที่ ๒. ก่อนหลับ หลังจากนี้ไป เธอกลับไปแล้ว ทีหลังกลับมาหาฉันใหม่ ฉันจะสอบ เมื่อได้ลีลามาอย่างนั้นแล้วก็กลับ มาหาครูบาอาจารย์เดิม คือ หลวงพ่อปาน พอขึ้นจากเรือก็ปรากฏว่าพบหลวงพ่อปานอยู่หน้าท่า ท่านเห็นหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ว่าอย่างไรท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย เห็นนิพพานแล้วใช่ไหม ตกใจ ก็ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ บอก เออ ข้าไม่ทราบหรอก วะ เทวดาเขามาบอก บอกว่าเมื่อคืนที่แล้วมานี่ หลวงพ่อสดฝึกพวกเอ็งไปนิพพานใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่า นั่นแหละ เป็นของจริง ของจริงมีตามนั้น หลวงพ่อสดท่านมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้ ก็ถามว่า ถ้าหลวงพ่อสอนเองจะได้ไหม ท่านก็ตอบว่า ฉันสอนเองก็ได้ แต่ปากพวกเธอมันมาก มันพูดมาก ดีไม่ดีพูดไปพูดมา งานของฉันก็มาก งานก่อสร้างก็เยอะ งานรักษาคนเป็นโรคก็เป็นประจำวัน ไม่มีเวลาว่าง ถ้าเธอไปพูดเรื่องนิพพาน ฉันสอนเข้าฉันก็ไม่มีเวลาหยุด เวลาจะรักษาคนก็จะไม่มี เวลาที่จะก่อสร้างวัดต่าง ๆ ก็ไม่มี ฉันหวังจะสงเคราะห์ในด้านนี้ จึงได้ส่งเธอไปหาหลวงพ่อสด ก็ถามว่า หลวงพ่อสดกับหลวงพ่อรู้จักกันดีรึ ท่านก็ตอบว่า รู้จักกันดีมาก เคยไปสอบซ้อมกรรมฐานด้วยกัน สอบกันไปสอบกันมาแล้ว ต่างคนต่างต้นเสมอกัน ก็รวมความว่ากำลังไล่เรื่อยกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่เป็นจุดหนึ่งที่อาตมาแสดงถึงความโง่กับครูบาอาจารย์์........." จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 17:43:13

ความคิดเห็นที่ 25 ทุกข์ สังเคราะห์ อนิจจัง ย่อมมีที่สุด และหมดไป คำที่สุดแห่งทุกข์ ช่างยิ่งใหญ่นัก จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 20:36:13

ความคิดเห็นที่ 26 ผู้ที่มีนิมิตเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์มาโปรดสอน ทำไมพวกท่านไม่สงสัยกัน..   ว่าจริงหรือไม่จริง.. ก็ท่าน "ไม่ยึด" น่ะ   ท่านมาแสดงธรรม แสดงแล้วท่านก็ไป ผู้ที่ได้รับธรรม ก็นำข้อธรรมนั้นมาปฏฺิบัติเพื่อความเจริญในธรรม มันไม่สำคัญว่าจริงหรือไม่จริง นิมิตเกิดแล้วก็ดับ จะเป็นนิมิตถึงพระหรือมารก็เสมอกัน เกิดแล้วก็ดับ ถ้าไม่ยึด ก็แค่ "รู้" มีอะไรให้รู้ก็รู้ไป รู้แล้วก็ละ เมื่อจิตอยู่ในภูมิอรหันต์ จิตก็กลายสภาพเป็นธรรม ไม่ใช่แตกดับหายไปไหน แต่แปรสภาพเป็นธรรมธาตุ  เป็นธาตุรู้ ธาตุธรรม เป็นจิตอิสระ เป็นจิตบริสุทธิ์  ไม่เกิดไม่ตายอีกต่อไป เป็นอมตะ เพราะปราศจากภพชาติชรามรณะ.. จิตชนิดนี้ เขาเรียกอีกอย่างว่า "วิสุทธิเทพ" เมื่อดีดออกจากขันธ์ก็เป็นอิสระ ไม่ต้องอาศัยวิมาน เป็นพลังงานบริสุทธิ์ ขึ้นชื่อว่าพลังงาน ไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำหนัก ไม่ต้องการที่อยู่ แต่ทำประโยชน์ได้ อยากจะรู้ก็ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์เสมอท่าน หรือสะอาดพอที่ท่านจะส่งกระแสมาให้เรารับได้.. เรื่องแบบนี้ พูดกันคิดกันให้ตายก็ไม่เข้าใจ ไม่ถูกก็ผิด ไม่จริงก็เท็จ แต่ถ้าลองทำเอง เจอเองแล้ว มันจะอยู่ตรงกลางได้นะ.. เขาไม่สนใจว่าจริงหรือเท็จ มี massage อะไรมา ก็พิจารณาแล้วเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป.. เขาเอาปัญญา ไม่ได้เอาว่าจริงหรือไม่จริงนะ.. การพยายามคิดอธิบายว่ากลไกมันเป็นอย่างไร ทำได้ยังไง เกิดจากอะไร.. ให้ผลสองอย่าง คือไม่มีข้อสรุป กับเดี๋ยวได้เผลอปรามาสพระรัตนตรัย ก็มันอจินไตยน่ะ คิดเอาได้เหรอนั่น.. จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:38:08

ความคิดเห็นที่ 27 สำหรับตัวผม ไม่เคยพยายามคิดอธิบายกลไกของเรื่องเหล่านี้ เพราะแค่คำพูดของพระอริยสงฆ์ 4 รูป ก็สามารถตอบได้ชัดในตัวเองอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 03 ธ.ค. 54 22:19:22 จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 3 ธ.ค. 54 21:54:12

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบพระคุณทุกท่านค่ะ จากคุณ : จขกท (GravityOfLove) เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 09:25:23

ความคิดเห็นที่ 29 สาธุครับ  คุณฐานาฐานะ เพิ่มเติมครับ ความหมายของพระนิพพพาน จากพระไตรปิฏก อรรถกถา คัมภีร์ของเถรวาท http://larndharma.org/index.php?/topic/415-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%84/ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พ้นแล้วจากตัณหาเครื่อง ร้อยรัด ตรัสรู้ ธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่เที่ยง (คือ พ้นจากกาลทั้ง ๓) ธรรมที่ปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐยิ่งกว่า ธรรมนั้น คือ นิพพาน สภาพของนิพพาน ๕ ประการ ที่กล่าวข้างต้น มีความหมายดังนี้ คือ ๑. ปทํ แปลว่า นิพพานเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ และมีอยู่โดยเฉพาะ ไม่คลุกเคล้าด้วยโลกียธรรม ๒. อจฺจุตํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ตาย ไม่มีความเกิด และไม่มี ความตาย ไม่มีแตกดับ ๓. อจฺจนฺตํ แปลว่า ธรรมที่เที่ยง คือก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีต และ อนาคต หมายความว่า เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน --------- ! ! (๕) ติดใจในตัวตน คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีตัวตน และตัวตนนี้ไม่สูญหายไป ไหน ถึงจะตายก็ตายแต่ร่างกาย ตัวตนที่เป็นมนุษย์ก็จะไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ตัวตนที่ เป็นสัตว์อย่างใด ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์อย่างนั้นอีก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเห็นว่า เที่ยงอันเป็นความเห็นผิดที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ (ข้อ ข. นี้มีมาใน สุตตันตมหาวัคค อรรถกถา) ค. วิภวตัณหา เป็นความยินดีติดใจในอารมณ์ ๖ ที่ประกอบด้วย อุจเฉททิฏฐิ คือ ติดใจในความเห็นที่ว่า สิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีตัวมีตนอยู่ แต่ว่าตัวตนนั้นไม่ สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ตลอดไป ย่อมต้องสูญต้องสิ้นไปทั้งหมด ตลอดจนการกระทำ ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็สูญหายไปสิ้นเช่นเดียวกัน แม้ผู้ ที่มีความเห็นว่า พระนิพพานมีตัวมีตน แล้วปรารถนาพระนิพพานเช่นนั้น ความ ปรารถนาเช่นนี้ก็ได้ชื่อว่า วิภวตัณหา รวมความในข้อ ๒ นี้ได้ว่า อาการที่เป็นไปในตัณหา ๓ ก็ได้แก่ พวกหนึ่ง มีอุจเฉททิฏฐิเห็นว่าสูญ พวกหนึ่งมีสัสสตทิฏฐิเห็นว่าเที่ยง ส่วนอีกพวกหนึ่งติดใจ อยากได้โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าเป็นสิ่งที่สูญหรือเที่ยงแต่อย่างใด ๆ เลย --------------------------------------------------------- คู่มือการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ความปรารถนานิพพาน ที่จัดว่าเป็นวิภวตัณหา ความปรารถนานิพพาน ที่จัดว่าเป็นวิภวตัณหาได้นั้น คือผู้ที่ไม่เข้าใจในสภาพความเป็นอยู่ของนิพพานดีพอ เมื่อได้ยินว่านิพพานนั้นไม่มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจ แต่ประการใด มีแต่ความสุข เพราะเป็นธรรมที่พ้นจากโลก เช่นนี้แล้วก็เกิดความอยากได้นิพพาน เพราะต้องการความสุขกาย สุขใจ ที่ไม่เกี่ยวกับโลก และไม่ต้องการความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่คิดไม่ถึงว่าสภาพความไม่เกิดของนิพพานนั้นคืออะไร (ธรรมดาความสุขกาย สุขใจ จะเกิดขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม ที่อยู่ในภูมิต่างๆนั้นไม่มี) ฉะนั้น ความปรารถนานิพพานของบุคคลจำพวกนี้ จึงจัดเป็นวิภวตัณหา ---------------------------------------------- จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 09:30:44

ความคิดเห็นที่ 30 แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงเคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้ ด้วยความเคารพ จากคุณ : GravityOfLove   -------------------------------------------------------- นั้นเป็นสมัยพระโพธิสัตย์ ที่ได้รับการพยากรณ์ ครับ   มีแต่ อัตตโนมติ ของอาจารย์สมัยนี้  เท่านั้น  ที่อ้างว่า ติดต่อพระพุทธเจ้าได้  ตั้งแต่ องค์ปฐม  องค์ปัจจุบัน  และรวมไปถึง อนาคตด้วย จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 09:34:06

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่าถ้าเราไม่รู้ไม่เห็น หรือไม่มีสภาวะธรรมเท่ากับพระอริยสงฆ์ ระดับพระอรหันต์เหล่านั้น ก็ไม่ควรบอกว่า สิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นด้วยญาณ เป็นของคิดเองเออเอง ทำใจเป็นกลางๆไว้ รับฟังท่านไว้ ผมว่าไม่น่าจะเสียหาย จะได้ไม่เป็นการปรามาสท่านโดยไม่เจตนา อย่างงานเขียนของสมเด็จพระสังฆราชเอง ท่านก็คงต้องกรองแล้วกรองอีก กว่าจะออกมาเป็นบทความสักเรื่อง ท่านยังเขียนว่า "เมืองนิพพาน" ไว้ แต่ถ้าจะว่าเป็นการเปรียบเทียบก็อีกประเด็น แก้ไขเมื่อ 04 ธ.ค. 54 11:09:23 จากคุณ : Jouette เขียนเมื่อ : 4 ธ.ค. 54 11:05:39