Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เล่าเรื่อง สมอง, อารมณ์, ความนึกคิด, ความรู้สึก, จิต(วิญญาณ) และแยกแยะให้ทราบ ตามประสบการณ์ในชีวิต ติดต่อทีมงาน

เล่าเรื่อง สมอง, อารมณ์, ความนึกคิด, ความรู้สึก, จิต(วิญญาณ) และแยกแยะให้ทราบ ตามประสบการณ์ในชีวิตที่วิกฤตด้วยภัยเกือบถึงชีวิตถึง 2 ครั้ง    

 แตกประเด็นมาจากกระทู้นี้

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11395150/Y11395150.html

และกระทู้นี้นะครับ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11402248/Y11402248.html

   โดยสภาพจริงๆ ทุกคนที่เกิดมาตั้งแต่วัยเด็ก ตนเองก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องของเนื้อสมองที่อยู่ในหัวของตนเองเท่าไร แต่จะชัดเจนในการรับรู้และแสดงออก ทางอารมณ์, ความนึกคิด,ความรู้สึก ในความเป็นตัวเป็นตน ทั้งในสภาวะที่รู้ว่า เป็นตัวเป็นตน หรือไม่สนใจในสภาวะเป็นตัวเป็นตนหรือไม่ แต่กระทำไปตามความยาก ความเคยชิน หรือตามการผลักดันทางกาย.

   และในคนทั่วไป อารมณ์, ความนึกคิด, ความรู้สึก จะปรากฏควบคู่กับความรู้สึกทางร่างกาย ยกเว้นอยู่ในความฝันขณะนอนหลับ

   ตัวผมเองเมื่อย้อนทบทวนตนเอง ก็พอจำได้บางช่วงบางตอนเมื่ออายุประมาณ 2-3 ขวบ ที่สามารถ รู้ถึงอารมณ์และความรู้สึก ในตอนหรือช่วงนั้นๆ แต่ไม่สามารถจำความนึกคิดว่ามีความนึกคิดเป็นอย่างไร

    ตัวอย่างเช่น  ตอนเด็ก ได้มองลอดร่องพื้นกระดานบ้าน มีอารมณ์ความรู้สึกอยากดูน้ำ ดูตัวปลา ที่อยู่ใต้ถุนบ้าน เพราะพื้นใต้ถุนบ้านเป็นหนองน้ำ จึงมองลอดร่องไปดู

แต่พอจำทั้ง ความนึกคิด,อารมณ์,ความรู้สึก ในบางช่วงบางตอนเมื่ออายุประมาณ 4 -5 ขวบ
    ตัวอย่างเช่น ประมาณ 3-4 ขวบ มีแคร่นั่งอยู่หน้าบ้าน มีผู้ใหญ่นั่งอยู่บนแคร่นั้น เราก็เล่นอยู่แถวๆ แคร่นั้น เราก็เล่นรองเท่าแตะของผู้ใหญ่คนนั้น โดยแตะหรือสะกิดให้หลุดจากเท้าเขา แล้วถอยหลังไปนั่ง(หลังพิง)ระหว่างขาเขา  เขาก็เล่นกับเรา โดยผลักหลังเราเบาๆ แล้วปล่อยให้เราดันตัวกลับกลับมานั่งเหมือนเดิม  เราจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า

       “สนุกกว่านี้ ถ้าเขาผลักเราเบา แล้วเราเดินไปข้างหน้าไกล แล้วถอยหลังกลับ เราจะถอยหลังกลับตรงที่เดิมได้หรือไม่ได้”

ก็เล่นอย่างนี้กับผู้ใหญ่คนนั้นพักหนึ่ง มีอารมณ์ความรู้สึกสนุก และหัวเราะ

     ถึงตอนนี้ จะเห็นว่า อารมณ์ ความนึกคิด และความรู้สึก  ผมได้ยกตัวอย่างให้ทราบแล้ว แต่ในตอนที่เป็นเด็กนั้น คงไม่มีสติปัญญาที่จะไปแยกแยะอะไร แม้กระทั้งเนื้อสมองในหัวก็คงไม่สนใจ และแม้กระทั้งสภาวะรู้อย่างเดียว เช่น จิต หรือ วิญญาณ ก็คงไม่รู้จักไม่มีปัญญาแยกแยะได้

    มากล่าวถึงตอนผมอายุประมาณ 5-6 ขาบ ที่ผมเฉียดตายไป เพราะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ลงไปเล่นน้ำกับเพื่อน เพราะมีบ้านอยู่ใกล้ริมคลอง  ว่ายน้ำไม่เป็นแต่สามารถดำน้ำรอดท้องเรื่อหางยาวที่หัวเรือจอดเคยริมตลิ่ง  ตอนนั้นจำได้ถึงคำพูดของเรา ที่เล่นน้ำอยู่ริมตลิ่ง ทำน่องว่า
   “เรามาดำน้ำรอดท้องเรือกัน”  แต่เพื่อนบอกว่าไม่กล้า
ผมก็พูดทำนองว่า “เราทำได้เราจะดำให้ดู”   แล้วดำน้ำรอดท้องเรือไปอีกด้านหนึ่งของเรือโดยใช้มือแตะท้องเรือก่อนเมื่อเห็นว่าจะสุดท้องเรื่อแล้วจึงดำรอดผ่านท้องเรื่อไป  แล้วยกตัวขึ้นเรียกบอกเพื่อนอีกด้านหนึ่ง เป็นการดำน้ำรอดท้องเรื่อได้เป็นครั้งแรก จึงดำน้ำรอดท้องเรื่อกลับไปที่เดิม. แล้วบอกเพื่อนทำนองว่า

  “เราทำได้”   จึงชวนเพื่อนให้ลองดำรอดท้องเรือดู เพื่อนก็ไม่กล้าอีก จึงดำไป-กลับให้เพื่อนดูอีก น่าจะเป็นครั้งที่ 3 หรือ 4 นี้แหละ ที่จำอะไรไม่ได้เลย  แม้ช่วงขณะติดอยู่อย่างไรและการดิ้นรนใต้ท้องเรือก็เป็นเรื่องที่แปลก แต่รู้สึกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนเขาเอาเรามายืนที่ริมตลิ่ง  แต่มีอาการหัวหมุนไปหมด พยายามมองไปในตลาด บริเวณที่แม่ขายของอยู่  จำได้อีกครั้งตอนที่ถูกมาว่างไว้บนเตียงไม้ ในบ้าน ลืมตาขึ้น เห็นเด็กๆ เพื่อนๆ และคนมุงดูรอบเตียงไปหมด ส่งเสียงพูดกันจอแจไปหมด แต่บ้านและคนเหล่านั้นหมุนติ้วๆไปหมด มึนหัวเป็นอย่างมาก จึงต้องหลับตาปล่อยให้ตัวเองหลับไป.

     ทั้งที่เหตุการณ์ระหว่างติดใต้ท้องเรือ จนถูกมาวางบนเตียงนั้น แต่ไม่รู้และจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด ทั้งที่คนทั้งหลายที่มุงดูในขณะนั้นลงความเห็นว่าผมน่าจะตายไปแล้ว ทั้งแต่ยกร่างมาวางนอนไว้ริมตลิ่ง ตัวเขียวซีดอ่อนไปหมด จมูกและปากเต็มไปด้วยโคลน และมีเรื่องเล่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นหลายอย่าง เช่นชาวบ้านไปบอกให้แม่และพ่อทราบว่าผมตกน้ำ แม่มาถึงก่อนเพราะอยู่ใกล้กว่า ขายของอยู่ในตลาดแม่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ร้องไห้อย่างเดียว   พ่อวิ่งมาที่ร่างผม เห็นว่าฝายปอดคงไม่ได้ เพราะโคลนเต็มในจมูกและปาก จึงจับร่างผมคว่ำขึ้นฟาดบ่า จับขาไว้ แล้ววิ่งกระเยอะๆ รอบตลาด ส่วนแม่ร้องไห้ วิ่งตามหลังไป ติดๆ เห็นโคลนออกจากจมูกและปาก จนเห็นร่างผมส่งเสียงดัง เอิกๆ  พร้อมทั้งเห็นทั้งน้ำและเศษข้าว ที่ผมเพิ่งกินเข้าไปก่อนลงเล่นน้ำ กระย่อนออกมา แม่ก็ใจชื่นขึ้น รู้ว่าผมรอดตายแล้ว.  แต่ที่ผมจำได้คือ มึนหัวไปหมดเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา  

    จึงมีคำถามขึ้นว่าในสมัยนั้น อารมณ์, ความนึกคิด, และความรู้สึก ช่วงนั้นหายไปไหน?

        คำตอบที่ผมพอทราบทางโลกคือ สลบไปนั้นเอง  แต่สมองยังทำงานอยู่
        คำตอบที่ผมพอทราบทางธรรมคือ จิตตกภวังค์  ไม่ขึ้นมารับรู้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด แต่จิตยังทำงานอยู่ เช่นสภาวะหลับสนิท หรือสลบไป.

         ซึ่งได้คำตอบที่เหมือนหรือคล้ายกันทั้งทางโลกและทางธรรม  จึงทำให้เห็นไปได้ว่า สมองกับจิต เป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ ซึ่งเป็นปมปัญหาที่ลึกซึ่งในระดับที่ยากพอประมาณ.

       ขอแวะคุยเรื่องความทุกข์ สักส่วนหนึ่ง ผมมีความทุกข์ติดตัวมาทั้งแต่เกิด แต่ความทุกข์นั้นเหมือนเล็กน้อยเมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก แม้จะเจียนตายด้วยเหตุการณ์ ติดใต้ท้องเรือในน้ำ ก็ย่อมไม่ทำให้เห็นว่า ทุกข์มากมายเท่าใด
        แต่เมื่อเติบโตรู้โลกรู้สามากขึ้นในเรื่องฐานะ สิทธิ์เสรีภาพ ความทุกข์เหมือนโตขึ้นตามวัยที่เจริญขึ้น แล้วเกิดทุกข์ทางใจกดดันทุกด้าน   เป็นทุกข์อย่างมากๆ เมื่อยอมแลกทุกอย่างกับการได้เรียนในระดับอุดมศึกษา ที่แทบจะไม่มีโอกาสทำได้เลย แต่ก็มีช่องเปิดไว้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งหลักฐานในการสมัคเรียนนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะพ่อนั้นขัดขวางทุกวิถีทาง จึงมีสิทธิ์แค่ให้เรียนไปก่อนด้วยหลักฐานยังไม่สมบูรณ์  
         ดังนั้นในขณะที่เรียนอยู่โดนระงับการเรียนเมื่อใดก็ได้ หรือมีปัญหาเพียงมีผู้ใช้กฎหมายตรงตามตัวบท ก็หมดสิ้นทันทีในเรื่องการศึกษาทางโลกที่ยอมแลกด้วยชีวิต  แม้มีความขัดสนมีความทุกข์กดดันในทุกด้าน ในเวลาติดต่อ 3 ปีกว่านั้น  ซึ่งก็รู้ตัวทั้งแต่แรกแล้วว่า อาจจะทำให้เสียจริต หรือเป็นบ้าได้ เหมือนดังเพียงแต่มีเส้นบางๆ ขั้นไว้ ไม่ให้ขาดผึงๆ ไป
         ข้างบนนั้นเป็นภาวะที่เป็นทุกข์ ที่เห็นทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ทางจิตใจและอารมณ์ ที่ค่อยๆ ขมวดเกลียวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนต่อเดือนปีต่อปี ในระยะเวลา 3 ปีกว่านั้น   พร้อมทั้งการปฏิบัติธรรมที่เป็นสมถะและศึกษาธรรมในพระไตรปิฎกควบคู่กัน จนวิบากแห่งกุศลได้พัดพาได้เข้าปฏิบัติธรรมในการเจริญสติเพิ่มขึ้นที่เป็นรูปแบบครั้งแรกในชีวิต ในแนวของ ยุบหนอ-พองหนอ  ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุท่าพระจันทร์  ในตอนใกล้จะเรียนจบที่ไม่ทราบว่าจะได้รับปริญญาบัตร เหมือนคนอื่นๆ หรือเปล่า? แต่ด้วยการปฏิบัติที่ทำให้เจริญสติเพิ่มขึ้นเป็นสติปัฏฐาน 4 จึงทำให้มีการเติมเต็ม สมถะที่เคยปฏิบัติมาอย่างยาวนานตั้งแต่วัยเด็กกลายเป็นการเจริญ สมถะและวิปัสสนา  ที่ปรับให้เจริญขึ้นเฉพาะตน ที่พอรู้จักทางก็เอาชีวิตเข้าแลก เพราะทางโลกนั้นเสมือนตนกำลังเดินเข้าทางตันที่รอการพิพากษาข้างหน้า จึงวางทางโลกลงอย่างสิ้นเชิง.            

          ถึง ณ. จุดนี้ พอทำให้รู้ว่า สมองก็ส่วนสมอง เป็นเรื่องของกาย แต่ความทุกข์เป็นเรื่องของใจ ที่เกิดขึ้นมากมายหรือน้อย   ซึ่งเนื้อสมองก็ยังเป็นอยู่ในหัวของเราอย่างนั้น เพียงแต่มีความสัมพันธ์กันเกี่ยวเนื่องกันเท่านั้นของ รูป กับ นาม เพราะยังอิงอาศัยกันโดยธรรมชาติของการเป็นมนุษย์หรือคน ที่ผูกสัมพันธ์กันอยู่ มหาภูตรูปแบบมนุษย์ก็ย่อมมีผลต่อนาม และนามก็มีผลต่อมหาภูตรูปแบบมนุษย์  เมื่อขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ความเป็นผู้ที่อยู่ในภพมนุษย์ก็หมดสิ้นไปเท่านั้นเอง.  
   
         ต่อไปผมขอข้ามมายังสมัยผมอายุประมาณ 51 เกือบ 52 ปี เมื่อ 15 ม.ค. 54 ที่เกิดสภาวะไขมันหรือลิ้มเลือดอุดตันในเส้นเลือดสมองอย่างเฉียบพลัน( ตาย+อัมพาต+อัมพฤต ประมาณ 80% เกือบปกติ+ปกติ ประมาณ 20%)  แต่เหตุการณ์ครั้งนี้จะชัดเจนเกือบทุกช่วงที่เดียว  เพราะผ่านการฝึกสติและสมาธิมาอย่างยาวนาน ขอยกข้อความเก่ามาแสดงและทบทวนให้ละเอียดขึ้นให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด ให้ทราบ ดังนี้.

        เมื่อผมให้อาหารหนูเสร็จผมก็เดินไปจะเปิดประตูเพื่อ เข้าไปในตัวบ้าน เพื่อจะเปิดประตู้เลือน ก็มีสติรู้ว่าร่างกายเราเซไปนิดหนึ่ง เหมือนกำลังทรงตัวไม่ได้ จึงเบี่ยงตัวหันหลังให้พิงประตูไว้  จึงค่อยๆ ย่นตัวลงนั่ง แต่ย่นก้นยังไม่ถึงพื้น ก็หมดความรู้สึกไปเสียก่อน โดยไม่รู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ เลย
      สลบหมดความรู้สึกไปนานเท่าใดไม่ทราบ เมื่อทราบอีกครั้งเป็นลำดับดังนี้

   1.มีสภาวะรู้อย่างเดียว คือมีสภาพรู้อย่างเดียวเท่านั้น รู้เฉยๆ (อัมพาตแบบผัก)
   2.ตาเห็น รู้สึกแต่แค่รู้สึกเฉยๆ นึกคิดอะไรไม่ได้ (อัมพาตแบบผัก)    
   3.รู้สึกชัดขึ้นที่ร่างกายที่นั่งอยู่  แต่รู้เฉยๆ นึกคิดอะไรไม่ได้ (อัมพาตแบบผัก)
   4.เริ่มนึกคิดได้ แต่ขยับตัวไม่ได้  กระดกลิ้นพูดไม่ได้ สั่งการร่างกายไม่ได้เลย ไม่ได้ตกใจหรือหวาดกลัว แต่มีสติคิดไปตามลำดับ จะทำอย่างไรให้ผู้อื่นรู้ จึงค่อยขยับแขนดู (อัมพาตแบบนึกคิดได้ แต่ร่างกายไม่ทำงาน)  
   5.แขนซ้ายเริ่มขยับได้ จึงยกเหวียงไปทางด้านหลังเคาะปะตู แล้วค่อยๆ พยายามเปล่งเสียงพูด โดยไม่ได้ตกใจร้อนรน กระทำไปตามลำดับ จนเสียงเริ่มออกจากปากแบบ อ้อแอ้ (เป็นอัมพฤติแบบพอขยับฝั่งซีกซ้ายของร่างกายได้ แต่ออกเสียงเป็นคำไม่ได้) ไม่พยายามลุกขึ้นเองเพื่อเซฟตนเอง เพราะไม่มั่นใจว่าจะลุกได้หรือไม่ เพราะร่างกายทำงานได้ไม่ครบ    

หลังจากนั้นก็มีผู้มาช่วยยกประคองปีกสองข้างไปโรงพยาบาล เป็นอัมพฤตอยู่ประมาณ 24 ชั่วโมงกว่าๆ
     
       จึงทำให้เข้าใจว่า สมองกับจิต นั้นทำงานสัมพันธ์กัน แต่ก็มีสภาวะที่เมื่อจิต ความนึกคิดสั่งการ แต่ร่างกายหรือสมองไม่ทำตามคำสั่งนั้นได้ หรือจิตสั่งให้ทำการ แต่ร่างกายหรือสมองทำไม่ถูกต้องคลาดเคลื่อนตามที่จิตประสงค์ได้.

        จึงทำให้พอทราบในระดับหนึ่งได้ว่า จิตกับสมองมีความสัมพันธ์กันเกื้อกันอยู่ แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน  เพราะมีประสบการณ์หลังจากนั้น ที่เป็นแบบเกือบเป็นเจ้าชายนิทรา หลายๆ ครั้ง ในช่วงเวลา 2 เดือนกว่า คือ ใจตื่นจากหลับแล้ว แต่ไม่สามารถทำให้ร่างกายตื่นได้ อยู่ในสภาวะนั้นนาน ยิ่งกว่าสภาวะผีอำเสียอีก ใจดิ้นรนจนทำให้ใจเกิดสลดอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่าตนอาจจะอยู่ในสภาพของเจ้าชายนิทรา หรือน้อมระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนเกิดปีติแผ่ซ่านออกจากใจ จึงทำให้ร่างกายรับรู้ และรู้สึกขึ้นมาได้.

       ตามความเข้าใจของผม  ความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ว่าสมองเป็นผู้สำคัญ แต่ใจหรือจิตนั้นเองที่เป็นสิ่งสำคัญมั่นหมาย ไม่ว่าจะรู้สึกมากหรือน้อยก็ตาม ซึ่งเป็นอยู่แล้วในจิต  เพียงแต่รู้ชัดก็จะรู้ถึงความมั่นหมายในความเป็นตนชัดขึ้นเท่านั้น.

      ถ้าพิจารณาลงไปอีกถึงสัตว์ บนโลกเรามันก็มีความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตน แม้มันอาจจะคิดไม่ได้หรือรู้ไม่ได้ว่า อย่างนั้นเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นกับมัน.

       ดังนั้นตามความเข้าใจของผม ความคิดได้ ,อารมณ์ ,ความรู้สึก หรือ จิต ย่อมลาดลึกไปตามลำดับในเรื่องของนามธรรม  สมองเป็นเพียงรูปที่เป็นมหาภูตรูปมาประกอบที่สัมพันธ์ตามภพภูมิเท่านั้น ในความเป็นตัวตนสัตว์บุคคล.
      แต่จิตหรือใจนั้นมีการเกิด-ดับ อยู่เนื่องๆ เป็นธรรมดา.

แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 54 14:06:09

จากคุณ : P_vicha
เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 54 12:05:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com