๑.
ผู้ใดกล่าวว่า อานาปานสติ ทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ไม่ได้
ผู้นั่นชื่อว่า กล่าวไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
--------------------------------------------------
"เรากล่าวลมหายใจออก ลมหายใจเข้านี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย"
"เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจออก ลมหายใจเข้าเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่งในพวกเวทนา"
"เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติไม่รู้สึกตัวอยู่"
"ตามพิจารณาความไม่เที่ยง.. คลายกำหนัด.. ดับกิเลส.. สละคืนกิเลส..
ลมหายใจเข้า.. ลมหายใจออก.."
-------------------------------------------------------------------
อานาปานสติ = สติปัฏฐาน ๔ = สัมมาสติ (๑ใน๘ องค์อริยมรรค)
*สติเป็นเครื่องแล่นไปสู่วิมุตติ
-------------------------------------------------------------------
********************
----------------------------------------------------
โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ เพราะ สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
----------------------------------------------------
สมัยใด ภิกษุตามเห็นกายในกาย.. เวทนาในเวทนา.. จิตในจิต.. ธรรมในธรรม..
สมัยนั้น สติย่อมเป็นอันเธอผู้เข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ..
..สมัยใด สติเป็นอันภิกษุเข้าไปตั้งไว้แล้วไม่เผลอเรอ
ในสมัยนั้น สติสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..
..สมัยใด ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างนั้นอยู่ ย่อมค้นคว้า ไตร่ตรอง ถึงความพิจารณาธรรมนั้นด้วยปัญญา
ในสมัยนั้น ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..
..สมัยใด ปีติปราศจากอามิสเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรแล้ว
ในสมัยนั้น ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..
..สมัยใด จิตของภิกษุผู้มีกายระงับแล้ว มีความสุข ย่อมตั้งมั่น
ในสมัยนั้น สมาธิสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..
..สมัยใด ภิกษุเป็นผู้วางเฉยจิตที่ตั้งมั่นแล้วเช่นนั้นได้เป็นอย่างดี
ในสมัยนั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมเป็นอันภิกษุปรารภแล้ว..
********************
-------------------------------------------------------
วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์ เพราะ โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์
-------------------------------------------------------
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญ สติสัมโพชฌงค์... ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์... วิริยสัมโพชฌงค์...
ปีติสัมโพชฌงค์... ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์... สมาธิสัมโพชฌงค์... อุเบกขาสัมโพชฌงค์...
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ฯ
ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล
ชื่อว่าบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้
********************
๒. สมถะ และ วิปัสสนา ?
--------------------------------------------------
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ เป็นส่วนแห่งวิชชา (ความรู้แจ้ง) .
๒ อย่าง อะไรเล่า ? ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
สมถะ เมื่ออบรมแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? อบรมแล้ว จิตจะเจริญ
จิตเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้วจะละ ราคะ ได้.
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
วิปัสสนาเล่า เมื่อเจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้ว ปัญญาจะเจริญ
ปัญญา เจริญแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร ? เจริญแล้วจะละ อวิชชา ได้แล.
********************
๓.
การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ตามที่พระบรมศาสดาตรัส
ย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ => โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ => วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์
********************
๔. จาก ๑-๓
อานาปานสติ => สัมมาสติ => สติสัมโพชฌงค์ => สมาธิสัมโพชฌงค์
ดังนั้น..อานาปานสติ เจริญแล้วจะละราคะได้
อานาปานสติ => สัมมาสติ => สติสัมโพชฌงค์ => ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ =>
วิริยสัมโพชฌงค์ => ปีติสัมโพชฌงค์ => ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ =>
สมาธิสัมโพชฌงค์ => อุเบกขาสัมโพชฌงค์ => วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์
ดังนั้น..อานาปานสติ เจริญแล้วจะละอวิชชาได้