|
ก็พระวินัย เกี่ยวข้องกับความศรัทธาของญาติโยม และความตั้งมั่นของศาสนา และหนึ่งในพระวินัยก็มีส่วนของการให้พระบริสุทธิ์ในศีลอยู่ด้วย เพื่อการสำเร็จมรรคผล
แต่สำหรับการบรรลุธรรมแล้ว ฆาราวาสก็บรรลุธรรมได้ และได้ตั้งแต่พุทธกาล
เพราะท่านเหล่านั้น มี สีลวิสุทธิ ต่างกัน (พระอริยะ พระภิกษุ กับฆาราวาส) แต่พระอริยะเหล่านั้นจะเสมอกันด้วย จิตตวิสุทธิ (สมาธิ) ทิฏฐิวิสุทธิ (ปัญญา) ซึ่งแม้ศีลโดยจำนวนข้อไม่เท่ากัน แต่ความบริสุทธิ์ในการรักษาเท่ากัน คือหลุดพ้นเป็นสมุทเฉทประหาณ และพระอริยะที่เป็นฆาราวาสไม่ต้องแบกรับ การสืบทอดศาสนาโดยตรง และศรัทธาของญาติโยม (ในกรณีที่ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริง หากมีคนรู้ เช่น นางวิสาขา อาจต้องยังศรัทธา ของญาติโยมด้วย)
หากบุคคลสามารถอยู่ในศีลธรรมอันดี และมรรคมีองค์ 8 ตั้งแต่ต้น ในหมู่ของภิกษุและภิษุณีจำนวนมาก ทำได้เท่าเทียมกัน พระพุทธองค์จะบัญญัติ ปาฏิโมกขสังวรศีล นี้ขึ้นมาทำไม (เห็นได้ชัดว่าต้องมีภิกษุละเมิดศีลที่ทำให้เสื่อมเสียก่อน ท่านจึงบัญญัติ) ก็เพราะทุกคนไม่เสมอกันนี่เอง การอยู่กับคนโดยมาก และรักษาระเบียบเอาไว้ ก็ต้องมีกฏเกณฑ์กัน ก็ถูกต้องแล้ว ไม่เห็นเป็นประเด็นเลยว่าใครกล่าวว่าอย่างไร เพราะอย่างไรเสีย ใครๆก็ยอมรับในบัญญัติของพระพุทธองค์ และเข้าใจอยู่แล้วว่า แม้แต่ฆาราวาส มีศีล 5 บรรลุธรรมได้ ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล ไม่มีใครสงสัยเลย พวกเราละเลย จตุปาริสุทธิศีล หรือไม่ว่า ศีละนะ มีถึง 4 อย่าง
สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่ง ศีล 4
ปาฏิโมกขสังวรศีล ศีลที่สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ได้แก่ ศีล 5 ,10 , 227 อินทริยสังวรศีล ศีลที่สำรวมในอินทรีย์ 6 อาชีวปาริสุทธิศีล ศีลที่มีอาชีพบริสุทธิ์ (ทั้งพระ และ ฆาราวาส) ปัจจยสันนิสสิตศีล ศีลที่อาศัยปัญญาในการพิจารณาปัจจัย 4
และในการแสดงความบริสุทธิ์นั้น ต้องบริสุทธิ์ ด้วย 4 ประการ จึงจะเข้าถึงความบริสุทธิแห่ง ศีลทั้ง 4 คือ
เทสนาวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยการ "แสดง" สังวรสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยการ "สำรวม" เอฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยการ"อาชีพที่แสวงหา" ปัจจเวกขณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ด้วยการ"พิจารณา"
และหากเราจะสังเกตให้ดี คำสอนของพระพุทธองค์ ในโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ จะสามารถสรุปลงได้ ใน อริยสัจจ 4 ประการ ที่พระพุทธองค์สำเร็จโพธิญาณ ได้ต้นโพธิ์ คำสอนของพระพุทธองค์ผู้มีปัญญาจะสามารถสรุปลงกันได้โดย ไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างไรเสีย คำสอนของพระพุทธองค์ก็เป็นความจริง เที่ยงแท้แน่นอน และ มีศีล สมาธิ ปัญญา (ไตรสิกขา) รวมอยู่ในคราวเดียวกันอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ท่านมุ่งปรารถนาการบรรลุธรรมของผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเทวดา นับจำนวนเป็นโกฏๆๆ และมนุษย์ในที่แห่งนั้น และการบรรรลุธรรมจะว่าด้วยเรื่องใด ถ้าไม่ใช่ว่าด้วยเรื่อง การบริสุทธิ์แห่งศีล สมาธิ และ ปัญญา จึงไม่แปลกเลย ว่าคำสอนของท่านผู้ฟังจะสามารถบรรลุธรรมได้ทันที แต่อย่าลืมว่าขณะที่ฟัง ผู้นั้นสร้างสมบารมี ด้านศีล สมาธิ และ ปัญญา จนเต็มเปี่ยม มาหลายภพชาติ เป็นผู้เบาบาง จนสามารถมานั่งอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ อีกทั้งขณะฟัง ท่านก็เปี่ยมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ที่พร้อมจะบรรลุธรรม อยู่แล้ว ไม่มีใครผิดศีลขณะที่นั่งฟังหรอก และเมื่อนั้นอริยมรรค มีองค์ 8 ประชุมพร้อมกัน เป็น มรรคสมังคี การจบสิ้น ภพชาติก็เป็นไปตามส่วน
แต่หากย้อนภพชาติของท่านเหล่านั้น ท่านต้องเคยรักษาศีลมาก่อน จะว่าด้วย กี่ข้อก็ตาม หลายๆท่าน บวชมาก่อนไม่รู้กี่ชาติ เป็นครูสอนคนอื่นมานับไม่ถ้วน ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธองค์ ท่านเป็นพราหมณ์มาหลายชาติ ต้องเป็นครูสอนอภิธรรม ก็เยอะในสมัยที่มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นอุบัติขึ้น ประวัติของพระพุทธองค์ ทำให้เราทราบว่า ท่านไม่เคยเกี่ยงงอนในการสร้างกุศล แม้แต่อกุศลที่ท่านทำ ท่านก็เล่าให้ฟังเป็น อุทาหรณ์
แล้วไยผู้สร้างบารมีทั้งหลายจะเกี่ยงในพระวินัยที่พระพุทธองค์ กล่าวบัญญัติขึ้น ก็เพื่อพระพุทธศาสนาทั้งนั้น ปฏิบัติแล้วก็ดีกับทั้งแก่ตนเอง และสงฆ์ อีกทั้งแถมพกแถมห่อเป็นอริยะสาวกในพระพุทธศาสนา หากต้องการอยู่โดย ไม่มีพระวินัย แม้ฆาราวาสอย่างดิฉันเอง ก็ไม่สนับสนุน เพราะในบางข้อ แม้แต่ธุดงควัตร ก็ยังนำมาใช้เพื่อขัดเกลากิเลส และไม่ขอล่วงวาจาใดๆ กับพระวินัย เพราะดวงจิตยังไม่ได้ถึงซึ่งกิริยาจิต ยังมีภพชาติ ก็ขอให้ พระวินัยเป็นเรื่องของสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยที่เคารพต่อไป ดิฉันจะรักษาพระวินัยด้วยการปฏิบัติบูชา ไม่ปฏิบัติด้วยวาจา หรือก้าวล่วงใครๆ ใดๆทั้งสิ้น ดิฉัจะพบพระพุทธองค์ด้วยใจ และเมื่อใครมาถามดิฉันจะตอบว่า ดิฉันสืบทอดศาสนา ด้วยการปฏิบัติตนเอง ให้ถึงพร้อมคะ ชาวพุทธทั้งหลาย ท่านได้สืบทอดศานาด้วยวิธีไหนกันคะ พระวินัยจะสำคัญอย่างไร ถ้าแม้ไม่มีผู้ใดพบได้ด้วยการปฏิบัติว่าดีอย่างไร เราก็ไม่ต้องถกเถียงหรือวิพากวิจารณ์ให้เสียเวลา เพราะนั่นนอกเหนือ สิ่งที่พระพุทธองค์สอนไว้เป็นอันมาก และสุ่มเสี่ยงถ้าท่านยังอยู่ อาจจะถูกเรียกว่าโมฆบุรุษ เที่ยวทุ่มเถียงกันในเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ ต่อมรรคผลตนเอง เป็นคำๆเดียวที่ดิฉันไม่อยากให้พระพุทธเจ้าองค์ใดกล่าว ถึงตนเองเลยคะ เพราะนั่นหมายถึงโมฆะจริงๆ
เจริญในธรรมนะคะ ผู้ยังมีภพชาติทั้งหลาย ขอให้เจริญในพระวินัยของพระพุทธองค์ ขอนอบนอมแด่หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ด้วยความเคารพคะ
จากคุณ |
:
goodsthailand
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ธ.ค. 54 19:43:40
|
|
|
|
|