ความคิดเห็นที่ 1 เค้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เค้าก็เน้นสร้างบารมี แล้วจะตอบเค้าอย่างไรครับ พระเทพญาณมหามุนี ศรีธรรมโกศล โสภณภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 10:27:40 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 10:17:35

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นกำลังใจและอนุโมทนาคุณหลวงโยธา  .....เป็นภิกษุต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า... (ถ้าทำผิดพระธรรมวินัย   ไม่มีทางที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง เพราะไม่เคยมีการบันทึกในพระไตรปิฎกว่าพระโพธิสัตว์ที่บวชเป็นภิกษุแล้วจะละเมิดพระวินัย (แต่ถ้าไม่ได้บวชในพระธรรมวินัย ก็จะเป็นการบวชแบบอื่น เช่น เป็นฤาษี นี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านก็ได้แยกตัวออกไปต่างหาก ไม่ได้อยู่ระเบียบของพระธรรมวินัยของพระพุทธเ้จ้า)) ...หากจะสอนอย่างอื่น  ก็ควรแยกนิกาย หรือ แยกศาสนาไปเสียจะดีที่สุด... ฝากบอกเจ้าสำนักนี้ด้วยว่า ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่ เดี๋ยวก็จะเอาอาหารผ่านพระนิพพานไปถวายพระพุทธเจ้า     เดี๋ยวก็เที่ยวไปประกาศว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ เอาให้แน่ๆ    ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยัังไม่ถึงพระนิพพาน  แต่ถ้าถึงพระนิพพานก็เป็นพระอริยเจ้า แต่ถ้ายังสองจิตสองใจ  ก็ไม่ได้เป็นทั้งคู่  และไม่ได้ถึงจุดหมายเสียที พร้อมทั้งทำให้หลายคนต้องอยู่ในสังสารวัฎต่อไปอีกนานแสนนาน (เกิดมิจฉาทิฎฐิ) แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 11:51:13 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 11:46:35 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 11:44:42 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 11:42:53

ความคิดเห็นที่ 3 ท่านก็อยู่บนทางสายนั้นแล้ว แล้วคุณๆๆ และผมยังอยู่นอกเส้นทางอยู่เลย ยังเบียดอยู่เลย   ศีลห้าก็ครบบ้างไม่ครบบ้าง จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 12:01:56

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตนำ คห คุณหลวงโยธาที่เคยลงไว้ในกระทู้อื่นมาลงไว้ครับ เป็นประโยชน์ต่อหลายท่าน http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11420721/Y11420721.html ความคิดเห็นที่ 52 “ภิกษุทั้งหลาย   เราเห็นว่าท่านเหล่านี้ไม่รู้จักเถระ   (คือผู้หลักผู้ใหญ่) หรือเถรกรณธรรม   (ธรรมอันทำให้เป็นเถระ)  บุคคลแม้หากเป็นผู้เฒ่าอายุถึง   80ปี  หรือ  90  ปี  หรือ  100  ปีก็ตาม   แต่เป็นอกาลวาที  (พูดไม่ถูกกาละ)  อภูตวาที    (พูดสิ่งที่ไม่เป็นจริง)   อนัตถวาที    (พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์)  อธัมมวาที  (พูดสิ่งที่ไม่เป็นธรรม)  อวินยวาที  (พูดสิ่งที่ไม่เป็นวินัย)  กล่าวถ้อยคำอันไม่น่าจดจำ    พร่ำเพรื่อ     เหลวแหลก     ไม่มีขอบเขต    ประกอบด้วยเรื่องอัน ไม่ต้องการ  บุคคลนั้นนับว่า  เถระพาล  (ผู้ใหญ่โง่)  แท้แล” ธรรมในที่นี้คือธรรมคำสอนของพระศาสดา. วินัย ในที่นี้คือกฎหมายของภิกษุในธรรมวินัยนี้ หากท่านไม่ทำตามคำสอนของพระศาสดาก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยนี้(ของพระศาสดา) จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 10:05:46 [แก้ไข] ถูกใจ : ยามประจำวัน, ต่อmcu จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 12:28:22

ความคิดเห็นที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11418400/Y11418400.html "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพน ชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้ง จิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร อันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ [๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุ ดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสต ลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ" แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 10:52:36 จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 10:52:00 [แก้ไข] จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 12:29:01

ความคิดเห็นที่ 6 เสียเวลาป่าวที่จะไปบอกคนโน้นคนนี้ให้เดินบนเส้นทาง ตัวของเราเองนี่แหละรีบๆเดินไปให้สุดทางจะดีกว่า ในเมื่อรู้ตัวว่าเดินอยุ่บนเส้นทางแล้ว จะมัวไปติดกระโหลกกะลา ติดลูก ติดเมีย ติดละคร ติดเวปบอร์ด ติดเพื่อน ติดห่วงใยคนอื่น รีบไปกันไม่ดีกว่าหรือ เพราะปลายทางคือความหลุดพ้น ไม่ต้องไปห่วงเจ้าคุณท่านหรอก ใครก้าวเดินคนนั้นก็เข้าใกล้ทางหลุดพ้น ใครจะห่วงก่อสร้าง ใครจะห่วงสมณศักดิ์ ใครจะห่วงสาวกบริวาร ก็ชั่งเถิดค่าาา อิชั้นชักห่วงหลวงโยธาท่านน่ะ กลัวจะเดินช้าเพราะมัวห่วงคนโน้นคนนี้ ;-) จากคุณ : น้องแมวมีห่วงผูกคอ (catwoman007) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 12:45:29

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับเราผู้มีปัญญาน้อยคง พิจารณาว่า ที่ผ่านมาพระพุทธเจ้าในสมัยเราพระสมณโคดม เคยมีชาติไหนไหม ที่ท่านเกิดมาแล้ว ได้เผยแพร่คำสอน ให้คนหมกม่นกับการให้ไป เพื่อ ได้มา   พระโพธิสัตว์ อันมีพระพุทธเจ้าสมัยเราเป็นตย ท่านมีบำเพ็ญทานบารมี  ในชาติที่เกิดมาเป็นพระเวชสันดร ท่านมีแต่ ให้ฝ่ายเดียว ไม่มีความต้องการเพื่อ การได้กลับคืน มีไหมที่ท่านจะสอนว่า -   1. ให้ ขายบ้าน รถ  ทรัพย์สินเพื่อ แลก กับอนาคต ในสวรรค์ 2. เป็นไปเพื่อ การเพิ่มกิเลส  ความโลภ เพื่อความรวย ไม่มีพระโพธิสัตว์สมัยใด ปลุกปั่น ชี้ทางซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ผู้คน 1.ขายๆๆๆ มาทำบุญ และ ทำบุญเพื่อ รวยๆๆๆๆ 2.สั่งให้ผู้คนที่ศรัทธาตน  เลือกนักการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจฝ่ายรัฐ แค่ 2 ตย ข้างบน ก็ เข้าข่ายของผู้เป็นมาร เพราะ 1.ชี้แนะผู้คน ให้ทำไปเพื่อ หนุนกิเลส ที่ครองหัวใจ 2.เพื่อ ผลประโยชน์ ค้ำชู ฐานอำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  ไม่ใช่ เพื่อป้องกันการเกิดสงคราม เพื่อความสงบร่มเย็นของประชาชน ไม่รวมการอย่ในสมณะเพศ พระ แต่ไปทำเลเซอร์หน้าใส เพื่อหลอกให้คนเชื่อว่าภาวนามาจนผุดผาดได้อีก   หลักฐานอยู่บนหนังหน้า  แสดงให้เห็นทุกที่ๆแบกหน้าไปอวดผู้คน เป็นพระโพธิสัตว์ จะสนใจเรื่องความงามไปเพื่ออันใด ด้วยการเห็นตามความเป็นจริงนี่แหละ ไม่ต้องยกตู้พระไตรปิฎกมาโถมใส่กัน หากรู้จักแก่นพระพทธศาสนา คือ การสอนให้พ้นทุกข์ ไม่หลงเปลือกสังเคราะห์  ที่ทำให้ดูดี เป็นระเบียบ ตามที่ธรรมกายทำดักไว้ สังเกตสักนิด ว่า เปลือกนั้น ไม่ได้เป็นเปลือกของธรรมะในพระพุทธศาสนา เป็นเพียงเปลือกสังเคราะห์ แอบอ้าง  เพื่อจะได้ ผลผลิต เป็น สินค้าแบรนด์แสตมป์ตรา.. ธรรมกาย.. แอบอ้าง เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนา  เพื่อใช้ในการขายตรง สู่ประชาชน   ไม่มีหรอก พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรเป็นพระพุทธเจ้า ในธรรมกาย มีแต่   ปลาใหญ่กินปลาเล็ก !! หรือ คนโง่ ย่อมเป็นเหยื่อคนฉลาดเท่านั้น !! จากคุณ : น้องต๋าว เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 13:05:14

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดเห็นที่ 6 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน เสียเวลาป่าวที่จะไปบอกคนโน้นคนนี้ให้เดินบนเส้นทาง ตัวของเราเองนี่แหละรีบๆเดินไปให้สุดทางจะดีกว่า ในเมื่อรู้ตัวว่าเดินอยุ่บนเส้นทางแล้ว จะมัวไปติดกระโหลกกะลา ติดลูก ติดเมีย ติดละคร ติดเวปบอร์ด ติดเพื่อน ติดห่วงใยคนอื่น รีบไปกันไม่ดีกว่าหรือ เพราะปลายทางคือความหลุดพ้น ไม่ต้องไปห่วงเจ้าคุณท่านหรอก ใครก้าวเดินคนนั้นก็เข้าใกล้ทางหลุดพ้น ใครจะห่วงก่อสร้าง ใครจะห่วงสมณศักดิ์ ใครจะห่วงสาวกบริวาร ก็ชั่งเถิดค่าาา อิชั้นชักห่วงหลวงโยธาท่านน่ะ กลัวจะเดินช้าเพราะมัวห่วงคนโน้นคนนี้ ;-) จากคุณ : น้องแมวมีห่วงผูกคอ (catwoman007) [Bloggang] เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 12:45:29 [แก้ไข] ขอบคุณครับที่ตักเตือน จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 14:00:08

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณระบบอินเตอร์เน็ตที่ช่วยให้ไม่เสียเวลาในการหาวิธีการปกป้องพระพุทธศาสนา (ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปป่าวประกาศมากมาย (และไม่ต้องใช้เงิินมหาศาล) เมื่อลงข้อมูลแล้วก็สามารถจะอยู่ในระบบได้นานๆและก็มีคนได้อ่านมากๆ เพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม  ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกที่นำพระศาสนามาเพื่อลาภ ยศ สักการะ) ....นำเวลาที่เหลือไปปฏิบัติธรรมกันนะครับ(แม้ในขณะ โพส ข้อความในเว็บบอร์ดก็สามารถปฏิบัติธรรมได้)........... ขอขอบคุณวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ทุกๆท่านที่คิดค้นระบบอินเตอร์เน็ต... และขออนุโมทนาคุณหลวงโยธาอีกครั้งครับ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 14:38:06 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 14:05:10 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 14:03:10

ความคิดเห็นที่ 10 ข้อมูลจากพระไตรปิฎก ๘. มหาหัตถิปโทปมสูตร อุปมาอริยสัจกับรอยเท้าช้าง             [๓๔๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอานาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตร เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายผู้มีอายุ. ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระสารีบุตรแล้ว.             พระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย รอยเท้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้เที่ยวไปบนแผ่นดิน รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการประชุมลงในรอยเท้าช้างรอยเท้าช้างชาวโลกย่อมกล่าวว่า เป็นยอดของรอยเท้าเหล่านั้น เพราะรอยเท้าช้างเป็นของใหญ่      แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมดย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าในอริยสัจสี่ ฉันนั้นเห็นเหมือนกันแล. ในอริยสัจสี่เหล่าไหน? คือ ในทุกขอริยสัจ ในทุกขสมุทัยอริยสัจ ในทุกขนิโรธอริยสัจ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ. http://www.84000.org/tipitaka/read/?12/340/349 แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 14:27:37 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 14:27:00

ความคิดเห็นที่ 11 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ บริษัทที่ดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำ ๑ (อุกฺกาจิตวินีตา  ปริสา  โน  ปฏิปุจฺฉาวินีตา) บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำไม่ดื้อด้าน ๑(ปฏิปุจฺฉาวินีตา  ปฏิปุจฺฉาวินีตา  ปริสา  โน อุกฺกาจิตวินีตา) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่ดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้ เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่ตถาคตภาษิตไว้ซึ่งลึกล้ำ มีอรรถอันลึกล้ำ เป็ยโลกุตระ ปฏิสังยุตด้วยสุญญตธรรมไม่ตั้งใจฟังให้ดี ไม่เงี่ยหูลงสดับ ไม่เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึง อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียนท่องขึ้นใจ แต่เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีได้รจนาไว้ เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร มีในภายนอก ซึ่งสาวกได้ภาษิตไว้ ย่อมตั้งใจฟัง เป็นอย่างดี เงี่ยหูลงสดับ เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึงอนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นย่อมเข้าใจธรรมที่ ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ ภิกษุเหล่านั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ไม่สอบสวน ไม่เที่ยวไต่ถามกัน และกันว่า พยัญชนะนี้อย่างไร อรรถแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน ภิกษุเหล่านั้นไม่เปิดเผยอรรถที่ลี้ลับไม่ทำอรรถที่ลึกซึ้งให้ตื้น และไม่บรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เรียกว่าบริษัทดื้อด้านไม่ได้รับการสอบถามแนะนำ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ก็บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำไม่ดื้อด้านเป็นไฉน ภิกษุในบริษัทใดในธรรมวินัยนี้เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่กวีรจนาไว้เป็นคำกวี มีอักษรวิจิตร มีพยัญชนะวิจิตร มีในภายนอกเป็นสาวกภาษิต ไม่ตั้งใจฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูลงสดับ ไม่เข้าไปตั้งจิตไว้เพื่อจะรู้ทั่วถึง อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นไม่เข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ แต่ว่า เมื่อผู้อื่นกล่าวพระสูตรที่ตถาคตภาษิตไว้ ซึ่งลึกล้ำ มีอรรถลึกล้ำ เป็นโลกุตระปฏิสังยุตด้วยสุญญตธรรม ย่อมตั้งใจฟังเป็นอย่างดีเงี่ยหูลงสดับ เข้าไปตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และภิกษุเหล่านั้นย่อมเข้าใจธรรมที่ตนควรเล่าเรียน ท่องขึ้นใจ ภิกษุเหล่านั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมสอบสวนเที่ยวไต่ถามกันและกันว่า พยัญชนะนี้อย่างไร อรรถแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน ภิกษุเหล่านั้นย่อมเปิดเผยอรรถที่ลี้ลับ ทำอรรถที่ลึกซึ้งให้ตื้น และบรรเทาความสงสัยในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายอย่างเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลายบริษัทนี้เรียกว่า บริษัทผู้ได้รับการสอบถามแนะนำ ไม่ดื้อด้าน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๒ จำพวกเหล่านี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาบริษัท ๒ จำพวกนี้ บริษัทที่ได้รับการสอบถามแนะนำ ไม่ดื้อด้าน เป็นเลิศ ฯ แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 14:54:59 จากคุณ : หลวงโยธา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 14:41:13

ความคิดเห็นที่ 12 ได้ฟังเทศน์เรื่องธรรมกายคืออะไรของหลวงพ่อวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม หลวงพ่อท่านเทศน์ไว้ว่า สามารถเข้าถึงนิพพานได้แม้ไม่ใช่พระอริยเจ้าด้วยการเข้าถึงธรรมกายด้วยอำนาจของวิกขัมภนวิมุตติ ผิดถูกอย่างไรไม่ทราบ ได้รับฟังมาเลยมาบอกให้ฟังครับ จากคุณ : เกี๊ยวหมี่แห้ง เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 17:45:06

ความคิดเห็นที่ 13 วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่มหรือสะกดไว้       ได้แก่ ความพ้นจากกิเลสและอกุศลธรรมได้ด้วยกำลังฌาน อาจสะกดไว้ได้นานกว่าตทังควิมุตติ แต่เมื่อฌานเสื่อมแล้ว กิเลสอาจเกิดขึ้นอีก จัดเป็นโลกิยวิมุตติ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 18:20:14

ความคิดเห็นที่ 14 อยากเตือนท่านหลวงโยธาเหมือนกันว่าขอให้ท่านเดินทางของท่านไปให้ถึงสุดทางเถิดเจ้าค่าไม่ต้องห่วงหลวงพ่อธัมมเพราะท่านไปไกลกว่าเราจะตามท่านได้คงอีกหลายกัปป์หลายกัลล์สิ่งที่หลวงพ่อธัมฯสอนก็ไม่เห็นจะนอกลู่นอกทางตรงไหน เอาเป็นว่านานาจิตตัง ใครเห็นดีก็เดินตามใครเห็นว่าไม่ถูกท่านก็เดินตามทางท่านเถิด เพราะเรามีจุดหมายปลายทางเดียวกันเพียงแต่เดินคนละเส้นทางถึงเร็วถึงช้าขึ้นอยู่กับกำลังบุญ ขอให้ท่านสมคว่มปรารถนา จากคุณ : ฅนธรรม (พี่กิ๊กน้องก๊อป) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 20:30:16

ความคิดเห็นที่ 15 "แล้วคุณๆๆ และผมยังอยู่นอกเส้นทางอยู่เลย ยังเบียดอยู่เลย   ศีลห้าก็ครบบ้างไม่ครบบ้าง จากคุณ : ธรรมชาติไพศาล  " ------------------------- ผมไม่ได้เบียดว่ะ   ผมกำลังพยายามประพฤติพรหมจรรย์อยู่   และผมก็ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกไม่มีเมีย ยังบริสุทธิ์ (บริสุืทธิ์ในความหมายของเวอร์จิ้น น่ะ) อยู่จนบัดนี้ และผมเชื่อว่า ถ้านับปริมาณคุณธรรมในตัว  ผมน่าจะมีคุณธรรมมากกว่าพระเทพญาณมหามุนี (ธัมมชโย) เสียอีก แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 01:08:31 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 01:07:46

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าใครขี่ช้างเหาะลงมาจากก้อนเมฆ  ธรรมชโย  จึงจะเชื่อ  .... จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 02:40:30

ความคิดเห็นที่ 17 มีเรื่องจริงปะปนอยู่ในความเท็จที่ปรากฏอยู่ แต่เพราะความเท็จถูกแต่งเติมเสริมภาพ จึงทำให้เรื่องจริงถูกมองไม่เห็นค่า บางเรื่องละเอียดอ่อนมากจริงๆ เกินกว่าจะปรามาสออกไปอย่างรวมๆ คนที่ คิดว่าตัวเองศึกษามากและรู้จริง ก็ควรระวังไว้บ้าง เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มี ใครรู้จริงๆหรอก ...ที่รู้แน่ๆ ใครทำกรรมอะไรไว้ วันนึงต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน ...ต่างคนต่างมุ่งปฏิบัติธรรมกันน่าจดีกว่านะ เจ้าคะ/. จากคุณ : sailsky เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 08:50:39

ความคิดเห็นที่ 18 . แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 54 01:57:03 จากคุณ : เกี๊ยวหมี่แห้ง เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 00:09:44