ความคิดเห็นที่ 1 จากประสบการณ์   เมื่อเข้าถึงกายธรรมแล้ว จะสัมผัสได้เองครับ ว่าคือแก้วทั้งหมด ตัณหา วิภวตัณหา ภวตัณหา ดับลงเมื่อเข้าถึงกายธรรมครับ ตามที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฏกครับ ได้ดวงตาเห็นธรรม แต่เป็นตาในนะครับ   เห็นชัดๆ มีสติรู้ตัวตลอดเวลา เมื่อถึงตรงนี้ สำหรับบางท่านที่เคยอธิษฐาน หลวงพ่อสดท่านอาจจะมาปรากฏให้ท่านเห็น และสอนท่านต่อ ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป รูปกายที่ปรากฏ ท่านยังครองจีวรครับ ยังมีประสบการณ์ที่น่าสนใจอีกครับ แต่ไม่อยากเล่าที่นี่นะ เป็นปัจจัตตังครับ ด้วยความสัตย์จริงครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 23:07:30

ความคิดเห็นที่ 3 แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 01:08:46 จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 00:32:28

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีการปฏิบัติแบบสายวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้นถูกต้องครับ แต่ถูกต้องในฐานะที่เป็น"อุบายสมถกรรมฐาน" ทำให้จิตสงบแบบหนึ่งเท่านั้น  ถ้าจะก้าวต่อไปถึงวิปัสสนาญาณ ก็ต้องละนิมิตโอภาสในดวงแก้วใสนั้นให้ได้ วิปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ เห็นนามรูปเป็นความไม่เที่ยง  ถ้ามัวแต่มามองดวงแก้ว  จะไปเห็นความไม่เที่ยงของอะไรได้ล่ะครับ.... ขอบอกว่า วิชชาธรรมกายมีประโยชน์เพียงสองอย่าง คือ ๑. มีประโยชน์ทางทำให้เกิดฤทธิ์ทางใจเบื้องต้นได้ ๒. เป็นประโยชน์แก่ความสงบของจิต  และเป็นบาทฐานแก่วิปััสสนาญาณได้บ้าง  อาจก้าวได้ถึงวิปัสสนาญาณระดับที่ ๓ - ๔ แต่พอถึงช่วงนั้น ดวงแก้วใสจะสว่างมาก  แล้วจะติด จนละไม่ได้  อย่างมากก็ทำได้เพียงเล่นนิมิต ปรับแปลงรูปนิมิตให้เห็นเป็นกายชั้นพรหม กายโสดา กายสกิทาคา ฯลฯ  ให้จิตได้สนุกหน่อยๆเท่านั้นเอง ตอนนั้นแหละวิปัสสนูปกิเลสมาเต็มตัวเลย ถูกนิมิตโอภาสล่อจนไม่ได้ก้าวหน้าต่อไป... ถ้าประสงค์จะก้าวหน้าต่อ ก็ต้องละนิมิตโอภาสให้ได้  ต่อจากนั้นแหละ ถึงจะก้าวไปสู่วิปัสสนาญาณในระดับต่อไป  แต่ถัดจากนี้ ไม่อยู่ในสายวิชชาธรรมกายแล้ว จะให้ผมยืนยันเป็นครั้งที่ ๑๐๐ เท่าไหร่ก็ได้ว่า   เฉพาะวิชชาธรรมกาย ไม่อาจทำให้บรรลุมรรคผลได้ ถึงจะเห็นได้หมดทั้ง ๑๘ กาย หรือเห็นดวงมรรคกี่มรรคก็แล้วแต่ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 01:01:23 จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 00:55:31

ความคิดเห็นที่ 5 ทำได้เป็นดีครับ อย่างน้อยก็มหัศจรรย์ใจดี (ผมทเคยทำได้) จากคุณ : ไฟไฟ เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 02:46:32

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าไม่ว่าวิชชาของลพ.สด จะเป็นอย่างไร  ผมสรุปให้เองครับว่า ใครๆที่วิจารณ์ท่านหยั่งงี้หยั่งงั้น  ถ้าให้พระผงของขวัญวัดปากน้ำของแท้รุ่น๑-๓ที่ท่านสร้างและเสกจะเอามั๊ยล่ะ?   ผมขอคนแรกเลยทีเดียว^^ จากคุณ : niwatpuniw เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 05:31:24

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นบาทฐานแก่วิปััสสนาญาณได้บ้าง .........อันนี้ขอแย้งครับ กลับกัน ส่วนตัวใช้ วิปัสสนาญาณ เป็นบาทฐานเพื่อเข้าถึง กายธรรมครับ วิดีโอที่ยกมาหลายครั้ง ซ้ำๆกันข้างบน ผู้กล่าวท่านนั้นก็ยังไม่เคยศึกษาอย่างจริงจัง และยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และได้เคยชี้แจงไปหมดแล้วนะครับ คำว่าโอภาสหมายถึงแสงสว่างครับ คนละเรื่องกับวิชชาธรรมกายครับ คำว่าใสเป็นแก้ว รัตนะ ไม่ใช่แสงสว่าง นิมิตที่เกิดจากจิตปรุงแต่ง จินตนาการ ช่างแตกต่างจาก นิมิต ที่เรียกว่า ญาณ จริงๆครับ จะให้ผมยืนยันเป็นครั้งที่ 1๐1 ก็ได้ครับ  :) จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 06:59:52

ความคิดเห็นที่ 8 เฉพาะวิชชาธรรมกาย ไม่อาจทำให้บรรลุมรรคผลได้ ถึงจะเห็นได้หมดทั้ง ๑๘ กาย หรือเห็นดวงมรรคกี่มรรคก็แล้วแต่ .......ประโยคนี้ยิ่งต้องแย้งอีกครับ  บุคคลที่กล่าวคำข้างต้น ไม่เคยปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่กล้าพูดได้อย่างไรครับ มันมีรายละเอียดอีกมาก ที่คุณไม่เคยได้อ่าน ได้รู้เลย  แต่ทำไมรีบด่วนสรุปครับ สติปัฏฐาน4  กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม การจะบรรลุอริยบุคคลได้ ก็ต้องตัดกิเลสสังโยชน์ 10 ได้ การเห็นนั้นมีสองประเภท คือเห็นจากจินตนาการ ปรุงแต่งทางจิต และเห็นจากความเป็นจริง มิได้ตอบตามหลักการครับ แต่ตอบจากสัจจธรรมที่พบครับ ใครที่จะแย้ง  ลองช่วย บรรยายคำว่า ธัมมกาย ตามพระไตรปิฏก ได้ไหมครับ ?????? จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:06:03

ความคิดเห็นที่ 9 คำว่ามรรคผลนิพพาน มาดูคำว่ามรรค คือหนทางปฏิบัติ ย่อลงมาที่ ศีล สมาธิ ปัญญา   หรือ ไตรสิกขา ...ศีลสิกขา  จิตสิกขา ปัญญาสิกขา การปฏิบัติวิชชาธรรมกาย ก็เป็นสมาธิ หนึ่งในหนทางการปฏิบัติ คนที่จะเห้นไตรลักษณืของ ขันธ์ 5 ได้ เริ่มจากเห็นความเสื่อมของขันธ์ 5 แล้วกายธรรม เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ 5 หรือเปล่าครับ ตามพระไตรปิฏก ????? จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:11:49

ความคิดเห็นที่ 10 หลงติดนิมิต  นั่นแหละ... นิมิต ไม่ใช่ญาณ  คนละอย่างกัน  .. นิมิตเป็นรูปในมโนทวาร  ..ส่วนญาณเป็นปัญญาพิเศษที่สามารถไปรู้อะไรต่างๆพิเศษได้ ถ้าละนิมิตนั่นออกให้หมด ก็จะเจออะไรที่ไม่ใช่นิมิต  แล้วค่อยขยับไปต่ออีก  ยังมีอะไรลึกๆละเอียดลงไปอีก  แต่ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา     วิปัสสนา  ต้องถึงระดับเห็นจิตเกิดดับเป็นดวงๆ ที่ไวมากๆๆตามที่พระอภิธรรมกล่าวไว้นั้นได้ทัน  คือ กระพริบตาครั้งหนึ่ง  จิตเกิดๆดับๆไปประมาณล้านล้านดวงนั้น  สามารถเห็นอันนี้ได้ทัน อย่างน้อย ๑ วิถี   ซึ่งน่าอัศจรรย์มากๆๆ  ซึ่งถ้าได้เห็นอันนี้  ก็คือได้เห็นความอัศจรรย์เกือบสูงสุดรองจากการเห็นนิพพาน  เท่านั้น นิมิตทุกๆอย่างที่ปรากฏในอัปปปนาสมาธิ  โดยเฉพาะในจตุตถฌาน จะสดใสเป็นแก้วสว่างสวยงามสุดๆๆ .. น่าหลงติดสุดๆ  ไม่ว่าใครก็จะหลงไประยะหนึ่ง   ..ถ้าเป็นคนประเภทพุทธิจริตหรือจริตที่มีปัญญามาก ก็จะหลงไม่นาน   จะหาทางพิจารณาจนทะลุผ่านไปได้  แต่ถ้าคนที่ปัญญาไม่ดีนัก จะหลงติดแบบโงหัวไม่ขึ้น ไม่ยอมละนิมิตนั้นเลย  แต่จะยิ่งจมติดลึกๆลงไปอย่างแนบแน่นสุดๆๆ... ต่อให้เป็นถ่านไฟก้อนดำเมี่ยม  ถ้าไปปรากฏเป็นภาพนิมิตในอัปปนาสมาธิ  ภาพของถ่านนั้นจะไม่ใช่สีดำ  แต่จะใสเป็นแก้ว สวยงามสุดๆ  น่าหลงสุดๆ และยังไงก็จะหลงติดจนได้ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:15:57

ความคิดเห็นที่ 11 ผมความรู้น้อยตรับขอออกความเห็นนิดหน่อย    เมื่อเข้าแล้วเห็นดวงแก้วแล้วทุกข์ละเห็นไหมเห็นตนเองไหม เมื่อจิตรวมจิตนิ่งปิดอายตนะหมดแล้วจะเห็นอะไรได้อีก    ถ้าทำเสร็จแล้วตายเลยก็น่าจะได้อะไรอยู่ แต่ถ้าทำแล้วมาเจอสาวๆสวยๆ อาหารอร่อย กลิ่นหอมหวล ความผิดหวังสมหวังการดิ้นรนเอาตัวรอดจากความเป็นจริงของโลกชีวิตจริงดวงแก้วนี้จะช่วยอะไรได้มั่งละครับ    ขออภัยถ้าผิดพลาด ความเห็นส่วนตัวจริงๆ ผมว่าอยากทำได้แล้วก็อยากทำได้อีกๆๆๆน่าจะเป็นสิ่งที่คนที่ทำต้องการแน่นอนใช่ไม๊ครับ  (ผมก็อยากได้ครับ) จากคุณ : มันตรัย2009 เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:43:39

ความคิดเห็นที่ 12 นิมิตเป็นเรื่องของการปรุงแต่ทางจิต แต่เห็นจริงรู้จริงคือญาณ ส่วนญาณเป็นปัญญาพิเศษที่สามารถไปรู้อะไรต่างๆพิเศษได้ ประโยคนี้สอดคล้องกับวิชชาธรรมกาย จริงๆ การที่ผม รับรู้เรื่องราวคำสอนของหลวงพ่อสดได้ชัดเจน ก็คือญาณสิครับ และพบหลวงพ่อสด  มาปรากฏกายให้เห็น พูดให้ได้ยิน ให้รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเผชิญอยู่  และแนะนำแนวทาง แต่ที่สำคัญคือ ท่านสั่งให้หยิบกล้วยที่หน้าพระประธาน ไปอธิษฐาน เหมือนในสมัยที่ท่านทำทาน แบ่งอาหารให้สุนัขหิวโซ (ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหรือรู้มาก่อนว่า มีใครนำกล้วยมาวางไว้ หน้าพระประธาน ) ท่านยังสั่งว่า เอ็งไม่ต้องพูดอะไรมาก มีอะไรให้ระลึกถึงข้าฯ  เดี๋ยวข้า ฯ  จัดการเอง   และ  ท่านหันไปซ้ายขวา      มีพระอีกสองรูปนั่งด้านข้าง ก็คือ ศิษย์เอกของท่านที่มรณภาพไปแล้ว ) สักพักท่านก็หมุนตัวมาซ้อนกาย ทับร่างกายหยาบให้ สิ่งที่ปรากฏก็คือ กายใสชัดเจนกว่าเดิมอีก แล้วก็หมุนตัวกลับไปที่เดิม แล้วก็หายไปพร้อมกัน ทั้ง 3 ท่าน แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 07:47:26 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:44:24

ความคิดเห็นที่ 13 #11 การเห็นดวงแก้วใสๆ ก็เพื่อละการปรุงแต่งกิเลส ที่คุณว่ามานั่นแหละครับ มันใสเกินกว่า จะมาปรุงแต่ง กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ถ้าเอาแค่นี้ ก็คือใช้สมาธิ มากดข่มกิเลสไว้ชั่วคราว ถ้าจิตผ่องใสจริงๆ แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 07:51:09 จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 07:46:29

ความคิดเห็นที่ 14 อนุโมทนา คุณchohokun  คห 4 ครับ ทำให้ชาวพุทธปฏิบัติในเส้นทางที่ถูกต้อง จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 08:31:36

ความคิดเห็นที่ 15 เพิ่มเติมข้อมูลให้ จขกท ครับ เผื่อใช้ประโยชน์ เจ้าคุณโชดกกล่าวถึงหลวงพ่อสด http://www.youtube.com/watch?v=YKcWUGUnMY4&feature=player_embedded แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 54 08:51:15 จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 08:50:34

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อมูลบางส่วนที่เคยลงในพันธุ์ทิพย์ (มีการแสดง คห ของสันตินันท์(ปัจจุบันคือ หลวงพ่อปราโมทย์  ปราโมชโช)) http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/02/Y5121726/Y5121726.html ขอขอบคุณ จขกท และอนุโมทนา ที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องครับ จากคุณ : ต่อmcu เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 08:53:12

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่าไม่ว่าวิชชาของลพ.สด จะเป็นอย่างไร  ผมสรุปให้เองครับว่า ใครๆที่วิจารณ์ท่านหยั่งงี้หยั่งงั้น  ถ้าให้พระผงของขวัญวัดปากน้ำของแท้รุ่น๑-๓ที่ท่านสร้างและเสกจะเอามั๊ยล่ะ?   ผมขอคนแรกเลยทีเดียว^^ จากคุณ : niwatpuniw --------------------------- ผมไม่เอาครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 09:59:04

ความคิดเห็นที่ 18 ก็ท่านนั้น แสดงสภาวะแห่งสมาธิเช่นนั้น ตรงกับ ที่พระพุททธเจ้าตรัสคำว่า.  เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิตสิ้นอาสวะแล้ว ไหมละครับ (ตามทีาพระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษาตามที่ตรัสไว้) เหตุผลเบื้องต้นแค่นี้ ท่านจขกท  ไม่เห็นด้วยหรือครับ ว่า. ทำไมเขาจึงว่า ไม่ถูกต้อง ตามหัวกระทู้ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 11:02:48

ความคิดเห็นที่ 19 ---- ขอบคุณข้อมูล ในความเห็นที่ 15 จาก คุณ ต่อmcu   ได้เคยหาฟังหลายครั้งแล้วลิงก์เสีย   ตอนนี้ได้ฟังแล้ว  ขอบคุณมากครับ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 11:24:38

ความคิดเห็นที่ 20 ------------------ ข้อมูลในลิงก์ ความเห็นที่ 16 ของคุณต่อฯ  ได้อ่านอีกที  ได้เห็นรายละเอียดหลายประเด็นดี ขอบคุณครับ -------------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 16     ข้อมูลบางส่วนที่เคยลงในพันธุ์ทิพย์ (มีการแสดง คห ของสันตินันท์(ปัจจุบันคือ หลวงพ่อปราโมทย์  ปราโมชโช)) http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2007/02/Y5121726/Y5121726.html ขอขอบคุณ จขกท และอนุโมทนา ที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องครับ จากคุณ : ต่อmcu     เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 08:53:12   --------------------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 11:53:30

ความคิดเห็นที่ 21 -  วิดีโอข้างบน เจ้าคุณโชดก พาดพิง หลวงปู่มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อสด คลาดเคลื่อนอย่างไร ลองอ่านในกระทู้เก่าๆครับ อธิบายไปแล้วครับ - ข้อเขียนของสันตินันท์ ก่อนหลวงพ่อปราโมทย์ออกบวช เคยอ่านแล้วครับ เข้าใจว่ามนสมัยนั้น จะไปเอาหนังสือมาอ่าน แล้วก้หยิบมาเทียบกับปริยัติครับ   คือถ้ายังไม่ได้ปฏิบัติเอง จะเข้าใจไปว่า  เข้าถึงแต่ละกายแล้วจะบรรลุอริยบุคคล อันนี้เห็นว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปแบบนั้นเยอะทีเดียว จนกว่าคุณจะละสังโยชน์ได้ทีละชั้น กายธรรมที่เห็นนั้น จะเห็นชัดเจน มิได้มาจากนิมิตนะครับ - ส่วนคุณเซน ทำไมจึงคิดว่า สมาธิไม่มีนิมิตครับ แล้วที่พระพุทธเจ้าเห็นภาพตนเองในอดีตชาติเรียกว่าเห็นภาพนิมิตได้ไหม นิมิต กับญาณ ต่างกันอย่างไรครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 20:18:16

ความคิดเห็นที่ 22 คคห ๒๑ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11440762/Y11440762.html นิมิต. มีหลาย แบบครับ (๑) คุณอ้างสมาธิที่มีนิมิตว่า พระพุทธเจ้าเห็นภาพตนเองในอดีตชาติ นั้น อดีตชาติแบบ วิสุทธิมัคค์ ที่เกี่ยวกับ ชาติก่อน ชาตินี้ ขาติหน้า ใช่ไหมครับ (๒) พระพุทธเจ้าตรัสเองคำว่า เจโตสมาธิที่ไม่มีนิมิตสิ้นอาสวะแล้ว คุณventure. รู้จัก สมาธิ เช่นที่ตรัสไหมครับ (จูฬสุญญตาสูตร) (๓). กรุณาศึกษาพระพุทธวจนะให้เพียงพอฯ แล้วจะไม่ต้องถามเรื่องนิมิตกับ(สัมมา)ญาณตามที่ตรัสไว้ครับ ตามที่ตรัสว่า สัญญา(ในนิมิตและญาณใดนั้น)เกิดก่อน(ไม่ใช่สัญญาวิปลาสเพราะกิเลส).  ญาณ(ในสิ่งนั้นนิมิตและญาณ) เกิดทีหลัง จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 20:37:37

ความคิดเห็นที่ 23 ก็ถามอีกครั้งว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็นก่อนไปเทศนาในแต่ละวัน เรียกว่าเห็นนิมิตใช่ไหม และระลึกชาติ ภาพที่เห็นเป็นนิมิต เห็นภาพ มีเสียง ใช่ไหม นิมิตหรือภาพที่เห็น  ต่างจาก ญาณ หรือรู้  อย่างไร  ลองเสวนาสิครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 22:01:28

ความคิดเห็นที่ 24 (๑) ถามผมเรื่องนิมิต ดูกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11444820/Y11444820.html คคห ๕ ตรง กิเลสเกิดขึ้นตั้งอยู่เวียนวนตราบกาลนานไม่เคยสูญ กิเลสที่มันเที่ยง  ทำให้มันไม่เที่ยงดับลงได้เป็น อนิจจัง   สุขนั้นไม่มี  จึงเห็นทุกอย่างมีแต่ทุกข์ ปหานกิเลสให้มันสูญได้ เป็นอนัตตา สัมมาทิฏฐิ ๑๐ (ที่เป็นสาสวะ) เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากมีอุปธิ(อุปธิเวปักกา) ๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด)  (อัตถิ  ทินนัง) ๒. ยัญพิธี(พิธีการ)ที่ปฏิบัติบูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) ๓. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่   (อัตถิ  สุกตะทุกกะฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)   ๕. โลกนี้  มี  (อัตถิ  อยัง  โลโก)   หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ   ๖. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)   หมายถึง โลกโลกุตระ ๗. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)  แม่ทางจิตวิญญาณ  ศีล เป็นต้น ๘. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) พ่อทางจิตวิญญาณ ปัญญา เป็นต้น ๙. สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ. มี  (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) ผี เทวดา มาร พรหม สัตว์ที่เกิดทางจิตวิญญาณ เป็นนามธรรม ไม่มีรูปโฉม สรีระ รู้ด้วยอาการลิงคนิมิต สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา   เย   อิมัญจ   โลกัง   ปรัญ  จ   โลกัง    สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา   ปเวเทนตีติ) คำว่า รู้ด้วยอาการลิงค์นิมิต (ดูมหานิทานสูตร อาการ ลังคิ นิมิต อุเทส. ) คุณventure เคยฟังจากอาจารย์ของคุณฯ หรือฯ ไม่ครับ เข้าใจว่า ?  ยกไว้ (๒). เน้นย้ำ ทิฏฐิหริอ มติ "คำว่า สิ่งที่พระพุทูเจ้าเห็นก่อนไปเทศนาในแต่ละวัน เรียกว่าเห็นนิมิตใช่ไหม" พระพุทธองค์ เรียก เช่นที่คุณฯ ถามผม ไหมครับ ผมยังหาไม่เจอครับ ดังนั้น ถ้าไม่ตรัสไว้ สาวก ไม่ว่าสมัยไหน ก็เก่งกว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ได้ จริงไหมครับ หรือคุณventure.  เห็นว่า สาวกท่านใดเลอเลิศปรัเสริฐศรี. มีอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เชน พระพุทธเจ้า พระองค์นี้ ครับ (เดาว่า คงไม่) สรุป ก่อนเสวนากัน เราควร ต้องมีสติสมาธิปัญญาสัมปชัญญะ "ไม่วิปลาสเท่าที่จะสามารถ". คือ รู้ตัวว่า เราเป็นสาวกของท่านใด ท่านใดนั่น เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้. "พระมหาสมณโคตมะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า". พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าทั้งปวง ล้วนตรัสรู้อริยสัจหรือปฏิจจสมุปบาท และ เนื่องด้วย สุญญตาวิหารคือ เจโตสมาูิที่ไม่มีนิมิตสิ้นิาสวะแล้ว ตามจูฬสุญญตาสูตร เหมือนกัน ตรัสสอน ทุกข์อริยสัจคือ. ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ เป็นตัวทุกข์เหมือนกัน (ดูที่ตรัสถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ตามที่ตรัสเองในพระไตรปิฎก)เช่นว่า ๔๕ เล่ม) รวมความว่า เสวนาอ้างอิงพระพุทธวจนะ ไม่ใช่เพื่ิอ รองรับ ว่าสาวกท่านใดนั้นเลอเลศ ด้วยอะไรๆก็ตาม คุณventure. จะเสวนากับผม แบบไหนครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:57:36

ความคิดเห็นที่ 25 นิมิต ภาพ เสียง อาการรู้ ที่เห็นในสมาธิ แตกต่าง กับญาณ อย่างไร จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 10:38:14

ความคิดเห็นที่ 26 คำกล่าวของ คห. 4 ที่ว่า "ถ้าจะก้าวต่อไปถึงวิปัสสนาญาณ ก็ต้องละนิมิตโอภาสในดวงแก้วใสนั้นให้ได้ วิปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ เห็นนามรูปเป็นความไม่เที่ยง  ถ้ามัวแต่มามองดวงแก้ว  จะไปเห็นความไม่เที่ยงของอะไรได้ล่ะครับ.... คห.4  ท่านกล่าวตู่พุทธพจน์แล้วล่ะครับ   ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนการฝึกสติไว้ในบทอาณาปานสติ ส่วนบทที่พระพุทธเจ้าทรงสอนการฝึกสมาธินั้้น มีกล่าวไว้ดังนี้ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 131 [๔๕๒] พ. ดูก่อนอนุรุทธะ... พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้น แล แม้เราก็เคยมาแล้ว เมื่อก่อนตรัสรู ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังเป็นโพธิ- สัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างและการเห็นรูปเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่าไร แสงสว่าง และการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไร หนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แสงสว่างและการเห็นรูปของเราหายไปได้ ดูก่อน อนุรุทธะ. ...เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า วิจิกิจฉาแล เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ วิจิกิจฉาเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและ การเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉาขึ้นแก่เราได้อีก.................. เห็นไหมครับ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้แทงตลอดนิมิต   ผู้ที่สอนให้ละนิมิตนั้น เป็นการสอนที่ขัดต่อวิธีการของพระพุทธเจ้าไปเลยครับ  ปัญหาคือ นิมิตนัั้นเป็นนิมิตเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านทรงหมายถึงหรือไม่   ก็ต้องศึกษาปฏิบัติดูเอาเองครับ บทที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงสอนสมาธินั้น  ก็กล่าวไว้ชัดเจนแล้ว   และเป็นคนละอย่างกับการฝึกเบื้องต้นเพียงแค่ฝึกสติ  สติเป็นบาทของสมาธิเท่านั้น สติเป็นเพียงเบื้องต้นของสมาธิ   แต่สติไม่ใช่ทั้งหมดของสมาธิ จากคุณ : พ. ทรงสอนให้แทงตลอดนิมิต (bodymind) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 18:42:20

ความคิดเห็นที่ 27 http://www.navagaprom.com/oldsite/con1.php?con_id=476 อนิมิตเจโตสมาธิ ตามลิงค์. ตรงกับ เจโตสมาูิที่ไม่มีนิมิต ตามจูฬสุญญตาสูตรไหม? ไม่ตรงตามที่ผมพิจารณาครับ สอบทานเองไม่ต้องเชื่อผม จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 21:08:05