ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี....จริงหรือ?
เราจะพบหลักคำสอนข้อหนึ่งที่ว่า ใครก็แล้วแต่ที่ฆ่าสัตว์โดยเจตนา ไม่ว่าจะฆ่าโดยมีจุดมุ่งหมายใดก็แล้วแต่ เช่นฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร ถือว่าคนๆนั้นทำสิ่งที่เป็นบาปกรรม ต้องตกนรกหมกไหม้ ( หม่อมฉันนั้น ตัดศีรษะแม่แพะตัวเดียว ไหม้ในนรก ด้วยเศษผลแห่งกรรม จึงได้ถูกตัดศีรษะด้วยการนับขนแม่แพะนั้น พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 172 / ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาตอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความเป็นผู้มีอายุน้อยให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม 4 หน้าที่ 495, 10 สัพพลหุสสุตร )
แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเรามาดูในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เราพบว่า การฆ่าสัตว์เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารนั้น นอกจากจะไม่เป็นบาปกรรมแล้วยังจะถือว่าเป็นผลบุญเสียด้วยซ้ำไป
เมื่อเป็นเช่นนี้คำถามที่จะต้องถามก็คือ เป็นไปได้ไหม ที่คำสอนของทั้งสองศาสนานี้จะถูกต้องและเป็นจริงทั้งคู่ .... แน่นอนคำสอนของทั้งสองศาสนานี้ไม่มีทางที่จะถูกต้องทั้งคู่ได้ ทันทีที่มุสลิมคนหนึ่งคนใดฆ่าสัตว์เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร แน่นอนตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธแล้ว มุสลิมคนนี้ถือว่ากำลังทำบาปกรรมอยู่ และเขาผู้นี้ไม่ถือว่าเป็นคนดีด้วย แต่เป็นคนบาป
เพราะฉะนั้นถ้าเราวิเคราะห์ดูด้วยใจที่เป็นกลาง และใฝ่หาสัจธรรม เราก็จะเห็นได้ว่า ในสายตาของศาสนาพุทธนั้น ศาสนาอิสลามกำลังสอนให้คนทำบาปกรรม และชาวพุทธที่ยึดมั่นในหลักคำสอนของศาสนาพุทธก็ไม่เห็นด้วย และเกลียดการกระทำเช่นนี้ของมุสลิม
.....น่าคิด
นอกจากนี้ ศาสนาพุทธยังมีหลักคำสอนที่สำคัญอย่างมากๆอีกข้อหนึ่งก็คือ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โดยสอนเอาไว้ว่า ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ในศาสนาไหน เป็นใครมาจากไหน จะรวย หรือจะจน เมื่อตายไปแล้ว ถ้ายังไม่หมดกรรม ทุกคนก็จะต้องอยู่ในห่วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงหรือหนีพ้นได้
แต่ในขณะเดียวกัน ศาสนาอิสลามและคริสต์ ก็สอนในสิ่งที่ตรงกันข้ามว่า เมื่อตายไปแล้ว จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะนับถือศาสนาไหน เป็นใครมาจากไหนก็แล้วแต่ หากแต่มนุษย์ทุกคนจะต้องไปหยุดอยู่ที่สองสถานที่ นั้นก็คือ ไม่ไปนรก ก็ขึ้น สวรรค์ ไม่มีการกลับมาเกิดเป็นอะไรใหม่ทั้งสิ้น .... คำถามก็คือ เป็นไปได้ไหมที่หลักคำสอนและหลักความเชื่อที่ตรงกันข้ามกันทั้งคู่นี้ จะถูกต้องทั้งคู่ ... เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ถ้าเรามาวิเคราะห์ดูในคำสอนของศาสนาคริสต์ เราจะพบว่าศาสนาคริสต์สอนว่า ถ้าใครไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าทั้งๆที่มีคนมาสอนเขาแล้ว ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นใครก็แล้วแต่ เขาผู้นั้นจะต้องตกนรก แต่ในขณะเดียวกันศาสนาอิสลามก็สอนว่า ใครก็แล้วแต่ที่เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าเขาผู้นั้นจะต้องตกนรก เพราะพระเยซูนั้นเป็นเพียง มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าให้เป็นศาสดา
เพราะฉะนั้น ถ้าเราวิเคราะห์ด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะพบว่า ในสายตาของ คริสต์นั้น ชาวมุสลิมและชาวพุทธ รวมทั้งคนอื่นๆที่มิใช่คริสต์นั้น ถือว่าเป็นคนที่กำลังทำบาป เป็นคนชั่ว ไม่ได้เป็นคนดี เพราะไม่ยอมเชื่อว่า พระเยซูเป็นพระเจ้ามีความเสี่ยงที่จะต้องตกนรก
แต่ในสายตาของ อิสลามนั้น จะเห็นได้ว่า ชาวคริสต์ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านั้น ถือว่าเป็นคนบาป คนชั่ว ไม่ได้เป็นคนดีและเสี่ยงที่จะต้องตกนรก เพราะเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพระเยซูมิได้เป็นพระเจ้า คำถามที่ตามมาก็คือ จะเป็นไปได้อย่างไร ที่คำสอนของศาสนาอิสลาม และ ศาสนาคริสต์ จะถูกต้องด้วยกันทั้งคู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเราวิเคราะห์ด้วยใจที่เป็นกลางถึงคำสอนหลักๆของแต่ละศาสนาแล้ว เราจะพบว่า ในสายตาของทุกศาสนานั้น ทุกศาสนาไม่ได้กำลังสอนให้มนุษย์เป็นคนดี
และถ้าเราวิเคราะห์ดูอีก เราก็จะพบว่า ถ้าทุกศาสนาสอนคนให้เป็นคนดีจริงแล้ว ถ้าเช่นนั้น คำถามก็คือ
คนที่อยู่ในศาสนาพุทธ จะยอมหรือไม่ที่จะเปลี่ยนจากศาสนาของตัวเอง แล้วมานับถือศาสนาอิสลามเป็นระยะเวลา 1ปี และชาวคริสต์จะยอมหรือไม่ที่จะ เปลี่ยนจากศาสนาตัวเองแล้วมานับถือศาสนาพุทธเป็นระยะเวลา 1 ปี และ มุสลิมจะยอมเปลี่ยนจากอิสลาม ไปเป็น พุทธหรือคริสต์ไหม???
แน่นอน ไม่มีใครยอมทิ้งหรือเปลี่ยนจากศาสนาตัวเอง เพื่อไปรับศาสนาอื่นมาอย่างแน่นอน เพราะ ต่างก็เชื่อว่า ศาสนาของตัวเองนั้นถูกต้องที่สุด และศาสนาอื่นนั้นผิดและ หลงทาง .... นี้คือความเป็นจริงที่มิอาจที่จะปฏิเสธได้ สำหรับผู้ที่ไม่หลอกตัวเอง และแสวงหา ใฝ่หาสัจธรรม