คำถามก็คือ สภาวะแบบนี้เรียกว่าอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ และต้องแก้ไขอย่างไรคะ
จากคุณ : Smiling-girl
----------------------------------------------------------
อรติ หมายถึง ความไม่พอใจไม่ยินดีในธรรมฝ่ายกุศลต่างๆ
หรือ ความไม่พอใจไม่ยินดีในเสนาสนะอันสงัด
ดังที่ท่านแสดงไว้ใน วิภังค์ปกรณ์ ความว่า
ตตฺถ กตมา อรติ
อรติ ความไม่ยินดี เป็นไฉน ?
ปนฺเตสุ วา เสนาสเนสุ อญฺญตรญฺญตเรสุ วา อธิกุสเลสุ ธมฺเมสุ
อรติ อรติกา อนภิรติ อนภิรมนา อุกฺกณฺฐิตา ปริตสิตา
อยํ วุจฺจติ อรติ ฯ
ความไม่ยินดี กิริยาที่ไม่ยินดี ความไม่ยินดียิ่ง กิริยาที่ไม่ยินดียิ่ง
ความกระสัน ความดิ้นรน ในเสนาสนะอันสงัด หรือในอธิกุศลธรรม
อย่างใดอย่างหนึ่ง
นี้เรียกว่า อรติ ความไม่ยินดี.
----------------------------------------------------------------
นิวรณ์
หมายถึง เครื่องขัดขวางในการกระทำความดีเป็นเครื่องกั้น
เครื่องห้ามไม่ให้ ฌาน มัคค ผล อภิญญา สมาบัติ เกิดขึ้นได้
ถีนมิทธนิวรณ
ขัดขวางไว้เพราะความหดหู่ท้อถอยในอารมณ์ เมื่อจิตใจ หดหู่ท้อถอยเสียแล้ว
ก็ย่อมขาดวิตก คือไม่มีแก่ใจที่จะนึกคิดให้ติดอยู่ในอารมณ์ที่จะ กระทำความดี
องค์ธรรมได้แก่ ถีนเจตสิก มิทธเจตสิก ที่ในอกุสลสสังขาริกจิต ๕
----------------------------------------------------
ใน สัมโมหวิโนทนี แสดงถึง
เหตุเกิด และการละ ถีนมิทธะ ไว้ว่า
ความเกิดขึ้นแห่งถีนมิทธะในธรรมทั้งหลายมีอรติเป็นต้น ย่อมมีด้วยอโยนิโสมนสิการ.
ความไม่พอใจ ชื่อว่า อรติ.
ความเกียจคร้านทางกาย(หรือความเฉื่อยชาทางกาย) ชื่อว่า ตันที.
ความบิดกาย (หรือความบิดขี้เกียจ) ชื่อว่า วิชัมภิตา.
ความซบเซาเพราะภัต ความกระวนกระวายเพราะภัต(ความเมาภัต) ชื่อว่า ภัตตสัมมทะ.
อาการหดหู่แห่งจิต ชื่อว่า เจตโส ลีนัตตัง.
เมื่อให้อโยนิโสมนสิการเป็นไปให้มากในธรรมมีอรติเป็นต้นเหล่านี้
ถีนมิทธะย่อมเกิดขึ้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อรติ (ความไม่พอไจ) ตันที (ความเกียจคร้านทางกาย)
วิชัมภิตา(ความน้อมกายหรือบิดกาย) ภัตตสัมมทะ (ความเมาภัต) และความ
ที่จิตหดหู่มีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น
นี้เป็นอาหารเพื่อให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือเพื่อความ
ไพบูลย์ยิ่งขึ้นของถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว" ดังนี้.
อนึ่ง การละถีนมิทธะ ย่อมมีด้วยโยนิโสมนสิการ ในอารัพภธาตุ
เป็นต้น. ความเพียรที่เริ่มครั้งแรก ชื่อว่า อารัพภธาตุ. ความเพียรที่มีกำลัง
มากกว่าอารัพภธาตุนั้นเพราะขจัดความเกียจคร้านได้แล้ว ชื่อว่า นิกกมธาตุ.
ความเพียรที่มีกำลังกว่าแม้นิกกมธาตุนั้น เพราะย่ำยีฐานะอื่น ๆ ชื่อว่า
ปรักกมธาตุ. เมื่อยังมนสิการในความเพียร ๓ ประเภทนี้เป็นไปให้มาก ย่อมละ
ถีนมิทธะได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารัพภธาตุ นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ มีอยู่
การทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธาตุเหล่านั้น นี้เป็นอาหารเพื่อมิให้
ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น หรือว่า เพื่อการละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว " ดังนี้.
(จากพระไตรปิฎกอรรถกถา ฉบับมหามกุฏ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 127-129)
----------------------------------------------------------------------
ถีนมิธะ นี้
เมื่อว่าโดยกิจ คือ หน้าที่การงาน
ก็มีหน้าที่ทำให้จิตหดหู่ ท้อถอยต่อ อารมณ์ ไม่จับอารมณ์ ไม่ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
เมื่อว่าโดยอาการ คือเหตุ
ก็เป็นเหตุ ให้เกียจคร้าน
เมื่อว่าโดยวิโรธปัจจัย คือข้าศึก
ก็เป็น ปฏิปักษ์กับ วิริยะ เหมือน ๆ กัน
----------------------------------------------------
๒. วิริยพละ ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด เป็นกำลังทำให้อดทนไม่หวั่นไหว
และย่ำยีโกสัชชะ คือความเกียจคร้านอันเป็นข้าศึก
วิริยะ องค์ธรรมได้แก่ วิริยเจตสิก มี ๙ ฐาน คือ
สัมมัปปธาน ๔ ฐาน,
วิริยิทธิบาท ๑ ฐาน,
วิริยินทรีย ๑ ฐาน,
วิริยพละ ๑ ฐาน,
วิริยสัมโพชฌงค์ ๑ ฐาน
และสัมมาวายามะ ๑ ฐาน
------------------------------------------------------------------
หนึ่งใน ลักขณาทิจตุกะ ของ วิริยเจตสิก( ความเพียรเพื่อให้ได้อารมณ์ )ได้แก่
สํเวคปทฏฺฐานํ คือ มีความสลด เป็นเหตุใกล้
[๘๗๔]
บทว่า ความสลดใจนั้น มีนิเทศว่า
ญาณอันเห็น ชาติ โดยความเป็นภัย
ญาณอันเห็น ชรา โดยความเป็นภัย
ญาณอันเห็น พยาธิ โดยความเป็นภัย
ญาณอันเห็น มรณะ โดยความเป็นภัย.
บทว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ นั้น มีนิเทศว่า
ชาติ
ชรา
พยาธิ
มรณะ.
บทว่า ความพยายามโดยแยบคายแห่งบุคคลผู้มีใจสลดแล้ว นั้น มีนิเทศว่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม
ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิตไว้ ย่อมตั้งจิตไว้
เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่ยังไม่บังเกิดขึ้น
เพื่อละอกุศลบาปธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว
เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น
เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่จืดจาง เพื่อความเพิ่มพูน เพื่อความไพบูลย์
เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว.
---------------------------------------------------------------------
[๒๔๘]
เทฺวมานิ ภิกฺขเว ปธานานิ ทุรภิสมฺภวานิ โลกสฺมึ
[๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในโลกมีความเพียรซึ่งเกิดได้ยาก ๒ อย่าง
กตมานิ เทฺว
๒ อย่างเป็นไฉน คือ
ยญจ คิหินํ อคารํ อชฺฌาวสตํ
จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารานุปฺปาทนตฺถํ ปธานํ
ความเพียรเพื่อทำให้เกิดจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน ๑
ยญจ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตานํ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺคตฺถํ ปธานํ
ความเพียรเพื่อสละคืนอุปธิทั้งปวง ของผู้ที่ออกบวชเป็นบรรพชิต ๑
อิมานิ โข ภิกฺขเว เทฺว ปธานานิ ทุรภิสมฺภวานิ โลกสฺมึ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในโลกมีความเพียรซึ่งเกิดได้ยาก ๒ อย่างนี้แล
เอตทคฺคํ ภิกฺขเว อิเมสํ ทฺวินฺนํ ปธานานํ ยทิทํ
สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺคตฺถํ ปธานํ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาความเพียร ๒ อย่างนี้
ความเพียรเพื่อสละคืนอุปธิทั้งปวงเป็นเลิศ
ตสฺมา ติห ภิกฺขว เอวํ สิกฺขิตพฺพํ สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺคตฺถํ ปธานํ
ปทหิสฺสามาติ เอวํ หิ โว ภิกฺขเว สิกฺขิตพฺพนฺติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักเริ่มตั้งความเพียรเพื่อสละคืนอุปธิทั้งปวง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
(สุตฺต องฺ. (๑):เอก-ทุก-ติกนิปาตา - หน้าที่ 63)
(อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต)