นำข้อธรรมต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง มานะ มาให้พิจารณานะครับ
---------------------------------------
(ธรรมสังคณีปกรณ์ - กิเลสโคจฉกะ)
[๗๙๕] ตตฺถ กตโม มาโน
[๗๙๕] มานะ เป็นไฉน?
เสยฺโยหมสฺมีติ มาโน สทิโสหมสฺมีติ มาโน หิโนหมสฺมีติ มาโน
การถือตัวว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอกับเขา เราเลวกว่าเขา
โย เอวรูโป มาโน มฺญฺญนา มญฺญฺิตตฺตํ
การถือตัว กิริยาที่ถือตัว ความถือตัว มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด
อุณฺณติ อุณฺณาโม ธโช
การยกตน การเทิดตน การเชิดชูตนดุจธง
สมฺปคฺคาโห เกตุกมฺยตา จิตฺตสฺส
การยกจิตขึ้น ความมีจิตต้องการเป็นดุจธง
อยํ วุจฺจติ มาโน ฯ
นี้เรียกว่า มานะ.
----------------------------------------------------------------
(จากคู่มือ อภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๒)
มานเจตสิก คือ ความถือตนความทะนงตน มีลักขณาทิจตุกะดังนี้
อุณฺณติ ลกฺขโณ - มีการทะนงตน เป็น ลักษณะ
สมฺปคฺค รโส - มีการยกย่องสัมปยุตตธรรม เป็น กิจ
เกตุกมฺยตาปจฺจุปฏฺฐาโน - มีความปรารถนาสูง เป็น ผล
ทิฏฺฐิวิปฺปยุตฺตโลภ ปทฏฺฐาโน - มีโลภจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุตต เป็น เหตุใกล้
(อติมานะ=ดูหมิ่นท่าน,สารัมภะ=แข่งดี,ถัมภะ=หัวดื้อ,สาเถยยะ=โอ้อวด เหล่านี้จัดเป็นมานะทั้งสิ้น)
ข้อควรสังเกต คือถ้าเกิดมีการเปรียบเทียบเรากับเขาขึ้นเมื่อใดก็เป็นมานะเมื่อนั้น ไม่ว่าการเปรียบเทียบนั้น
จะเป็นการเปรียบเทียบด้วย ชาติ โคตร สกุล รูป สมบัติ ทรัพย์ ศิลปะวิทยา การงาน หรือ ความเฉลียวฉลาด
---------------------------------------
(จากวิปัสสนาทีปนีฎีกา)
มานกิเลส ได้แก่ความถือตัว มานะนี้จัดว่าเป็นกิเลส เพราะเมื่อว่าตามสภาวะย่อมเป็นการปฏิบัติผิด
โดยยึดเอารูป,นาม ขันธ์ ๕ มาเป็นเราเป็นเขา ซึ่งเป็นเหตุให้ติดอยู่ในวัฏฏทุกข์ประการหนึ่ง
มานกิเลสนี้แบ่งออกเป็นส่วนใหญ่ได้ ๒ อย่าง คือ
ก. อยาถาวมานะ ความถือตัวที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงอันได้แก่
๑. ตนเป็นคนชั้นสูง แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นกลาง
๒. ตนเป็นคนชั้นสูง แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นต่ำ
๓. ตนเป็นคนชั้นกลาง แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นสูง
๔. ตนเป็นคนชั้นกลาง แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นต่ำ
๕. ตนเป็นคนชั้นต่ำ แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นสูง
๖. ตนเป็นคนชั้นต่ำ แต่ถือว่าตนเป็นคนชั้นกลาง
อยาถาวมานะทั้ง ๖ ประการนี้ พระโสดาบันบุคคลละได้เด็ดขาดแล้ว เพราะเป็นกิเลสที่หยาบมาก
ข. ยาถาวมานะ ความถือตัวที่เป็นไปตามความเป็นจริงอันได้แก่
๑. ตนเป็นคนชั้นสูง ก็ถือว่าตนเป็นคนชั้นสูง
๒. ตนเป็นคนชั้นกลาง ก็ถือว่าตนเป็นคนชั้นกลาง
๓. ตนเป็นคนชั้นต่ำ ก็ถือว่าตนเป็นคนชั้นต่ำ
ยาถาวมานะทั้ง ๓ ประการนี้เป็นกิเลสที่ประณีตว่าอยาถาวมานะ แม้แต่พระสกทาคามี
และพระอนาคามีบุคคลซึ่งได้เห็นพระนิพพานมาถึง ๒-๓ ครั้งตามลำดับแล้วก็ยังไม่สามารถ
ละให้เด็ดขาดได้ เป็นแต่เพียงทำให้เบาบางลงเท่านั้น ต่อเมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์จึงสมารถประหาณกิเลสนี้ให้หมดสิ้นได้อย่างเด็ดขาด
------------------------------------------------------
จาก อกุศลสังคหะ ทั้ง ๙ กอง จาก อภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๗
(ในเรื่อง อนุสัย ๗)
มานานุสัย คือ สันดานที่ทะนงตน ถือตัว ไม่ยอมลงให้แก่ใคร
องค์ธรรม ได้แก่ มานเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
(ในเรื่อง สังโยชน์ ๑๐)
มานะสังโยชน์ ความถือตัวอัน ผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในวัฏฏทุกข์
องค์ธรรม ได้แก่ มานเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
(ในเรื่อง กิเลส ๑๐)
มานกิเลส เศร้าหมองและเร่าร้อนเพราะความทนงตนถือตัว
องค์ธรรม ได้แก่ มานเจตสิก ที่ในทิฏฐิคตวิปปยุตตจิต ๔
(ในเรื่อง อุปกิเลส ๑๖)
เครื่องเศร้าหมอง อีกนัยหนึ่ง มีชื่อว่า อุปกิเลส มีจำนวน ๑๖
จาก ๑๖ นี้ มีอยู่ ๖ ที่มีองค์ธรรมได้แก่ มานะเจตสิก คือ
- ปลาสะ - ตีเสมอ ยกตนเทียมท่าน - องค์ธรรม มานะ
- สาเถยยะ - โอ้อวด - องค์ธรรม มานะ
- ถัมภะ - หัวดื้อ - องค์ธรรม มานะ
- สารัมภะ - แข่งดี - องค์ธรรม มานะ
- มานะ - ถือตัว - องค์ธรรม มานะ
- อติมานะ - ดูหมิ่นท่าน - องค์ธรรม มานะ
------------------------------------------------------
(พระไตรปิฎกอรรถกถา ฉบับมหามกุฏ - พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 346)
ความอ่อนแห่งกาย ชื่อว่า กายมุทุตา. ความอ่อนแห่งจิต ชื่อว่า จิตตมุทุตา.
กายและจิตตมุทุตาเหล่านั้น มีความสงบความกระด้างกายและจิตเป็นลักษณะ
มีการกำจัดความกระด้างกายและจิตเป็นรส มีการไม่คับแค้นใจเป็นปัจจุปัฏฐาน
มีกายและจิตเป็นปทัฏฐาน พึงเห็นว่า เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสมีทิฏฐิและมานะเป็นต้น
อันการทำความที่กายและจิตให้กระด้าง.
------------------------------------------------------
(พระไตรปิฎกอรรถกถา ฉบับมหามกุฏ - พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 617)
จริงอยู่ อนิมิตตวิปัสสนาดำรงอยู่ในฐานที่ควรบรรลุเองไม่อาจให้ชื่อมรรคของตน.
ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอนิมิตตวิปัสสนาแก่พระราหุลเถระผู้เป็นโอรสของพระองค์ว่า
อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ มานานุสยมุชฺชห
ตโต มานาภิสมยา อุปสนฺโต จริสฺสสิ
เธอจงเจริญอนิมิตตวิปัสสนา (พิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง)
จงละมานานุสัยเสีย แต่นั้น เธอจักเป็นผู้เข้าไปสงบเที่ยวไป
เพราะละมานะเสียได้ ดังนี้.