ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิก ถือว่าเป็นผู้แพ้ เยียวยาไม่ได้ และเคลื่อนจากพรหมจรรย์แล้ว
ถ้าไม่กล่าวสารภาพ ไม่ละเพศแห่งภิกษุ จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย
แต่ถ้าสำนึกสารภาพ สึกออกมา ถือศีล ๘ หรือ บวชสามเณร ถือศีล ๑๐
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ยังมีโอกาส บรรลุธรรมได้อยู่
ปาราชิก ศัพท์นี้ ถ้าเล็งตัวบุคคลเป็นปธานบท แปลว่า ผู้ถึง ซึ่งความแพ้
ถ้าเล็งอาบัติเป็นปธานบท แปลว่า อาบัติยังบุคคล ให้แพ้
ด้วยว่าอาบัตินี้อันภิกษุใดต้องแล้ว ภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นคนแพ้เป็นคนจุติเคลื่อนคลาดพลาดจากพระสัทธรรม
.........
อนึ่ง ปาราชิกาบัติ เป็นอเตกิจฉา เยียวยาไม่ได้ด้วยอุบาย
อันใดอันหนึ่ง แม้จะถือเพศฆราวาสแล้วกลับมาขออุปสมบทอีก ก็ไม่ได้
.........
อนึ่ง แม้ปาราชิกาบัติ ก็ชื่อว่าเทสนาคามินีด้วย ด้วยว่าผู้ใดต้องแล้วผู้นั้นปฏิญญาตนตามจริง
ต่อหน้าแห่งภิกษุอื่นแล้ว ละเพศแห่งภิกษุเสีย ถึงเพศฆราวาส ก็พ้นโทษนั้นได้
อาบัตินั้นไม่ เป็นสัคคาวรณ์ห้ามสวรรค์แก่ผู้นั้น
........
อนึ่ง ปาราชิก ชื่อว่า อนวเสสาบัติ เป็นอาบัติไม่มีเศษ ภิกษุต้องแล้วก็เคลื่อนจากพรหมจรรย์ไปฝ่ายเดียว
(บุพพสิกขาวรรณณา)
ภิกษุที่ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว หากสำนึกผิดได้
สึกออกมา แล้วเจริญธรรมต่อ บวชเป็นสามเณร ถือศีล ๑๐
ก็ยังมีโอกาสบรรลุได้อยู่บ้าง
ดังเช่น เมื่อครั้งที่ทรง แสดง อัคคิขันธูปสูตร แก่ภิกษุ ๑๘๐ รูป
ภิกษุ ๖๐ รูป ที่ได้ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อได้ฟังธรรมเทศนานั้น ก็เกิดการกระอักเลือดโลหิตไหลออกจากปาก
ต่อมาได้บวชเป็นสามเณร รักษาศีิล ๑๐ บางพวกก็ได้บรรลุอริยมรรคในกาลต่อมาได้
(จาก อัคคิขันธูปมสูตร )
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว และเมื่อกำลังตรัส
ไวยากรณภาษิตนี้อยู่ โลหิตร้อนพุ่งออกจากปากของภิกษุ ๖๐ รูป (พวกต้น)
ภิกษุ ๖๐ รูป (พวกกลาง) ลาสิกขา สึกมาเป็นคฤหัสถ์ ด้วยกราบทูลพระผู้มี
พระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้ยาก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ทำได้
แสนยาก อีก ๖๐ รูป จิตหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ฯ
เหตุการณ์หลังจาก ที่พระที่ต้องอาบัติปาราชิก ได้กระอักเลือด
แล้วต่อมาได้บวชสามเณร ประพฤติธรรมต่อ
โปรดดูความโดยละเอียดได้ใน
อรรถกถา อังคุตรนิกาย อัจฉราสังฆาตวรรคที่ ๖
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 05:47:53
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 05:45:58