|
[๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรง วินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบ สวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำ มหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย์ในโภคนครนั้น ทรงกระ- *ทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอันสมาธิ อบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ บรรทัดที่ ๒๙๖๓ - ๓๐๒๔. หน้าที่ ๑๒๑ - ๑๒๓. http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=10&A=2963&Z=3024&pagebreak=0 อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=10&item=112&items=5&preline=&mode=bracket ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=67&p=3#มหาปเทสวณฺณนา มหาปเทสวณฺณนา บทว่า มหาปเทเส ได้แก่ในโอกาสใหญ่ หรือในข้ออ้างใหญ่. อธิบายว่า เหตุใหญ่ที่ท่านกล่าวอ้างผู้ใหญ่ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า อนภินนฺทิตพฺพํ คือ อันผู้ร่าเริงยินดีให้สาธุการควรฟังก่อนหามิได้. จริงอยู่ เมื่อกระทำอยู่อย่างนี้ แม้ภายหลังถูกต่อว่า ว่าข้อนี้ไม่เหมาะสม ก็โต้ตอบได้ว่า เมื่อก่อนข้อนี้เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ไม่เป็นธรรมหรือ ชื่อว่าไม่สละลัทธิ. บทว่า น ปฏิกฺโกสิตพฺพํ ความว่า ไม่พึงกล่าวก่อนอย่างนี้ว่า คนพาลผู้นี้พูดอะไร. ก็เมื่อถูกต่อว่า จักไม่พูดแม้แต่คำที่ควรจะพูด. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนภินนฺทิตฺวา อปฏิกฺโกสิตฺวา. บทว่า ปทพฺยญฺชนานิ ได้แก่ พยัญชนะ กล่าวคือบท. บทว่า สาธุกํ อุคฺคเหตฺวา ได้แก่ ถือเอาด้วยดีว่า ท่านกล่าวบาลีไว้ในที่นี้ กล่าวความไว้ในที่นี้ กล่าวเบื้องต้นและเบื้องปลายไว้ในที่นี้. บทว่า สุตฺเต โอตาเรตพฺพานิ ได้แก่ พึงสอบสวนในพระสูตร. บทว่า วินเย สนฺทสฺเสตพฺพานิ ได้แก่ เทียบเคียงในพระวินัย. ก็ในที่นี้ ที่ชื่อว่าสูตร ได้แก่วินัย. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ห้ามไว้ในที่ไหน ห้ามไว้ในเมืองสาวัตถี ห้ามไว้ในสุตตวิภังค์๑- (สุต ในที่นี้หมายถึงวินัย). ที่ชื่อวินัย ได้แก่ขันธกะ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า โกสมฺพิยํ วินยาติสาเร ในเรื่องละเมิดพระวินัย (วินัย ในที่นี้หมายถึงขันธกะ) ในเมืองโกสัมพี. เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อว่าไม่ยึดถือวินัยปิฏก. ชื่อว่ายึดถือพระวินัยอย่างนี้ คือ อุภโตวิภังค์ชื่อว่าสูตร ขันธกปริวารชื่อว่าวินัย. อีกนัยหนึ่ง ยึดถือปิฎกทั้ง ๒ อย่างนี้ คือ สุตตันตปิฏกชื่อว่าพระสูตร วินัยปิฏกชื่อว่าวินัย. อีกอย่างหนึ่ง ก่อนอื่น ไม่ยึดถือปิฏกทั้ง ๓ แม้อย่างนี้ สุตตันตปิฏก อภิธัมมปิฏก ชื่อว่าสูตร วินัยปิฏก ชื่อว่าวินัย. ธรรมดาพุทธพจน์ไรๆ ที่ชื่อว่าไม่ใช่สูตร ก็มีอยู่ คือ ชาดก ปฏิสัมภิทา นิทเทส สุตตนิบาต ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา อปทาน. ____________________________ ๑- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๕๒
ก็พระสุทินนเถระคัดค้านคำนี้ทั้งหมดว่า พระพุทธวจนะ ชื่อว่าไม่ใช่สูตรมีอยู่หรือดังนี้ แล้วกล่าวว่า ปิฏก ๓ ชื่อว่าสูตร ส่วนวินัยชื่อว่าเหตุ. แต่นั้น เมื่อจะแสดงเหตุนั้น จึงนำสูตรนี้มาอ้างว่า ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อมีราคะ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากทุกข์ เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อย เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม. เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา. ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ ไม่เป็นไปเพื่อราคะ เป็นไปเพื่อปราศจากความประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อปราศจากอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่เป็นไปเพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อความสะสม เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา.๒- ____________________________ ๒- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๒๓; องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๔๓
เพราะฉะนั้น พึงสอบสวนในพระไตรปิฏก พุทธวจนะ ที่ชื่อว่าสูตร พึงเทียบเคียงในเหตุ คือวินัยมีราคะเป็นต้น ที่ชื่อว่าวินัย ความในข้อนี้มีดังกล่าวมาฉะนี้. บทว่า น เจว สุตฺเต โอตรนฺติ ความว่า บทพยัญชนะเหล่านั้นไม่มา ในที่ไหนๆ ตามลำดับสูตร ยกแต่สะเก็ดมาจากคุฬหเวสสันตระ คุฬหอุมมัคคะ คุฬหวินัย เวทัลละและปิฏก ปรากฏอยู่. จริงอยู่ บทพยัญชนะที่มาอย่างนี้ แต่ไม่ปรากฏในการกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็พึงทิ้งเสีย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น เธอพึงทิ้งข้อนั้นเสีย. พึงทราบความในที่ทุกแห่งด้วยอุบายนี้. คำว่า อิทํ ภิกฺขเว จตุตฺถํ มหาปเทสํ ธาเรยฺยาถ ความว่า เธอพึงทรงจำโอกาสเป็นที่ประดิษฐานแห่งธรรมข้อที่ ๔ นี้ไว้. ก็ในที่นี้ พึงทราบปกิณณกะดังนี้ว่า ในพระสูตรมีมหาประเทศ ๔ ในขันธกะมีมหาประเทศ ๔ ปัญหาพยากรณ์ ๔ สุตตะ ๑ สุตตานุโลม ๑ อาจาริยวาท ๑ อัตตโนมติ ๑ สังคีติ ๓. ในปกิณณกะเหล่านั้น เมื่อถึงการวินิจฉัยธรรมว่า นี้ธรรม นี้วินัย มหาประเทศ ๔ เหล่านี้ถือเอาเป็นประมาณ ข้อใดสมในมหาประเทศ ๔ เหล่านี้ ข้อนั้นควรถือเอา ข้อนอกนี้แม้ของผู้ถือผิด ก็ไม่ควรถือเอา. เมื่อถึงการวินิจฉัยข้อที่ควรและไม่ควรว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร มหาประเทศ ๔ ที่ตรัสไว้ในขันธกะโดยนัยว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากว่าสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกันกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย๓- ดังนี้เป็นต้น ถือเอาเป็นประมาณ. กถาวินิจฉัยมหาประเทศเหล่านั้นกล่าวไว้ ในอรรถกถาพระวินัยชื่อว่าสมันตปาสาทิกา โดยนัยที่กล่าวไว้ในที่นั้น พึงทำสันนิษฐานอย่างนี้ว่า สิ่งใดที่เข้ากันได้กับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นควร นอกนั้นไม่ควร. ____________________________ ๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๒
เอกังสพยากรณียปัญหา ๑ วิภัชชพยากรณียปัญหา ๑ ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ๑ ฐปนียปัญหา ๑ เหล่านี้ชื่อว่า ปัญหาพยากรณ์ ๔. ในปัญหาพยากรณ์ ๔ นั้น ถูกถามว่า จักษุไม่เที่ยงหรือ. พึงพยากรณ์ก่อนโดยส่วนเดียวว่าไม่เที่ยงขอรับ. ในโสตะเป็นต้นก็มีนัยนี้. นี้ชื่อว่าเอกังสกรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุหรือชื่อว่าไม่เที่ยง. พึงแจกแล้วพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไม่ใช่จักษุเท่านั้น แม้แต่โสตะก็ไม่เที่ยง แม้ฆานะก็ไม่เที่ยง. นี้ชื่อว่าวิภัชชพยากรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุฉันใด โสตะก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้นเป็นต้น. จึงย้อนถามว่า ท่านถามด้วยอรรถว่าอะไร เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วยอรรถว่าเห็น จึงพยากรณ์ว่าไม่ใช่. เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วยอรรถว่าไม่เที่ยง จึงพยากรณ์ว่าใช่. นี้ชื่อว่าปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา. แต่ถูกถามว่า นั้นก็ชีวะ นั้นก็สรีระ เป็นต้น พึงหยุดเสียด้วยกล่าวว่า ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่พยากรณ์. ปัญหานี้ไม่พึงพยากรณ์. นี้ชื่อว่าปฐนียปัญหา. ดังนั้น เมื่อปัญหามาถึงโดยอาการนั้น ปัญหาพยากรณ์ ๔ เหล่านี้ ถือเอาเป็นประมาณได้. พึงพยากรณ์ปัญหานั้นด้วยอำนาจปัญหาพยากรณ์ ๔ นี้. ก็ปิฏก ๓ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่าสุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็นต้น. ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ชื่อว่าสุตตานุโลม. อรรถกถา ชื่อว่าอาจริยวาท. ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่าอัตตโนมัติ. ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย. ส่วนข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ส่วนอัตตโนมัติเพลากว่าเขาทั้งหมด. แม้อัตตโนมัตินั้นก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑) สัตตสติกสังคีติ (ครั้งที่ ๒) สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓). แม้สุตตะเฉพาะที่มาในสังคีติ ๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ. นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา. จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น พึงทราบว่าลงกันไม่ได้ในพระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.
------------------------------------------------------
เกี่ยวกับเรื่องวินิจฉัยว่าอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นวินัย ผมขอนำข้อความจากหนังสือ กรณีธรรมกาย ของพระพรหมคุณาภรณ์ ชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้ ------------------------------------------------------------------------ กรณีธรรมกาย http://b2b2.tripod.com/tmk/
เมื่อสงสัยคำหรือข้อความใดแม้ในพระไตรปิฏก ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทันทีอย่างผูกขาด แต่สามารถตรวจสอบก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักทั่วไปไว้แล้ว ซึ่งสำหรับพวกเราบัดนี้ก็คือการใช้คำสั่งสอนในพระไตรปิฏก ตรวจสอบแม้แต่คำสั่งสอนในพระไตรปิฏกด้วยกันเอง กล่าวคือ หลักมหาปเทส ๔ ได้แก่ที่อ้างอิงใหญ่ หรือหลักใหญ่สำหรับใช้อ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียง เริ่มแต่หมวดแรก ที่เป็นชุดใหญ่ ซึ่งแยกเป็น ๑. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง) ๒. สังฆาปเทส (ยกเอาสงฆ์ทั้งหมู่ขึ้นอ้าง) ๓. สัมพหุลัตเถราปเทส(ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้นอ้าง) ๔. เอกเถราปเทส(ยกเอาพระเถระรูปหนึ่งขึ้นอ้าง) (ที.ม. ๑๐/๑๑๓/๑๐๔) เมื่อพิจารณากว้างออกไป โดยครอบคลุมถึงคำสอนรุ่นหลังๆหรือลำดับรองลงมา ท่านก็มีหลักเกณฑ์ที่จะให้ความสำคัญในการวินิจฉัยลดหลั่นกันลงมา โดยวางเกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติ เป็น ๔ ขั้นคือ(ที.อ. ๒/๑๗๒) ๑. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฏก ๒. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย) ๓. อาจาริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย) ๔. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นกจากสามข้อต้น " สุตตะ" คือพุทธพจน์ที่มาในพระไตรปิฏกนั้น ท่านถือเป็นมาตรฐานใหญ่ หรือเกณฑ์สูงสุด ดังคำที่ว่า " แท้จริง สุตตะ เป็นของคืนกลับไม่ได้ มีค่าเท่ากับการกสงฆ์ (ที่ประชุมพระอรหันตสาวก ๕๐๐ รูป ผู้ทำสังคายนาครั้งที่ ๑) เป็นเหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังสถิตอยู่"(วินย.อ. ๑/๒๗๒) "เพราะว่าเมื่อค้านสุตตะก็คือค้านพระพุทธเจ้า"(วินย.ฏีกา.๒/๗๑) นี้เป็นตัวอย่างหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเถระในอดีตได้ถือปฏิบัติในการดำรงรักษาพระธรรมวินัยสืบกันมา ซึ่งแสดงให้เห็นทั้งประสบการณ์ในการทำงาน และจิตใจที่ให้ความสำคัญแก่พระธรรมวินัยนั้นอย่างมั่นคงยิ่งในหลักการ ท่านจึงรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ยืนนานมาถึงเราได้ ชนิดที่ว่าแม้พวกเราในปัจจุบันจะไม่เอาใจใส่ แต่ก็มีโอกาสให้ยุคต่อไปที่ตื่นตัวขึ้นสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้อีก --------------------------------------------------- ในการวินิจฉัยว่า อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นวินัยอย่างนี้ท่านมีหลักเกณฑ์วินิจฉัย ซึ่งเป็นเครื่องรักษาพระพุทธศาสนาตลอดมาเป็นเครื่องตัดสิน คือ มหาปเทส ๔ ทั้ง ๓ ชุด สำหรับกรณ๊อย่างนี้ ก็ใช็ชุดที่ ๓ อันได้แก่ ๑. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฏก ๒. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย) ๓. อาจาริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย) ๔. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นกจากสามข้อต้น,ทัศนะ ความเห็นของท่านผู้รู้ เป็นต้น ข้อ ๑. ตัดสิน ข้อ ๒-๓-๔ ข้อ ๒. ตัดสิน ข้อ ๓-๔ ข้อ ๓. ตัดสิน ข้อ ๔ ทัศนะ ความเห็น คำอธิบายของพระเถระ และพระมหาเถระทั้งหลายเป็นต้น จัดเป็นอัตตโนมติ(ท่านไม่ยอมรับเป็นอาจริยวาทเพราะอาจริยวาทนั้นจับเอาขั้นเป็นอาจริยวงส์) มติ ทัศนะ ความเห็น คำอธิบายของพระเถระ พระมหาเถระ ครูอาจารย์นั้น มีไว้สำหรับเป็นเครื่องช่วย หรือเป็นเครื่องร่วมในการศึกษาพระธรรมวินัยแก่เรา แต่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยพระธรรมวินัยไม่ได้ มีแต่ต้องเอาธรรมวินัยมาวินิจฉัยครูอาจารย์ ------------------------------------------------------------------------------- แต่ท่านพุทธทาสกลับนำความเห็นส่วนตัว หรือ อัตตโนมติ ไปวินิจฉัย ตัดสิน พระธรรมวินัย เช่น พระอภิธรรมปิฏก , ปฏิจจสมุปบาท ,หลักกรรม ,การเวียนว่ายตายเกิด ฯลฯ ฉะนั้น หลักการตัดสิน พระธรรมวินัย ของท่านพุทธทาส จึงไม่ถูกต้อง ดังที่แสดงทิฏฐิที่เจ้าของกระทู้อ้างอิงจากลานธรรมเสวนาว่า
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008618.htm " ไม่ได้มีหลัก (หัวเราะ) ว่าไปตามความรู้สึก พออ่าน ๆ เข้าหลาย ๆ เที่ยวเข้า มันก็เกิดความรู้สึกเองตามหลักสามัญสำนึก สังเกตเห็นว่ามันมีอยู่อย่างนั้น ๆ แสดงอะไรอยู่อย่างนั้นแล้วเรื่องก็บอกอยู่ในตัว "
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ธ.ค. 54 06:22:15
|
|
|
|
|