ความคิดเห็นที่ 1 หางด้วนเอย ทิฎฐิเจ้าจะน่าเชื่อถือกว่าพระไตรปิฎกงั้นหรือ? จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 21:41:38

ความคิดเห็นที่ 3 ขออนุโมทนาแด่พระคณเจ้า และไม่อยากให้ท่านเครียดจนเกินไป หากเคยมีสิ่งใดล่วงเกินท่าน กราบขอขมาท่านมา ณ ที่นี้ แต่ใคร่ขออนุญาตแนะนำท่านว่า ให้ท่านค่อย ๆ ประเมินกลุ่มผู้อ่านและระดับความละเอียดของเนื้อหา เพราะหลายเรื่อง มีความละเอียดที่ต้องใช้ขันติ เมตตา และปัญญาที่จะเลือกแสดงในหัวข้อนั้น ๆ รวมไปถึงการใช้ถ้อยคำที่นิ่มนวล จูงใจ และสุภาพ ทำให้การแสดงธรรมได้ผล พระพุทธองค์ตรัสว่า การแสดงธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ง่าย หากจะแสดงธรรม ต้องกระทำดังนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่ายภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า เราจักแสดงธรรมไปโดยลำดับ ๑ เราจักแสดงอ้างเหตุผล ๑ เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู ๑ เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม ๑ เราจักไม่แสดงให้กระทบตนและผู้อื่น ๑ แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ดูกรอานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุ เมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในภายใน แล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ฯ อุทายิสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4301&Z=4316&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=159 อ่านพระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาและอื่น ๆออนไลน์ http://www.84000.org แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 22:17:00 จากคุณ : Serene_Angelic เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:16:23

ความคิดเห็นที่ 4 ครับพระคุณเจ้า แต่ผมอยู่ในเพศฆราวาส กว่าจะเรียนจบเป็นนักวิทยาศาตร์(ฟิสิกส์) เรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็นมากมาย ในการดำรงณ์ชีวิตในโลก ครับ ทำไมหรือครับ?  พระคุณเจ้าน่าจะเข้าใจ....... จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:36:36

ความคิดเห็นที่ 5 ขอโทษนะครับ ท่านเจ้าของกระทู้ ท่านทราบได้อย่างไรว่า นรกสวรรค์ โอปปาติกะ การเวียนว่ายตายเกิด กรรมระหว่างชาติภพฯ ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพุทธศาสนา การที่ท่านสัมผัสด้วยอายตนะ ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่มีจริง ภูมิรู้และภูมิธรรม จะให้เป็นของแท้ ถูกต้องตรงกับสภาวะ ต้องมาจากการปฏิบัติ ไม่อาจได้มาจากสัญญา และคาดคะเณ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เที่ยงแท้ เป็นอกาลิโก ถ้าท่านเจ้าของกระทู้ ซึ่ง กล่าวว่าตนเป็นพระภิกษุสงฆ์ อยากทราบว่าเรื่องทั้งหมดข้างต้นจริงหรือไม่ ก็ควรซืื่อตรงต่อองค์พระศาสดา โดยการพิสูจน์โดยการปฏิบัติให้เห็นจริง จึงจะสมเป็นสมณศากยบุตรที่แท้จริง ผมขอยกคำของท่านมหาสีสยาดอ มาแสดงเพื่อเทิดทูนธรรมอันแท้จริง "ในสมัยนี้ ถ้าอาจารย์สอนกรรมฐานยังไม่เคยปฏิบัติธรรมจนประจักษ์แจ้งด้วยตนเองแล้ว   ก็ไม่ควรสอนหรือเขียนหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติ โดยอาศัยเพียงความรู้จากตำราเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เหมือนกับแพทย์ที่สั่งยาให้คนไข้ โดยที่ยานั้นยังไม่ได้ผ่านการทดลองความปลอดภัย และตัวนายแพทย์เองก็ยังไม่กล้าใช้ยานั้น การสอนเช่นนั้นย่อมไม่น่าเชื่อถือได้อย่างแท้จริง" ด้วยความเคารพในพระธรรมครับ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 22:51:56 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 22:40:47 จากคุณ : สุบรรณภักดิ์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:39:25

ความคิดเห็นที่ 6 ของง่ายๆ...... ทำให้เป็นยากเอง....ไม่ต้องไปนั่งเทียนให้ปวดสมอง อะไรมีความหมายเข้าข่ายหลักตัดสินพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ให้ใช้ตรวจนั่นแหละ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า มีบอกอยู่โต้งๆในพระไตรปิฏก จะตำตาอยู่แล้ว หรือมันง่ายเกินไป เลยไม่เอามาใช้กันเอง เดี๋ยวไม่ได้เถียงกันมันไม่สนุก คนไทยชอบออกซาดิสม์หน่อยๆมั้ง......เฮ้อ  แปลก ๆ ๆ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:48:06

ความคิดเห็นที่ 7 ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เที่ยงแท้ เป็นอกาลิโก ถ้าท่านเจ้าของกระทู้ ซึ่ง กล่าวว่าตนเป็นพระภิกษุสงฆ์ อยากทราบว่าเรื่องทั้งหมดข้างต้นจริงหรือไม่ ก็ควรซืื่อตรงต่อองค์พระศาสดา โดยการพิสูจน์โดยการปฏิบัติให้เห็นจริง จึงจะสมเป็นสมณศากยบุตรที่แท้จริง ด้วยความเคารพในพระธรรมครับ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 22:40:47 จากคุณ : สุบรรณภักดิ์   เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:39:25   ************** คำว่า อกาลิโก หมายถึง ไม่มีเรื่องเวลามาครั่น อย่างเช่นถ้าพูดเรื่อง นรก สวรรค์ หรือเทวดา ก็ต้องเป็นเรื่องในปัจจุบันทันที ไม่เป็นเรื่องที่จะไปรู้เอาในเวลาอื่น เช่น เมื่อตายไป  ซึ่งเรื่องที่เราสามารพิสูจน์ได้จริงในปัจจุบันก็คือ เรื่องเมื่อจิตของเราไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีทุกข์หรือนิพพาน (สงบเย็น) ส่วนสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถึงเราจะพิสูจน์อย่างไรเราก็จะไม่สามารถพบเห็นได้  พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ในหลักกาลามสูตรว่า อย่าเชื่อใครแม้แต่ตัวเอง ให้พิสูจน์ให้ได้จริงๆเสียก่อน จึงค่อยเชื่อ  หรือคุณสามารถพิสูจน์ได้แล้ว จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 22:51:28

ความคิดเห็นที่ 8 อกาลิโก แปลว่า (พระธรรม)ไม่ประกอบด้วยกาล อกาลิโก หมายความว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติโดยไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาส ให้ผลตามลำดับแห่งการปฏิบัติ คือได้บรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น ได้บรรลุถึงระดับใหนก็ให้ผลในระดับเมื่อนั้น ทั้งความจริงความแท้แห่งพระธรรมนี้ไม่มีกำหนดอายุกาล จริงแท้อยู่ตลอดกาล จริงแท้อย่างนั้นทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุนี้ พระธรรมจึงได้ชื่อว่า อกาลิโก (ไม่ขึ้นกับกาล) พระพุทธศาสนาละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง สมบูรณ์ คงทนต่อการพิสูจน์ พระศาสนาไม่ใช่แค่เรื่องหยาบแค่เพียงชั้นกาย  พิสูจน์ด้วยตาเห็น หูได้ยิน กายสัมผัส เพราะถ้าแค่นั้น ไม่จำเป็นที่พระพุทธองค์จะต้องเอาชีวิตเข้าแลก สะสมพระบารมีกว่า ๔ อสงไขย ในคืนที่พระองค์พบพระสัจธรรม ยามแรกทรงเกิดปัญญาหยั่งรู้อดีตชาติ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยามที่สองทรงเกิดปัญญาหยั่งรู้การเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลาย ทิพยจักษุญาณ จนกระทั่งยามสุดท้ายจึงทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท นั่นคือการพิสูจน์ของพระพุทธองค์ พิสูจน์ธรรมผ่านกาย เวทนา จิต ธรรม แค่ กายตัวเดียว  ในพระพุทธศาสนา ก็ละเอียดกว่ากายทางวิทยาศาสตร์อย่างเปรียบกันไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึง เวทนา จิต ธรรม นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง เค้าจะไม่รีบสรุปว่ามีจริง หรือไม่จริง จนกว่าจะทำการทดลอง ตามสมมติฐานต่างๆ ด้วยพระพุทธศาสนาละเอียดเหนือกายและจิต สมมติฐานที่ควรตรวจสอบ จึงควรพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ ให้เหนือกายและจิต ตามกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง เลือกตามจริตได้เลยครับ ท่านเจ้าของกระทู้ได้พิสูจน์โดยปฏิบัติพระกรรมฐาน แบบเอาชีวิตเข้าแลกรึยังครับ ก่อนที่จะรีบสรุปอะไร พิสูจน์ให้รู้จริงก่อนครับ จึงจะไม่เสียชาติภพไปปล่าวๆ จากคุณ : สุบรรณภักดิ์ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 23:26:43

ความคิดเห็นที่ 9 คุณเจ้าของกระทู้โปรดอย่าสับสนในตรรกะ หรือจับแพะมาชนแกะเพียงให้เข้ากับทิฏฐิตน สันทิฏฐิโก กับ อกาลิโก คือคุณสมบัติของพระธรรม ไม่ใช่ หลักตัดสินว่าอย่างไรคือพระธรรม เปรียบเหมือนน้ำมีคุณสมบัติเป็นของเหลว .. แต่ คุณสมบัติความเป็น"ของเหลว" ไม่ใช่นำมาตัดสินว่าวัตถุนี้คือ "น้ำ" หากจะกล่าวลอยๆ แค่เพียงหลักดังกล่าวอย่างเดียว ถือว่าใช้ตัดสินไม่ได้กับหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น แรงโน้มถ่วงของโลก ก็เป็นทั้ง สันทิฏฐิโก พิสูจน์ได้ เรียนรู้เข้าใจได้ .. ก้าวออกจากตึก ย่อมตกลงมา และ อกาลิโก - สิบปีก่อน ตกยังไง .. ร้อยปีข้างหน้า ก็ต้องตกแบบนั้น แต่พระธรรมนั้นย่อมเป็นสันทิฏฐิโกและอกาลิโกในตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับกฎบางอย่างเหล่านี้ ส่วนหลักวินิจฉัยหรือตัดสินว่าอย่างไรใช่หรือไม่ใช่ธรรมวินัย พระพุทธเจ้าท่านทรงวางไว้ให้แล้ว    หลักตัดสินธรรมวินัย หรือลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ อย่าง คือ    ก. ธรรมเหล่าใด เป็นไป    ๑. เพื่อความย้อมใจติด    ๒. เพื่อความประกอบทุกข์    ๓. เพื่อความพอกพูนกิเลส    ๔. เพื่อความมักมากอยากใหญ่    ๕. เพื่อความไม่สันโดษ    ๖. เพื่อความคลุกคลีในหมู่    ๗. เพื่อความเกียจคร้าน    ๘. เพื่อความเลี้ยงยาก,    ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุศาสน์,    ข. ธรรมเหล่าใดเป็นไป    ๑. เพื่อความคลายหายติด    ๒. เพื่อความไม่ประกอบทุกข์    ๓. เพื่อความไม่พอกพูนกิเลส    ๔. เพื่อความมักน้อย    ๕. เพื่อความสันโดษ    ๖. เพื่อความสงัด    ๗. เพื่อการประกอบความเพียร    ๘. เพื่อความเลี้ยงง่าย,    ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ ที่มา จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ โดยอิงตาม สังขิตตสูตร อุโปสถวรรคที่ ๕ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=5908&Z=5933     ลักษณะวินิจฉัยพระธรรมวินัย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=7&item=523 ส่วนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด นรก-สวรรค์ ฯลฯ แม้จะไม่ควรด่วนเชื่อ แต่ในเมื่อยังไม่มีความสามารถพอที่จะพิสูจน์ด้วยตนเองได้ ก็อย่ารีบปฏิเสธ เพราะอย่างไรเสีย ก็ควรทราบด้วยว่า หลายแห่งในพระไตรปิฎกระบุไว้ชัดเจนว่า การไม่เชื่อว่ามีนรก-สวรรค์ ชาตินี้-ชาติหน้า จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนหลักที่ควรวางใจ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ในช่วงท้ายของเกสปุตตสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4930&Z=5092 ธรรมรักษาครับ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 23:49:47 จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 23:47:28

ความคิดเห็นที่ 10 อกาลิโก แปลว่า (พระธรรม)ไม่ประกอบด้วยกาล อกาลิโก หมายความว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติโดยไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลทุกเมื่อทุกโอกาส ให้ผลตามลำดับแห่งการปฏิบัติ คือได้บรรลุเมื่อใดก็ได้รับผลเมื่อนั้น ได้บรรลุถึงระดับใหนก็ให้ผลในระดับเมื่อนั้น ทั้งความจริงความแท้แห่งพระธรรมนี้ไม่มีกำหนดอายุกาล จริงแท้อยู่ตลอดกาล จริงแท้อย่างนั้นทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุนี้ พระธรรมจึงได้ชื่อว่า อกาลิโก (ไม่ขึ้นกับกาล) ************************* เราคงเข้าใจความหมายของ อกาลิโก ไม่ตรงกันเสียแล้ว คือคุณไปเข้าใจว่า "สามารถปฏิบัติได้ทุกเวลา" อย่างนี้มันไม่ชัดเจน อีกทั้งเราก็ต้องเอาสันทิฎฐิโกมาพิจารณาประกอบด้วย จึงจะสมบูรณ์  คือต้องเห็นเองด้วย ดังนั้นจึงควรแปลคำว่า อกาลิโก ว่าหมายถึง ในปัจจุบัน คือในทันทีโดยไม่ต้องรอเวลาอื่น หรือเรียกว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 23:47:57

ความคิดเห็นที่ 11 สันทิฏฐิโก กับ อกาลิโก คือคุณสมบัติของพระธรรม ไม่ใช่ หลักตัดสินว่าอย่างไรคือพระธรรม เปรียบเหมือนน้ำมีคุณสมบัติเป็นของเหลว .. แต่ คุณสมบัติความเป็น"ของเหลว" ไม่ใช่นำมาตัดสินว่าวัตถุนี้คือ "น้ำ" ***************** มันต่างกันตรงไหน? ถ้าคำสอนใดต่างไปจากหลัก สันทิฎฐิโก และ อกาลิโกแล้ว ก็จัดว่าไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นเครื่องชี้วัดว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่แล้วในตัว ซึ่งหลัก สันทิฎฐิโก และ อกาลิโก นี้ก็ตรงกับหลักกาลามสูตรนั่นเอง ไม่เห็นจะเข้าใจยากเลยพิจารณาดูให้ดีๆ แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 23:56:46 จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 23:52:17

ความคิดเห็นที่ 12 ของเหลว เป็นคุณสมบัติของน้ำ แต่ของเหลว เป็นได้ทั้งกาแฟ น้ำหวาน น้ำมัน ยาพิษ ฯลฯ อกาลิโก เป็นคุณสมบัติของพระธรรม แต่อกาลิโก เป็นได้ทั้ง ฟิสิกส์ (กฎแรงดึงดูด  กฎโมเมนตัม กฎแรงโน้มถ่วง ฯลฯ) เคมี (H2+O=น้ำ) คณิตศาสตร์ (1+1=2) ฯลฯ ทำเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น ไม่ต้องรอเวลาอื่น .. ทว่าหลายสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน ต่างกันตรงไหน เข้าใจไม่ยาก พิจารณาดูให้ดีๆ จากคุณ : He-Who-Must-Not-Be-Named เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:09:30

ความคิดเห็นที่ 13 อย่าไปเปรียบเทียให้สับสนวุ่นวาย มาสู๋ความจริงเลยดีว่า คำสอนที่สอนเรื่องลึกลับไกลตัว พิสูจน์ไม่ได้ เช่นเรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนิพพานชนิดเป็นบ้านเป็นเมือง เป็นต้น ล้วนไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะไม่เป็นสันทิฎฐิโก และ อกาลิโก อันนี้ยอมรับหรือไม่? ส่วนเรื่องที่ว่า เมื่อจิตไม่มีกิเลส มันก็จะไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข จิตก็สงบเย็น หรือที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า นิพพาน ที่แปลว่า เย็น ซึ่งนี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสันทิฎฐิโก และ อกาลิโก อันนี้ยอมรับหรือไม่? แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 00:59:34 จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 00:56:52

ความคิดเห็นที่ 14 เรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิด เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องศึกษานะครับ มันคือต้นกำเนิด(ทุกข์)ของศาสนาพุทธ ยุคเราเลยนะครับ จากคุณ : ชลิโต เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 02:21:54

ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อมาถึงความคิดเห็นนี้ พระคุณเจ้าน่าจะยังไม่เข้าใจ ...... จากคุณ : P_vicha เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:50:29

ความคิดเห็นที่ 16 กระทู้ข้างล่างนี้ น่านะเกี่ยวเนื่ิงกับ กระทู้นี้ ทาน จขกท ลองพิจารณาไหมครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11457160/Y11457160.html ตรัสแนะลักษณะสอบสวนพระธรรม     พระไตรปิฎกฉบับประชาชน หน้า ๓๕๙ ตรัสแนะให้ศึกษาพระธรรม ทั้ง ๓๗ประการเหล่านั้น (ดูหน้า ๓๒๖ คือโพธิปักขิยธรรม ตรัสว่า เป็นอภิญญาเทสิตธรรม ธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ด้วยความรู้ยิ่ง). โดยพร้อมเพียง ไม่วิวาทะ (พูดต่าง) กัน (ใน ๓๗ประการนั้น) แล้วตรัสแนะ วิธีสอบสวนพระธรรม เมื่อพระสงฆ์พรหมจารี กล่าวธรรม ๑.   ถ้ารู้สึกว่า. ถือเอาอรรถะผิด. ยกพยัญชนะผิด ก็ไม่พึงเห็นด้วย (อภินันท์). หรือคัดค้าน พึงกล่าวกะเธอว่า.  พยัญชนะนี้. กับพยัญชนะอีกอันหนึ่งของอรรถะนี้. และ อรรถะอีกอันหนึ่งของพยัญชนะนี้ อย่างไหนจะชิบด้วยอุบายกว่ากันฯ ข้ออื่นๆ ยกไว้ ทรงแนะให้ศึกษาธรรม. คือโพธิปักขิยธรรม. ๓๗ ที่เกิดจากด้วยความรู้ยิ่งขั้นพระบรมศาสดา แล้วจึงตรัสแนะวิธีสอบสวนธรรม "นี้" ดูเต็ม พระสูตรเองนะครับ.  ยิ่งดูทุกๆ สำนวนแปล ยิ่งชื่อว่า ไม่ประมาท หมายเหตุ จากความจำ "สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโกฯ" (ผิดตกยกเว้น) สันทิฏฐิโก ตาม คคห ๑๑. ท่าน จขกท กำหนด แบบไหน ตามข้อข้างล่างครับ (๑). สันทิฏฐิโด. ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสสอน ๔๕ พรรษา จนมีผู้อื่น สันทิฏฐิโก ตามประวัติพุทธศาสนาฯ และจนมี พุทธศาสนา ในโลกนี้ จะกี่นิกายกี่คณะ ยกไว้ รวมทั้ง    "แบบเอเลี่ยน".  (ผมบัญญัติเอง คำนี้ หมายถึงอะไร )ก็ยกไว้เช่นกัน (๒). สันทิฏฐิโกแบบ "ประสบการณ์ผมผม". ฯ ทีไม่เคยศึกษา พระสูตร พระวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติ แล้ว สาวกพรัอรหันต์กระทำปฐมสังคายนามา ท่านจขกท กำหนด. ความหมาย สันทิฏฐิโก. ตาม ๑ หรือ ๒ ครับ "ที่เนื่องกับกระทู้ที่ท่านตั้ง" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 08:10:53

ความคิดเห็นที่ 17 ---------- เรียนท่านเจ้าของกระทู้เพื่อทราบ    ท่าน P_vicha เป็นผู้ปฏิบัติได้รู้ได้เห็นยิ่งกว่าคนธรรมดาแล้วและได้ศึกษา   หากท่านได้รับฟังหรือใช้โปรแกรมส่งข้อความของพันทิบนี้  พูดคุยกับ ท่านวิชา            จะเป็นโอกาสดีของท่าน จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:31:29

ความคิดเห็นที่ 18 หางด้วน  อ้่างอะไรก็รัดคอตัวเองอีกแล้ว จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 13:27:18

ความคิดเห็นที่ 19 พระพุทธเจ้า ตรัสระบุชัดเจน  ทั้งเรื่อง สวรรค์ นรก นิิพพาน เป็นสันทิฎฐิโกของพระองค์เองด้วย ในพระไตรปิฎกก็ระบุไว้ชัีดเจน และยังมีผู้รู้เห็นได้สืบต่อนมาถึงยุคปัจจุบัน ส่วนหางด้วน ถ้าไม่รู้ ถ้าไม่เห็น แล้วทึกทักเอาตามตำราของบางอาจารย์เอามาแบบครึ่งๆ กลางๆ ก็แค่หางด้วน สติปัญญาแบบด้วนๆ เท่านั้น หางด้วนเอย ทิฎฐิเจ้าจะน่าเชื่อถือกว่าพระไตรปิฎกงั้นหรือ? แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 13:32:11 จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 13:31:59

ความคิดเห็นที่ 20 งงมาก ท่านต้องการอะไร จากคุณ : Vees เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 17:03:01

ความคิดเห็นที่ 21 คำสอนที่สอนเรื่องลึกลับไกลตัว พิสูจน์ไม่ได้ เช่นเรื่อง นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เรื่องนิพพานชนิดเป็นบ้านเป็นเมือง เป็นต้น ล้วนไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะไม่เป็นสันทิฎฐิโก และ อกาลิโก อันนี้ยอมรับหรือไม่? - ไม่ยอมรับครับ เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนไว้ และสอนให้ปฏิบัติด้วยซ้ำ คือสอนให้ปฏิบัติจนได้ ทิพยจักขุญาณต่างๆ เช่น ปุพเพนิวาสสนาสติญาณ จุตูปปาตญาณ ท่านสอนเสียเยอะแยะ ถ้ามันไม่มีประโยชน์จริงๆ ท่านจะสอนหรือครับ ใบไม้ในกำมือ... ยังดีกว่าพวกที่เสนอป่า เรื่อง วิชชา ๓ อภิญญาสมาบัติ เป็นเรื่องไม่ไกลอะไรเลย เป็นเรื่องธรรมดามากๆในหลักสูตรพระศาสนา ถ้าบุคคลใดไม่พึงต้องการจะได้วิชชาเหล่านี้ ก็มีแนวทางอื่นให้ปฏิบัติ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยขัดที่ใครจะบรรลุมรรคผลผ่านทางวิชชาเหล่านี้ อย่าอกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ที่ท่านผู้เป็นภิกษุกำลังอาศัยบารมีของพระพุทธองค์ยังอัตภาพอยู่ ผมไม่ทราบหรอกว่าท่านเป็นใคร แต่ขอให้เป็นพระจริงๆเสียก่อน แล้วค่อยกลับมานะครับ ผมจะกราบในความดีของท่านจริงๆ อ้อ.. ต้องบอกมั้ยครับ ว่าำคำว่าพระนี่ผมหมายถึงยังไง ดูบทสังฆคุณนะครับ จากคุณ : sirnitfi เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 17:31:37

ความคิดเห็นที่ 22 สันทิฏฐิโก ตาม คคห ๑๑. ท่าน จขกท กำหนด แบบไหน ตามข้อข้างล่างครับ (๑). สันทิฏฐิโด. ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตรัสสอน ๔๕ พรรษา จนมีผู้อื่น สันทิฏฐิโก ตามประวัติพุทธศาสนาฯ และจนมี พุทธศาสนา ในโลกนี้ จะกี่นิกายกี่คณะ ยกไว้ รวมทั้ง    "แบบเอเลี่ยน".  (ผมบัญญัติเอง คำนี้ หมายถึงอะไร )ก็ยกไว้เช่นกัน (๒). สันทิฏฐิโกแบบ "ประสบการณ์ผมผม". ฯ ทีไม่เคยศึกษา พระสูตร พระวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติ แล้ว สาวกพรัอรหันต์กระทำปฐมสังคายนามา ท่านจขกท กำหนด. ความหมาย สันทิฏฐิโก. ตาม ๑ หรือ ๒ ครับ "ที่เนื่องกับกระทู้ที่ท่านตั้ง" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)     เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 08:10:53   ******************* เรามาถกปัญหาที่เป็นเรื่องปลายๆกันเสียแล้ว  ถึงจะอธิบายไปสักเท่าใด ก็จะเกิดคำถามใหม่ๆขึ้นมาอีกมากมายไม่รู้จักจบาน คำถามเหล่านี้จะแจ้งประจักษ์ด้วยตัวเอง เมื่อมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ซึ่งดวงตาเห็นธรรมจะเกิดขึ้นได้ เราต้องย้อนกลับมาที่ต้นตอของธรรมะ นั่นคือ กฎอิทัปปัจจยตา  ที่เป็นต้นตอของธรรมะ โปรดติดตามในกระทู้ต่อไป จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 19:58:43

ความคิดเห็นที่ 23 - ไม่ยอมรับครับ เพราะพระพุทธเจ้าก็สอนไว้ และสอนให้ปฏิบัติด้วยซ้ำ คือสอนให้ปฏิบัติจนได้ ทิพยจักขุญาณต่างๆ เช่น ปุพเพนิวาสสนาสติญาณ จุตูปปาตญาณ ท่านสอนเสียเยอะแยะ ถ้ามันไม่มีประโยชน์จริงๆ ท่านจะสอนหรือครับ ใบไม้ในกำมือ... ยังดีกว่าพวกที่เสนอป่า ...... จากคุณ : sirnitfi     เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 17:31:37     ************************ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า ทิพยจักขุญาณต่างๆ เช่น ปุพเพนิวาสสนาสติญาณ จุตูปปาตญาณ นั้นมีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมาเองในภายหลัง?   หรือคุณปฏิบัติได้แล้ว?  หรือคุณเชื่อตามตำรา? แต่ถ้าคุณยังปฏิบัติไม่ได้ แล้วคุณเชือก่อนแล้วหรือว่ามันมีจริง? อย่างนี้คนมีปัญญาเขาจะว่าอย่างไร? จากคุณ : What am I? เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 20:06:38

ความคิดเห็นที่ 24 ................ หากคนเราใช้กิเลสสอนกิเลส ผลคือ โลกมันก็วุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น ครูบาอาจารย์ชั้นเลิศ ท่านใช้ตาในมองศิษย์ก่อน....แล้วจึงสอน สอนได้หรือสอนไม่ได้ท่านรู้ หรือจะแนะนำอย่างไรให้เขาท่านก็มีวิธี ความบอบช้ำความวุ่นวายมันจึงไม่เกิด ................. ในเว็บบอร์ดนี้ ไม่มีใครรู้ว่าใคร ตาบอดหรือตาดี ขออย่าประมาท และหากจาบจ้วงธรรมวินัยด้วยแล้วมันเป็นกรรมที่หนักเอาการ  ....^^ จากคุณ : อวตาร เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 23:44:22