ความคิดเห็นที่ 1 อันนี้ต้องถามคุณโชติ แต่ดูเหมือนเขาจะปฏิบัติตามแนวอานาปานสติครับ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:43:38

ความคิดเห็นที่ 2 พิจารณาดูนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 16:08:15 จากคุณ : chiwat เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:07:48

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าท่านเซนตอบมา รบกวนคุณ chohokun ช่วยกันตีความด้วยนะคะ ความรู้น้อยค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:11:06

ความคิดเห็นที่ 4 คุณ คคห๑ บรรทัดแรก เรารู้จักกันมาก่อน. มั๊ยครับ คุณฯ เข้ามาที่ห้องศาสนานี้พร้อมๆกับผมมั๊ย เรื่องอะไรครับ ที่คุณพาดพิงผม.  "ตามบรรทัดหนึ่ง" ท่าน จขกท สมาชิกผู้วิญญูชนปัญญาชน ตั้งประเด็นนี้.  เฉพาะเจาะจงผม หรือครับคุณchohokum. ก็เปล่า ตอบตามประเด็น ไม่ได้หรือครับ พาดพิงทำไม เพื่ออะไร รู้ตามที่ผมเป็นจริงหรือว่า เรื่องชาติหน้า หลังจากตายแล้ว ผมรู้กี่แบบ แบบไหนคือสัสสตทิฏฐิ. แบบไหนคือแบบสาสวาสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น บรรทัดที่สอง ดูเหมือนว่า.  เข้าข่าย จากความจำ. ว่า. บุคคล. ท่ี่พาดพิงถึงนั้น. เคยเสนอไว้อย่างนั้น ถ้าท่านจขกท จะตั้งกระทู้ ถามผม ก็ย่อมทำได้เพราะจำได้ไว้เคยกล่าวว่า ลองตั้งเพื่อถามดู (กระทู้ไลมแล้ว เพราะไม่รู้จะจำไปเพื่ออะไร) หวังว่า เราสื่อสารกัน ชนิดตรงประเด็น"ธรรมะข้อใดนั่น" ในกระทู้นั้น หาก ประสงค์จะ ถามไถ่ ในเรื่องที่เห็นต่างกัน ย่อมทำได้ตามสมควรแก่เหตุ มิใช่หรืิอครับคุณchohokum จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:22:24

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่อง ภพภูมิสวรรค์ หรือ นรก ฟังแต่คนอื่นเขาเล่ามาก็แค่ฟังไม่รับหรือปฎิเสธเพราะเป็นเรื่องที่เราพิสูจน์ไม่ได้ แต่ดิฉันก็นั่งสมาธิเป็นการลงมือพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองทำให้เข้าใจถึงสภาพของจิตสงบนั้นเป็นอย่างไร นั่งแล้วเห็นว่าดีต่อตัวเราเพียงไหน เอาแค่นี้ส่วนนรกหรือสวรรค์มีจริงหรือปล่าวไม่ได้สนใจค่ะ ดิฉันเองก็เห็นฝรั่งหลายคนที่เขามาเรียนนั่งสมาธิโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องภพภูมิ เรื่องชาติหน้าค่ะ ส่วนที่ว่ามีใครเขาได้ไปนิพพานโดยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อันนี้ตอบไม่ได้ค่ะเพราะยังไม่เคยเจอ จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:52:42

ความคิดเห็นที่ 6 ถามทุกท่านค่ะ ทั้งที่ท่านมีคนรู้จักที่เชื่อเช่นนี้ และท่านที่เชื่อเช่นนี้ ถามเพราะอยากรู้จริงๆ น่ะค่ะ ด้วยความเคารพทุกๆ ท่านค่ะ เพราะพักนี้ก็มีกระทู้เกี่ยวกับการนั่งสมาธิทำให้ จขกท นึกสงสัยขึ้นมาค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 16:59:26

ความคิดเห็นที่ 7 คคห๓ อาน คคห ๔ ออกไหมครับ ต้องให้คุณchohokum. ตีความไหมครับ (๒) ถ้า รู้ตัวว่ารู้น้อย.  ก็ดีแล้วนี้ครับ เพราะดีกว่า"รู้น้อย ว่ารู้มาก เริงใจ".ตามคำโบราณท่าน แต่จะรู้น้อยหรืิอไม่น้อย. "ยืมจมูกคนอื่นหายใจ".  ย่อมไม่ได้ แต่ อย่างอื่นจากบรรทัดบนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จริงหรือไม่จริง ต้องรู้เอง เพราะไม่มีใครรู้อะไรเกินไปจากปัญญาเท่าที่มีจริงๆในสมัยนั้น. (ท่านพุทธทาสเสนอไว้) ทีนี้ตอบกระทู้ หัวกระทู้ จงหาหลักฐานไม่ใช่คิดเองมาให้ได้ ว่า ผมปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด หรือปฏิเสธชาติหน้า ตามที่ตรัส ว่า อวิชชา นั่นแหละเป็นคติ (เครื่องไป).  ของส้ตว์เหล่านั่น เนื้อความกระทู้บรรทัดแรก ผมเสนอจูฬสุญญตาสูตร มากกว่า ท่านใดๆ ในห้องนี้ พระสูตรนี้ เนื่องกับ นิพพาน มิใช่หรือ ยิ่งกว่าเชื่อ. ครับ แต่ ที่สาวกกล่าว เช่น แดนนิพพานมีแน่ เชื่อคำชั่นสาวก ได้หรือ ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงยังทรงยังอยู่ ตรัส กาลามสูตรไว้ เนื้อความกระทู้บรรทัดที่สอง ถามแบบ"รู้น้อยหรือแบบกลไกการตลาดฯ". หรืออย่างไร ยกไว้ ว่าแต่ว่า"คำตอบใดนั่น ใช่ ออกมาจากปัญญาของพระพุทธเจ้า". หรืิอ ไม่ใช่ ใช่ไหม จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 17:26:12

ความคิดเห็นที่ 8 ** ผู้ที่ปฏิเสธชาตินี้ ชาติหน้า ภพภูมิสวรรค์ นรก เค้านั่งสมาธิหรือไม่คะ ** ถ้าถาม ว่าเค้านั่งสมาธิมั๊ย ตอบไม่ทราบคะ เนืองเพราะ ไม่มีจำเพาะว่า ต้องนั่ง คะ ใครจักนั่ง  นั่ง  ใครจักไม่นั่ง  ไม่นั่ง คะ ทุกอย่างไม่มีจำเพาะ ขึ้นกับจริตแต่ละท่านคะ ------------------------------------------------------ ** มาถึง การกล่าวพาดพิง ผู้อื่น ** ด้วยมารยา ไม่ควรกล่าวพาดพิง รวมทั้งการกล่าวอ้าง พระอริยสงค์องค์ใดๆทั้งสิ้น อันเนืองจาก เพราะการกล่าวอ้างนั้น มักยกว่า ท่านกล่าว ในความจริง  ท่านกล่าวจริงหรือไม่  ( หากมีหนังสือที่ท่านเขียนเอง ค่อยกล่าวอ้าง แต่ควรกล่าวอ้างว่า จากหนังสือ ไม่ใช่ ท่านกล่าวอ้าง ) เพราะ คำกล่าวอ้าง มักอ้างกันตามๆกันมา พุทธวจนะ ถาม  กล่าวอ้างนักหนา  ใครจักได้ยินมาบ้าง คำกล่าวอ้าง  พระอรหันต์  ถาม ใครเคยเห็นมาบ้าง --------------------------------------------------- มาถึง ..................... ตอบตามประเด็น ไม่ได้หรือครับ พาดพิงทำไม เพื่ออะไร .................... ------------------------------------------------- **.................แต่ ที่สาวกกล่าว เช่น แดนนิพพานมีแน่ เชื่อคำชั่นสาวก ได้หรือ ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงยังทรงยังอยู่ .............. ** เมื่อไม่นิยมชมชอบในการกล่าวอ้าง หรือพาดพิง แล้วใย จึงต้องมีการแนบแนมด้วยเล่า ผู้ที่เชื่อในดินนิพพาน เป็นสิทธิ์ในความเชื่อแต่ละบุคคล ใครจักเชื่อสิ่งใด  พุทธองค์ ไม่เคย ตำหนิ หรือโน้มน้าวให้จักเชื่อ แต่พุทธองค์ ใช้ คำสอน และการพิสูจนเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้ว เหตุใด มนุษย์ จึงจักต้องให้ทุกผู้ เชื่อในสิ่งเดียวกันเล่า เส้นทางมีหลายเส้นทาง  ใครเดินเส้นทางใด จักเดิน  ใครจักชอบเส้นทางใด จักเดิน เพียงทุกเส้นทาง ล้วนมีจุดหมายเดียวกัน คือ เส้นทางของพุทธองค์ -------------------------------------------------------- เหตุใด จึงจักต้องให้ทุกคนคล้อยตาม ความคิดด้วยเล่า จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 19:03:11

ความคิดเห็นที่ 9 คคห ๘ บรรทัดสุดท้าย ที่เสนอ คุณกล่าวหาใครครับ. ตามข้อความนั่น (๑) ผมใช่ไหม ผมมีอำนาจอะไร ทำได้ ตามข้อความนั้นครับ หวั่นไหวอะไรหรือเปล่า ครับ (๒) คำว่า ผู้เชื่อในแดนนิพพาน. เป็นสิทธิความเชื่อของบุคคล ครับ ถ้าผู้กล่าวสอน ไม่ขานนาคบวชในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสวินัยที่บัญญัติ พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามาว่า นิพพานคือ ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ไม่ตรัส มีแดนนิพพาน แล้ว สอนหม่ตรงตาม นิพพานของพระพุทธเจ้า ข้อนี้ คุณผู้สัญจร ไม่พิจารณาเป็นข้อสำคัญใช่ไหมครับ ก็ประกาศสึกหาลาเพสเสีย จาก ธรรมวินัย ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา เสียให้สมกับวิญญูชนปัญญาชน ตั้งลัทธิหรือศาสนาใหม่ สอนว่า นิพพานตามปัญญาของอาตมา มี คืิอ แดนนิพพาน หรือสถานที่ ฯ เรื่องนี้คุณผู้สัญจร.  ไม่เห็นด้วย ใช่ไหม หรือเห็นด้วยครับ หมายเหตุ คำโบราณคำว่า อย่ากินบนเรือนแล้วขี ไม้โท. บนหลังคา มีความหมายอะไร เกีายวกับอะไร ผมลืมแล้ว เสนอมุมมอง ข้างบนอยู่ๆมัน แวบๆ ขึ้นมา จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 19:54:38

ความคิดเห็นที่ 10 ผู้ที่ปฏิเสธชาตินี้ ชาติหน้า ภพภูมิสวรรค์ นรก เค้านั่งสมาธิหรือไม่คะ ตอบ  มีทั้ง สองกลุ่มเลยครับ มีทั้งนั่ง และไม่นั่ง        กลุ่มที่ไม่นั่ง ก็คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนาเลย        กลุ่มที่นั่ง คือ เชื่อคำสอน และต้องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆทั้งหมด นั่นก็คือ ปฏิเสธชาตินี้ ชาติหน้า ภพภูมิสวรรค์ นรก เช่นกัน จะนิพพานได้ ก็ต้องศรัทธาคำสอนอย่างถุกต้องด้วยจ้ะ จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 20:14:55

ความคิดเห็นที่ 11 ** ข้อนี้ คุณผู้สัญจร ไม่พิจารณาเป็นข้อสำคัญใช่ไหมครับ ** ไม่พิจารณาเป็นเรื่องสำคัญ เท่าคำสอนพุทธองค์ คะ ** หวั่นไหวอะไรหรือเปล่า ครับ ** ด้วยศรัทธา ในพุทธองค์ อย่างมิเคยหวั่นไหวใดๆ แลจักมิมีสิ่งใดมาทำให้หวั่นไหวได้ *  ตั้งลัทธิหรือศาสนาใหม่ สอนว่า นิพพานตามปัญญาของอาตมา มี คืิอ แดนนิพพาน หรือสถานที่ ฯ เรื่องนี้คุณผู้สัญจร.  ไม่เห็นด้วย ใช่ไหม หรือเห็นด้วยครับ * ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น อันเนืองจากไม่เคยปฎิบัติตาม ท่านใดๆ นอกจาก พุทธองค์ แลมิเคยจักเชื่อท่านใดๆที่กล่าวอ้าง  อันเนืองจาก เชื่อในพุทองค์ท่าน มิว่า จักเป็น พระอริยสงฆ์องค์ใด เนืองเพราะไม่เคย ร่ำเรียนแลติดตามศึกษา หรืออ่านมาเลย ธรรมะ ทั้งหมด มาจากจิตที่ศรัทธาในพุทธองค์ และเรียนรู้เอง จาก พบเอง เห็นเอง รู้เอง เนืองเพราะ เชื่อในคำพุทธองค์( คำนี้ เป็น พุทธวจนะ หรือไม่ ไม่สนใจที่มา หากแต่เล็งเห็นว่า หากทุกสิ่งที่กล่าวเป็นจริง จักต้องพิสูจน์ได้ ) ที่ โพส  คห.8 ไปนั้นเนืองจาก มิชอบด้วย คำที่ แนบแนม เนืองด้วย คำที่กล่าวว่า  ที่สาวกกล่าว เช่น แดนนิพพานมีแน่ เชื่อคำชั่นสาวก ได้หรือ ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงยังทรงยังอยู่ อันเนืองจาก เป็นข้อความที่ กล่าวถึง *** ส่วนในเรื่องความเชื่อเรื่องแดนนิพพาน มิได้มีในหัวข้อกระทู้ คะ จึงไม่อยากถก ด้วย ไม่เห็นค่าที่ควรถกด้วย เนื่องเพราะคิดว่า เชื่อว่ามี นั้นถูกแล มิเชื่อว่ามีนั้นถูกแล จักมีหรือไม่มี ไม่มีผลใดๆ อันก่อให้เกิด ความหวั่นไหวใด ต่อพุทธองค์ มีหรือไม่ ไม่มีผลใดๆต่อการนำมาซึ่งความศรัทธา แลเชื่อมั่นในพุทธองค์ มีหรือไม่ ไม่มีความหมายใดๆ ต่อการปฎิบัติตามพระธรรม นั้นแล เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมิเห็นว่า การดำรงอยู่ การไม่ดำรงอยู่ ของ แดนนิพพาน จึงไม่มีความหมายใดเลย และไม่ควรค่าต่อการถก เนืองเพราะไม่มีเหตุแลปัจจัยอันนำมาซึ่งการถก ให้ก่อวิวาทะใดๆเลย การเสนอ ท้วงติง เนืองเพราะ เชื่อว่า การกล่าวอ้าง นั้นมิควรกล่าวอ้างหาก คำกล่าวอ้างนั้น มิได้ประสบเอง  เห็นเอง  ได้ยินเอง หากกล่าวอ้างตามหนังสือ จึงควรกล่าวว่า มาจากหนังสือ มิใช่ ท่านกล่าว จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 20:23:06

ความคิดเห็นที่ 12 ** กลุ่มที่ไม่นั่ง ก็คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องศาสนาเลย ** อันนี้ก็ไม่ถูกนักเท่าไร คะ ผู้ปฎิเสะภพหน้า ชาติหน้า  ภพภูมิ อาจเนืองเพราะ เค้าเหล่านั้น ยังมิพบเอง  เห็นเอง  ก็มี คะ ยกตัวอย่าง ( เพิ่งเมื่อวานนี้เอง ) เพื่อน มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ โดยกล่าวอ้าง( ตามสันดานมนุษย์ ไหนหลักฐาน ไหน พยาน .............)   ผลของการกล่าวอ้าง เมื่อวาน  วันนี้ ยังคง(ถูกบังคับให้รำลึกได้ และ รำลึกเห็น ตั้งแต่เมื่อวานจววันนี้ แลจนถึง กาลสิ้นสุดภพภูมิที่ทำการขอไว้ ( ขอต่อหน้า พุทธองค์ / จำลองพุทธองค์ ) จวบวันนี้ การรำลึกยังมิหมดสิ้น --------------------------------- ในส่วนตัว เชื่อเรื่อง  ภพ  ภูมิ คะ เมื่อก่อน( อดีตไม่นานมานี้ ) เปนหนึ่งในผู้ไม่เชื่อเรื่องนี้ เนืองจาก เห็นว่าการอ้างถึงอดีตชาติ ไม่มีความยุติธรรม เราทำกรรมใด เมื่อไม่มีคำอธิบายก็จะกล่าวอ้างว่าภพภูมิที่ผ่านมา เคยกระทำไว้ ก็เช่นเดียวกับเพื่อน คือไหนละหลักฐาน แต่ไม่ได้ลบหลู่เช่นเพื่อนคะ บัดนี้ความเชื่อนั้น พิสูจน์แล้ว ( คงเช่นเพื่อน แต่เพื่อนคงหนักกว่าเนืองจากมีการลบหลู่ ) พิสูจน์แล้ว เห็นแล้ว พบแล้ว จึงเชื่อ คะ ------------------------------------------- ฉะนั้น จึงสามารถออกความเห็นได้ ทั้ง เชื่อและไม่เชื่อ คะ จากคุณ : ผู้สัญจร เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 20:32:01

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ใส่ใจหาคำตอบครับ  เฉยๆ สมาธิ นั่งเป็นช่วงๆ ตอนนี้ไม่ครับ จากคุณ : ลำปาว เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 21:10:58

ความคิดเห็นที่ 14 เครื่องมือที่ใช้กำจัดกิเลส ศีล สมาธิ ปัญญา  รวมลงที่มรรค 8 ครับ จากคุณ : venture เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 22:13:23

ความคิดเห็นที่ 15 พระอรหันต์ที่ไม่รู้เรื่องนรกสวรรค์เลย มีอยู่ แต่ว่าท่านเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงไม่ติดใจ อีกอย่าง ท่านไม่มีทิฎฐิว่าเชื่อ หรือไม่เชื่อ เพราะท่านไม่เดือดร้อน ท่านรู้แค่ว่าความตกต่ำย่อมไม่มีแก่ท่าน หากเราไปถามท่านเรื่องนี้ ท่านย่อมไม่ตอบ เพราะเกินวิสัย พระอรหันต์จำนวนมากเป็นอย่างนี้ คือ บริสุทธิ์เพราะหมดกิเลส แต่ว่าไม่ได้รู้ทั่วถึงธรรมหรือความเป็นไปของโลก โดยมากผู้ปฏิเสธนรก สวรรค์ จึงเป็นผู้ที่ยังมีทิฎฐิอยู่ เมื่อทิฎฐิเหนียวแน่น ชื่อว่าจะบรรลุมรรคผล ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิเป็นเบื้องต้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าบรรลุธรรมแล้ว ทิฎฐิเหล่านี้จะหายไปเอง เพราะฉะนั้น หากไม่เชื่อนรก สวรรค์ แต่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างถูกวิธี ก็สามารถบรรลุธรรมได้ และจะละทิฎฐินั้นได้ในที่สุด จากคุณ : พักผ่อน เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 23:19:05

ความคิดเห็นที่ 16 คือยังงี้ค่ะ จขกท อ่านจุดมุ่งหมายของกรรมฐานมาว่า "การฝึกกรรมฐานเป็นกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นเพื่อเป็นพื้นฐานรับรองเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แม้จะมีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่การบรรลุคุณวิเศษคือ มรรค ผล นิพพาน แต่ถ้าจิตยังพัฒนาไม่ผ่านขั้นตอนการยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดอันยาวนานของตนเองหรือยังมีความสงสัยในเรื่องภพชาติแล้ว ขบวนการถอนรากถอนโคนกิเสส ตัณหา อาสวะและอนุสัยต่างๆ ในจิตใจอย่างจริงจังจะยังไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ภัยของภพชาตินั้นมาจากความจำเจวนเวียนที่ชีวิตต้องอยู่กับความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง" อ่านมาถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจ แต่เพิ่งทราบว่าบางวัดปฏิเสธนรก สวรรค์ แต่มีการจัดอบรมอานาปานสติ ตรงนี้ทำให้ จขกท งุนงงเป็นอย่างยิ่งเพราะดูไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของกรรมฐานดังกล่าวข้างบน คิดทบทวนว่าเราเข้าใจอะไรตรงไหนผิดหรือเปล่า จขกท เข้าใจดังข้างล่างนี้ถูกต้องหรือไม่คะ จุดมุ่งหมายกรรมฐานดังกล่าวข้างบนไม่ถูกต้องเสียทั้งหมด อาจมีจุดมุ่งหมายอื่นด้วย เช่น เพื่อความสงบทางจิตใจ พินิจสังขารโดยไตรลักษณ์ ไม่ได้ถึงกับมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดภพตัดชาติหรือบรรลุอรหันต์ (เนื่องจากปฏิเสธการเวียนว่ายตายเกิด) หรือ อานาปานสติไ่ม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดภพตัดชาติ จขกท ตั้งคำถามขึ้นมาเพราะไม่เข้าใจค่ะ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างอื่นๆ แอบแฝงเพราะถือศีล 5 อยู่ เรื่องจะแอ๊บเบ๊วแกล้งถาม ตำหนิติเตียน ไม่มีค่ะ อีกครั้งค่ะ จขกท เป็นผู้เริ่มศึกษาพุทธศาสนา ถ้าเป็นไปได้กรุณาใช้คำง่ายๆ ด้วยนะคะ จักขอบพระคุณยิ่ง จากคุณ : จขกท (GravityOfLove) เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 23:52:55

ความคิดเห็นที่ 17 โอ้ ตอนคีย์ #16 ยังไม่ได้อ่านความเห็นคุณพักผ่อนค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 23:54:28

ความคิดเห็นที่ 18 ศิษย์พี่ ขอบคุณสำหรับกิ๊ฟค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 23:54:58

ความคิดเห็นที่ 19 คุณพักผ่อนอธิบายเข้าใจแจ่มเลยค่ะ ยูเรก้า! ยัตต้า! แยกคำว่า ไม่รู้เรื่องนรกสวรรค์ ออกจากคำว่า ปฏิเสธนรกสวรรค์ ขอบพระคุณทุกๆ ท่านค่ะ จากคุณ : จขกท (GravityOfLove) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 00:13:32

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่รู้จะตอบตรงคำถามหรือไม่นะครับ คือ การทำสมาธิ จริงๆ แล้วไม่ใช่ know how ที่มีเฉพาะในพุทธศาสนา ในศาสนาอื่นเขาก็มี หรือแม้แต่คนไม่มีศาสนา เขาก็สามารถทำสมาธิได้เหมือนกัน  ถ้าทำไปถึงระดับนึง ก็สามารถใช้ผลของสมาธิทำได้ รับรู้ได้ เหมือนๆกัน ถ้าทำถูกทาง คำสอนในศาสนาพุทธที่ถือว่าเป็น unique ไม่มีในศาสนาอื่น คือคำสอนในเรื่องของการเจริญสติ ซึ่งคือ งานหลักของชาวพุทธ การทำสมาธิคืองานเสริม แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่เป็นบาทฐานนึงเหมือนกัน (ดูจากมรรคมีองค์ 8) ดังนั้น ถ้าหากมีคนนอกศาสนา ไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ ชาติหน้า แต่ก็ทำสมาธิได้ถูกต้อง เขาก็ได้รับผลจากสมาธิเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่ได้ฝึกการเจริญสติ ดังนั้น องค์มรรคของเขาจึงไม่ครบ ไม่สามารถบรรลุธรรมในแบบของพุทธศาสนาได้ครับ จากคุณ : ป้อม (Bgate) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 03:43:11

ความคิดเห็นที่ 21   ผมคิดว่า ผู้ที่เข้ามาในห้องศาสนา ที่ปฏิเสธชาตินี้ ชาติหน้า ภพภูมิสวรรค์ นรก...คงจะไม่มีนะ   อย่างน้อยที่สุด คำว่า ชาตินี้  เขาคงปฏิเสธไม่ได้ และแน่นอน ชาติหน้า หรือภพภูมิ มันก็มีให้เห็นอยู่ จะปฏิเสธได้อย่างไรครับ    ส่วนเรื่องนรก สวรรค์ ก็มีให้เห็น เป็นทั้งตัวอย่าง เป็นทั้งตัวจริง  แล้วจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ?    เอาเป็นว่า โดยส่วนตัวผมนะ ไม่ปฏิเสธ ชาตินี้ ไม่ปฏิเสธชาติหน้า และไม่ปฏิเสธนรกสวรรค์ ภพภูมิใด ๆ        แต่............  ๑. นรก-สวรรค์ แบบศาสนาโบราณ หรือแบบศาสนาพุทธล่ะ และแม้แต่ในศาสนาพุทธเองก็ มีนรก-สวรรค์ มากกว่าหนึ่งแบบด้วย คือนรกสวรรค์สำหรับชนจำพวกหนึ่ง (คือนรกที่เผาไหม้ ลุกโพลงอยู่ใต้ดินน่ะ) อีกอย่าง คือ นรกสวรรค์ สำหรับคนที่พร้อมที่จะฟังด้วยปัญญา ก็มี ที่ไม่จำเป็นต้องตายเข้าโลงก่อน แล้วจึงดำดิ่งลงไปใต้โลก?  ๒. ภพภูมิแบบ ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า หรือว่า ภพภูมิที่ ออกมาจากพระมหาเถระนักประพันธ์?    ก่อนอื่น ผมคิดว่า ท่านเจ้าของกระทู้ น่าจะเคลียร์ ๒ ข้อนี้ให้ได้เสียก่อนครับ แล้วปัญหาของท่าน ก็จะมิใช่ปัญหาอีกต่อไป  ส่วน ที่ถามว่า คนที่ไม่เชื่อ เขาจะนั่งสมาธิกันไหม?    ผมตอบแทนคนที่ไม่เชื่อคงไม่ได้ ว่านั่งหรือไม่นั่ง แต่เท่าที่เห็นนะ ฝรั่งเพื่อน ๆ ผม ก็นั่งสมาธิเป็น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ และเขานั่งสมาธิ ก็ไม่ใช่เพื่อนจะเกี่ยวข้องกับนรกสวรรค์ หรือภพภูมิใด ๆ แต่เพื่อให้ได้ประโยชน์ ต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเขาเอง เพราะเป็นที่ทราบกันอย่างแน่นอนแล้วว่า สมาธินั้น มีประโยชน์มากมาย เช่น....  - เมื่อนั่งไปได้สักระยะหนึ่ง ความดันโลหิตจะลดลง เหมาะสำหรับคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ที่จะนั่งเพื่อบรรเทา  - เมื่อนั่งไปได้สักระยะหนึ่ง สารเคมีในร่ากายจะหลังออกมา คือสารแห่งความสุข (Endorphin) ก็จะเกิดความสบายใจ และมีความสุข  - และอื่นๆ  อีกมากมายครับ สามารถศึกษาได้ในเรื่อง ประโยชน์ของสมาธิ      ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การนั่งสมาธิ กับความเชื่อเรื่องภพภูมิ นรกสวรรค์ ชาตินี้ ชาติหน้า ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันเลยก็ยังได้     จึงอาจจะพอจะประมวลได้ว่า แม้คนที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ ก็นั่งสมาธิ เพราะการนั่งสมาธิ มีประโยชน์กับทุกคนที่สนใจนั่งอย่างถูกวิธี    แต่คนที่นั่งอย่างไม่ถูกวิธี และเคลือบย้อมใจตนเองด้วยอุปาทานก่อนนั่งนี่สิ น่าระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในประเทศไทยนี่แหล่ะ ปรากฎว่า มีให้เห็นออกจะบ่อยไป ที่ บางคน ออกจากวัดมาแล้วยังเข้าบ้านไม่ได้.....    เพราะมีธุระต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า สักระยะหนึ่งก่อน ก็มี จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 04:05:53

ความคิดเห็นที่ 22 ผมว่า  พระเจ้าปายาสิ  ก่อนที่จะได้ฟังพระสัทธรรม  ท่านไม่เคย ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา มิจฉาทิฏฐิที่พระเจ้าปายาสิเคยมี(ไม่เชื่อโลกหน้ามี) http://larndham.org/index.php?/topic/12737-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%80/page__st__16 ลัทธินัตถิกทิฏฐิ กล่าวโดยเนื้อหาก็คือปรัชญาจากการมีรากฐานอยู่ก่อนแล้วในระบบความคิดความเชื่อเดิมของสังคมอินเดียหากเทียบกับลัทธิปรัชญาตะวันตกนัตถิกทิฏฐิก็คือปรัชญาวัตถุนิยม (Mate-rialistic philosophy) ซึ่งผู้ศึกษาปรัชญาสายตะวันออกและตะวันตกย่อมจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว หลักการทั่วไปของลัทธินัตถิกทิฏฐิ หรือปรัชญาวัตถุนิยมของตะวันตก(Materialistic philosophy) มีเนื้อหาสอดคล้องกันตรงที่ต่างยอมรับว่าโลกและชีวิตเป็นผลผลิตของการรวมกันอย่างลงตัวของวัตถุหรือสสาร ไม่มีจิตวิญญาณที่เป็นนามธรรม ความจริงมีอยู่เฉพาะในโลกแห่งวัตถุและความจริงนี้ต้องพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสเท่านั้น ไม่มีความจริงอื่นนอกเหนือไปกว่านี้ แต่พระพุทธศาสนากล่าวว่า ความจริงไม่ได้มีอยู่เฉพาะในโลกแห่งวัตถุหรือสสารเท่านั้น ยังมีความจริงอีกมากมายที่เรามองไม่เห็น พิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แต่อาจพิสูจน์และสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสที่ ๖ (ESP = Extra Sensory Perception) คือจิตหรือใจ เมื่อวัตถุนิยมปฏิเสธความจริงทางนามธรรม ก็เท่ากับปฏิเสธเรื่องบุญ บาป ความดี ความชั่ว กฏแห่งกรรม เทวดา พระนิพพาน และพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งพระนิพพานด้วย การปฏิเสธบุญบาป เป็นต้น ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธระบบคุณค่าหรือกฏเกณฑ์ทางศีลธรรมจริยธรรมที่ทำให้สังคมดำรงอยู่อย่างสงบร่มเย็นไปด้วยโดยปริยาย ผู้ที่เชื่อในลัทธิวัตถุนิยมจึงใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งไปในการแสวงหาความสุขจากการสนองตัณหา หรือการกิน ดื่ม สืบพันธุ์ หรือกิน กาม เกียรติ และการเสพบริโภคอย่างเต็มที่ ไม่คำนึงถึงคุณค่าทางจิตใจ ให้ความสำคัญต่อวัตถุและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเงิน รถ บ้าน กามารมณ์ เป็นต้น ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่อาจถือเอาเป็นสรณะที่สามารถให้คำตอบสุดท้ายกับชีวิตได้แทบทั้งหมด กล่าวโดยรวมคือสนใจโลกียสุขมากกว่าจะแสวงหาโลกุตรสุขที่อยู่เลยพ้นขึ้นไปจากสุขทางประสาทสัมผัสทั้ง ๕ เมื่อกล่าวโดยเคร่งครัดลัทธิวัตถุนิยมของพระเจ้ายาปาสิจึงไม่ได้หายไปจากความคิดความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบัน หากแต่ได้คลี่คลายขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมิ่งนักในนามของลัทธิวัตถุนิยม บริโภคนิยม ที่กำลังแผ่อิทธิพลครอบงำไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้นั่นเอง จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 07:13:39

ความคิดเห็นที่ 23 ศึกษา ฉผัสสายติกนรก ฉผัสสายติกสวรรค ตามที่ตรัสว่า เนื่องกับ สาสวาสัมมาทิฏฐิ ไม่ฝักฝ่าย สัใสตทิฏฐิ อย่างไร จะได้. ไ่ม่ ทำนอง ดักแด้. ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 08:10:07

ความคิดเห็นที่ 24 คุณป้อม เราก็เคยตั้งกระทู้ถามคล้ายๆ อย่างนี้ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11333767/Y11333767.html จำได้่ว่ารอคำตอบอยู่เป็นวันก็ไม่มีใครเข้ามาตอบ :) จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 08:32:01

ความคิดเห็นที่ 25 คุณรถเรณู ขอบคุณค่ะ งั้นในกระทู้น่าจะพิมพ์เป็นชาติก่อน ชาติหน้า นะคะ ความเชื่อตอนนี้ของ จขกท ก็คล้ายๆ ของท่าน Rinta ส่วนภพภูมิ นรก สวรรค์ ชาติก่อน ชาติหน้า จขกท หมายถึง ตามพระไตรปิฎกตามอักษรเลยค่ะ ไม่ใช่บุคคลาธิษฐาน ประโยชน์ของสมาธิที่คุณรถเรณูกล่าวนี่เค้ากำหนดจิตอย่างไรคะ เหมือนของพระพุทธศาสนาหรือไม่อย่างไรคะ คำว่า "นั่งอย่างถูกวิธี" ทำให้นึกถึงอจินไตย 4 ข้อ ข้อที่ 2 เรื่องฌานวิสัย เรียนถามคุณรถเรณูว่าเข้าใจว่าอย่างไรคะ แล้วอจินไตยนี่มาจากพระพุทธองค์ตรัสหรือว่าจากพระเถระคะ (เรียนถามทุกท่านด้วยเลยค่ะ) ขอบพระคุณค่ะ จากคุณ : จขกท (GravityOfLove) เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 09:01:11

ความคิดเห็นที่ 26 คห 22 ท่านเฉลิมศักดิ์ คห 23 ท่านเซน กำลังอ่านอยู่นะคะ เพราะต้องอ่านตอนเงียบๆ ขอบพระคุณค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 09:07:05

ความคิดเห็นที่ 27 อ่านลิงค์ตามที่คุณเฉลิมศักดิ์ให้มาจบแล้วค่ะ ขออนุญาตนำมาตัดแปะที่นี่นะคะเพราะไม่ยาวจนเกินไป วิวาทะเรื่อง “ โลกหน้าไม่มี โอปปาติกสัตว์ไม่มี ผลแห่งกรรมดี กรรมชั่วไม่มี” เป็นต้น อันเป็นที่มาของปัญหาพระเจ้าปายาสิเกิดขึ้นจากการถาม-ตอบ ของสองนักปราชญ์ร่วมพุทธสมัย คนหนึ่งเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา...พระมหาเถระผู้ใหญ่องค์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า พระกุมารกัสสปะ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคฤหัสถ์ ครองฆารวาสวิสัย มีสถานภาพทางสังคมเป็นผู้ครองนครมิใช่กษัตริย์คือพระเจ้าปายาสิพระองค์เป็นนักคิด นักปรัชญาชั้นนำที่เชื่อใน “ลัทธินัตถิกทิฏฐิ” (ลัทธิที่ปฏิเสธผลของกรรมดี กรรมชั่ว โลกหน้า ศีลธรรม จริยธรรม หรือระบบคุณค่าที่ยังความสงบร่มเย็นให้เกิดขึ้นในสังคม = Nihilism) ลัทธินี้มีสารัตถะอย่างไรได้กล่าวไว้ในปายาสิราชัญญสูตร มีความโดดเด่นทั้งด้านตัวบุคคล เนื้อหา และรูปแบบในการนำเสนอพุทธธรรม ด้านบุคคล พระกุมารกัสสปะทำหน้าที่เป็นดังตัวแทนของชาวพุทธชั้นนำ พระเจ้าปายาสิเองก็เป็นตัวแทนของผู้เชื่อมั่นศรัทธาในลัทธินัตถิกทิฏฐิอันเป็นลัทธิมิจฉาทิฏฐิร่วมพุทธสมัยชั้นแนวหน้า เนื้อหานั้นเล่าก็คมคายด้วยพุทธธรรมและมากด้วยอุปมาอุปไมย ส่วนรูปแบบก็แตกต่างจากการแสดงธรรมโดยทั่วไปเพราะมีรูปแบบเป็นการถาม-ตอบที่ชวนให้เกิดอรรถรสไม่รู้สึกว่ายืดเยื้อเหมือนบางพระสูตรที่มีเนื้อหายากและยาวกว่าจะอ่านจบก็หมดความสนใจเสียก่อน การพบกันของนักปราชญ์ทั้งสองท่านเกิดขึ้นที่ป่าไม้สีเสียดทางตอนเหนือของนครเสตัพยะ พระเจ้าปายาสิ พร้อมทั้งข้าราชบริพาร และประชาชนต่างได้รับธรรมรสอันเป็นผลจากการสนทนาธรรมครั้งนี้อย่างเต็มอิ่ม -------------------------------- น่าติดตามมากค่ะ คืนนี้จะอ่านพระสูตรนี้ค่ะ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=10&A=6765&w=%BB%D2%C2%D2%CA%D4%C3%D2%AA%D1%AD%AD%CA%D9%B5%C3 -------------------------------- สาระสำคัญของปายาสิราชัญสูตรสรุปได้เป็น ๕ ประการ คือ ๑.โลกอื่นนอกจากมนุษย์โลกนี้มีอยู่จริง ๒.คนตายแล้ว (ถ้ายังมีกิเลสอยู่) ก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกจริง ๓.กฏแห่งกรรมมีจริงและส่งผลต่อความเป็นไปในชีวิตของคนเราได้จริง ๔.เทวดาซึ่งเป็นสภาพชีวิต (Being) อย่างอื่นนอกเหนือออกไปจากมนุษย์มีอยู่จริง ๕.การทำบุญด้วยการให้ทานเป็นต้น มีผลต่อวิถีชีวิตในโลกนี้และโลกหน้าได้จริง จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในปายาสิราชัญญสูตรทั้งหมด ก็เป็นอันยืนยันได้อย่างไม่ต้องกังขาอีกแล้วว่าเรื่องโลกหน้า เทวดา บุญ บาป กฏแห่งกรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลักฐานชัดเจนอย่างนี้ ก็ยังมีอยู่เสมอที่มีผู้เห็นต่างออกไป หรือเห็นตรงกันข้ามว่า ถึงอย่างไรเสียโลกหน้า ฯลฯ กฏแห่งกรรม เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ทั้งนี้เพราะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ สำหรับบุคคลที่เน้นหนักไปทางเหตุผลเชิงประจักษ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงคำนึงถึงด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ทรงเตรียมทางออกไว้ให้แล้วด้วย นั่นคือ ทรงชี้ให้เห็นอย่างเป็นกลางๆ ว่า ถ้าเชื่อเรื่องโลกหน้า เป็นต้นแล้ว จะมีผลอย่างไร และถ้าไม่เชื่อแล้วผลจะเป็นอย่างไร ขอให้พิจารณาจากพระพุทธวัจนะดังต่อไปนี้ สำหรับผู้ที่เชื่อย่อมมีข้อดี ๔ ประการ “ทำบาปก็ชื่อว่าไม่ทำบาป” หมายความว่า เมื่อบุคคลทำบาป (กรรมชั่ว) ลงไปแล้ว กรรมชั่วนั้นจะไม่ส่งผลอะไรอีก ทำอะไรลงไปก็จบลงตรงนั้น ไม่มีผลสะท้อนกลับมาในลักษณะกฏแห่งกรรมแต่อย่างใด, สำหรับคนที่เชื่ออย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะนำว่า ถ้าความจริง (ในทัศนะของพวกเขา) เป็นอย่างนั้น (คือผลบุญผลบาปไม่มี) การที่พวกเขาสมัครใจจะเชื่อเช่นนั้นก็ย่อมเป็นสิทธิ์ที่สามารถจะทำได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าพวกเขายังคงพากันทำแต่ความดีเอาไว้ในชีวิตนี้ ความดีที่ทำไว้ก็จะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขชนิดทันตาเห็น และถ้าเกิดว่า โลกหน้ามีจริง (ถึงแม้พวกเขาจะไม่เชื่อก็ตาม) พวกเขาก็ยังได้กำไรอยู่ดีเพราะได้ทำความดีเป็นทุนเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้น การทำดี (ของคนที่ไม่เชื่อเรื่องผลบุญผลบาปหรือเรื่องโลกหน้า) ไม่ว่าจะมองจากมุมของคนที่เชื่อก็ล้วนต่ได้กำไรทั้งสองด้าน, ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น มองอย่างไรก็มีแต่เสีย เพราะเมื่อไม่เชื่อก็จะใช้ชีวิตในปัจจุบันชาติอย่างประมาทมัวเมา ผลก็คือในชีวิตนี้มีแต่ความทุกข์ ครั้นล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว กรรมชั่วก็จะตามให้ผลไปถึงภพหน้าอีก เรียกได้ว่า “เสียทั้งสองสถาน” (อุภโตภัฏฐะ) คือ ปัจจุบันชาติก็เสียเพราะทำความชั่วเอาไว้มากชีวิตจึงมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายไม่สงบ ส่วนชาติหน้านั้นเล่าก็เสียซ้ำอีก เพราะต้องรับทุกข์หนักจากผลแห่งกรรมที่ตนเป็นคนทำเอาไว้ในชาตินี้คอยตามไปรังควานอยู่มิรู้แล้ว , พระพุทธพจน์ตอนนี้นอกจากแสดงทางออกหรือท่าทีที่พึงปฏิบัติต่อเรื่องบุญบาป โลกหน้า เป็นต้นแล้ว ยังแสดงถึงลักษณะการให้ “เสรีภาพทางความเชื่อ/ทางปัญญา” แก่พุทธศาสนิกชนอย่างเต็มที่อีกด้วย ---------------------------------------- ขอบพระคุณคุณเฉลิมศักดิ์ค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 14:22:34

ความคิดเห็นที่ 28 #23 ท่านเซนต้องการจะสื่อว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจใช่ไม๊คะ Search ดูกระทู้เก่าๆ เกี่ยวกับเรื่้องนี้พบใน http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/08/Y10995077/Y10995077.html นับว่ามีการถกกันด้วยเหตุผลสมกับเวบคุณภาพจริงๆ --------------------------------------- จขกท สรุปให้ตัวเองในเบื้องต้นว่าถ้าเชื่อในพระสัทธรรม ทำความดีในชีวิตนี้ผลดีย่อมปรากฏในชีวิตนี้เป็นอย่างน้อย เมื่อตายไปหากสวรรค์มีจริงก็ได้ขึ้นสวรรค์ ส่วนคำถามในกระทู้คิดว่าได้คำตอบพอสมควรแล้วค่ะ ส่วนข้อสงสัยที่ว่าบางวัดปฏิเสธนรกสวรรค์แต่จัดอบรมอานาปานสติสูตร เป็นเพราะท่านเห็นว่านรกสวรรค์อยู่ในชาตินี้นี่เอง ปล. เสริม คห. 25 ค่ะ ที่ถามคือไม่ได้หมายความว่านั่งสมาธิจนวิปลาสนะคะ ตั้งใจจะตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่ปฏิเสธภพภูมิ นรกสวรรค์เป็นเพราะไม่ได้ฌานอภิญญา ไม่ได้เห็นเอง มามัวนั่งคิดเองคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เลยปฏิเสธไปดื้อๆ ว่าไม่มี หรือเอาเป็นว่ามีก็ได้แต่มีในชีวิตนี้ก็แล้วกัน ขอบพระคุณทุกๆ ท่านค่ะ จากคุณ : GravityOfLove เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 14:56:15