 |
โสเภณีอีกคนที่ผมจะพูดถึง ชื่อ สิริมา ชื่อเพราะเสียด้วย สิริมาเธอเป็นน้องสาวของหมอชีวก ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหญิงนครโสเภณีต่อจากสาลวดี มารดาของเธอ เรียกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว หรือลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ว่ากันว่าค่าตัวเธอประตูละพันกหาปณะเชียวแหละ กหาปณะหนึ่งคิดเป็นเงินไทยก็ตกราว ๔ บาท พันกหาปณะก็ ๔,๐๐๐ บาท ชายหนุ่มระดับกระจอกๆ ไม่มีปัญญาได้เป็น “แขก” เธอหรอก นอกจากเศรษฐีเงินถุงเงินถัง
วิถีชีวิตของหญิงโสเภณีไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับวัดวาศาสนาเพราะอาชีพสวนทางกัน แต่นางสิริมากลับกลายเป็นสาวิกาผู้ใจบุญ อุปถัมภ์ค้ำชูพระศาสดาจนตลอดอายุขัย
เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งนางได้รับจ้างให้ไปเป็น “เมียเช่า” ของเศรษฐีคนหนึ่ง นัยว่าเมียอีตาคนนี้เป็นคนเคร่งครัดในศาสนา ถือศีลอุโบสถ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ แต่อีตาเศรษฐีสามีแกไม่ถือศีลด้วย คอยสะกิดสีข้างทุกคืน เมียแกจึงไปว่าจ้างโสเภณีสิริมาทำหน้าที่ภรรยาแทนตน สามีก็ไม่ขัดข้อง ชอบเสียอีกที่ได้เปลี่ยนรสเปลี่ยนชาติ
อยู่กับสามีคนอื่นนานเข้า สิริมาเธอนึกอยากจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คิดกำจัดภรรยาเขาฮุบเอาสมบัติ แต่ทำยังไงๆ อุบาสิกาผู้เคร่งศีลก็ไม่โกรธ จนสิริมาแกรู้สำนึกในความผิดของตนในภายหลังจึงขอขมา อุบาสิกาแกยกโทษให้พร้อมแนะนำให้ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
หลังจากพบพระพุทธเจ้าแล้ว สิริมาเธอมีความเลื่อมใสในพระศาสนา บำเพ็ญตนเป็นสาวิกาที่ดี ทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์วันละ ๘ องค์ทุกวัน
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งไปบิณฑบาตบ้านนางสิริมาแล้วไปคุยถึงความงามของนางให้อีกรูปหนึ่งฟัง พระหนุ่มรูปนั้นได้ฟังก็หูผึ่ง “นางสิริมานี่งามจริงๆ หรือ”
“หยาดฟ้ามาดินเชียวแหละคุณเอ๊ย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ผู้หญิงอะไรงามไปหมดทั่วสรรพางค์”
“งามเท่าอาภัสรามั้ย”
“ต่อให้อาภัสราบวกอรัญญา บวกเออร์เนล่า มูติ บวกฟาร์ราห์ ฟอร์เซ็ต ก็งามสู้เธอไม่ได้” (หมายเหตุ-บุคคลเหล่านี้มีชีวิตอยู่สมัยพระพุทธเจ้านะเออ อย่าสับสนกับคนสมัยนี้)
ได้ยินเกียรติคุณแห่งความงามของนาง พระหนุ่มอยากพบหน้าเธอเป็นกำลัง ตื่นเช้าขึ้นคว้าบาตรได้เดินลิ่วตรงไปยังบ้านเธอทันที บังเอิญ วันนั้นหลังจากใส่บาตรแล้วเธอป่วยกะทันหัน รุ่งเช้าขึ้นเธอให้คนพยุงออกมาใส่บาตร พระหนุ่มก็เห็นหน้าเธอเท่านั้น รำพึงในใจว่า
“โอ้โฮ ! ขณะไม่สบายเธอยังสวยงามถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ป่วยไข้เธอจะงามขนาดไหนหนอ”
กลับถึงวัดข้าวปลาไม่ยอมฉัน เอาจีวรคลุมศีรษะนอนครางหงิงๆ อยู่คนเดียว
มิไยพระเพื่อนพ้องจะปลอบโยนยังไงก็ไม่ฟัง
กามเทพแกเล่นพิลึกแผลงศรปักหัวใจพระหนุ่มเข้าแล้วละครับ
นอนซมด้วยไข้ใจถึง ๓ วัน ๓ คืน ไม่แตะต้องข้าวปลาอาหาร โดยไม่รู้ว่านางสิริมาผู้เลอโฉมถึงแก่กรรมลงในคืนวันที่ตนไปรับบาตรนั่นเอง
พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับสาวกหนุ่มของพระองค์ พอได้ข่าวนางสิริมาตายจึงรับสั่งไปยังพระเจ้าพิมพิสารว่าอย่าเพิ่งเผานางสิริมา ขอให้นำศพเธอไปทิ้งไว้ที่ป่าช้าผีดิบสัก ๓ วัน พอครบ ๓ วันพระองค์รับสั่งให้บอกเหล่าพระสงฆ์สาวกว่าวันนี้ให้พระทั้งหมดไปดูนางสิริมา
พระหนุ่มผู้ต้องศรกามเทพพอได้ยินคำว่าสิริมาก็ผลุดลุกขึ้นคว้าจีวรห่มแล้วกระโดดลงกุฏิแจ้นไปทันที
พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้ในหลวงประกาศแก่คนทั่วไปว่า ใครอยากได้นางสิริมาไปนอนด้วยให้จ่ายค่าตัวพันกหาปณะ สิ้นเสียงประกาศมีแต่ความเงียบวังเวง ไม่มีใครรับข้อเสนอ
“ใครจ่ายห้าร้อยรับเอาเธอไป”
“สองร้อย”
“หนึ่งร้อย”
“ห้าสิบ”
“สิบ”
“หนึ่งกหาปณะ”
“หนึ่งมาสก”
“หนึ่งกากณิก”
“ถ้าอย่างนั้นใครอยากได้เปล่าๆ เอาไปเลย”
เงียบ !
พระศาสดาทรงหันมาตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า
“ดูเอาเถิดภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนใครอยากจะอยู่ร่วมกับเธอ เพียงครู่เดียวต้องจ่ายเงินถึงพันกหาปณะ บัดนี้ยกให้ใครเปล่าๆ ก็ไม่มีใครเอา ร่างกายนี้แหละที่ใครต่อใครแย่งกันเพื่อหวังครอบครอง บัดนี้หาค่าอันใดมิได้ ทุกอย่างมันช่างฝันแปรไม่แน่นอนอะไรเช่นนี้”
ปัสสะ จิตตะกะตัง พิมพัง อรุกายัง สะมุสสิตัง อาตุรัง พะหุสังกัปปัง ยัสสะ นัตถิ ธุวัง ฐิติ
จงดูร่างกายที่ว่าสวยงามนี้เถิด เต็มไปด้วยแผล สร้างขึ้นด้วยกระดูก เต็มไปด้วยโรค มากด้วยความครุ่นคิดปรารถนา หาความยั่งยืนถาวรมิได้
ตรัสจบพลางชำเลืองสายพระเนตรมายังภิกษุหนุ่มผู้ต้องศรกามเทพที่ยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์
ศรรักที่ปักอกเธอได้ถูกถอนออกแล้ว เธอได้ฟื้นตื่นจากความลุ่มหลงงมงายในบัดดล
เห็นหรือยังครับ โสเภณีที่คลุกคลีอยู่ในทะเลตัณหายังช่วยให้พระบรรลุธรรมได้
จากคุณ |
:
Mr.Terran
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ธ.ค. 54 22:31:20
|
|
|
|
 |