Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โสเภณีกับพระพุทธศาสนา ..เสฐียรพงษ์ วรรณปก ติดต่อทีมงาน

โสเภณี ย่อมาจากคำเต็มว่า นครโสเภณี ซึ่งดีทั้งทางความหมายและเกียรติยศ

นครโสเภณี แปลว่า สตรีที่ยังนครให้งาม หรือสตรีงามเมือง ชื่อนี้เป็นตำแหน่งที่พระราชามหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเชียวนะครับ ไม่ใช่ย่อยๆ คนที่ได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นสตรีที่งามเลิศจริงๆ ผ่านการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่แพ้ประกวดนางสาวจักรวาลเชียวแหละ

ธรรมเนียมการแต่งตั้งหญิงนครโสเภณี ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่เมืองไพศาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชีก่อน แคว้นนี้มีความคิดก้าวหน้าในด้านต่างๆ มาก ทางการปกครองก็นำเอาระบบรีพับลิก หรือสาธารณรัฐมาใช้ ผู้ปกครองเมืองต้องผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนอยู่กันเป็นเทอม หมดเทอมก็ออกเลือกตั้งผู้ปกครองใหม่ขึ้นมาแทน

วัตถุประสงค์ของการแต่งตั้งสตรีงามเมือง เพื่อดึงดูดใจเงินตราต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ

กษัตริย์ และพวกพ่อค้าวาณิชต่างเมือง เมื่อรู้ว่าเมืองไหนมีหญิงงามเมืองเลอโฉม ก็พากันไปเที่ยวหาความสำราญ ขนเงินขนทองไปให้คราวละมากๆ เธอจึงเสมือนแม่เหล็กดูดเงินตราเข้าประเทศอย่างมหาศาล เจ้าของประเทศไม่ต้องทำอะไร นั่งนับเงินมือเป็นหวัดทีเดียว

นับว่าพวกวัชชีนี้หัวแหลมจริงๆ

นางนครโสเภณีของเมืองไพศาลีคนหนึ่ง ที่เดินเข้ามาในประวัติพุทธศาสนา จนผมต้องนำมาจั่วหัวเรื่องว่า “โสเภณีกับพระพุทธศาสนา” นั้นชื่อว่า อัมพปาลี พูดถึงความงามก็คงไม่แพ้นางสาวโลกนางสาวจักรวาลสมัยนี้แน่ เท่าที่ทราบจากหลักฐานที่จารึกไว้เธอเป็นตัวเงินตัวทองดึงดูดเงินตราเข้า ประเทศอย่างมหาศาล

ขนาด พระเจ้าพิมพิสาร อยู่ถึงเมืองราชคฤห์ ก็เทียวไล้เทียวขื่อเป็น “ขาประจำ” ของเธออย่างสม่ำเสมอ

กษัตริย์องค์นี้ ตำราศาสนาว่า เป็นโสดาบันเสียด้วยซ้ำ

ไม่ทราบว่า ตอนที่เข้าออก “ซ่อง” อยู่ทุกบ่อยนี้เป็นโสดาบันหรือยัง หรือว่ามาบรรลุธรรมเอาทีหลัง ตำรามิได้บอกไว้ แต่ถ้าเป็นอย่างแรกก็แสดงว่านางอัมพปาลีนี่มีเสน่ห์มิใช่ย่อยเอาทีเดียว

ขนาดพระโสดาบันยังหลง ว่างั้นเถอะ

พิเคราะห์ดูตามประวัติ กษัตริย์พิมพิสารคงเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญเอาการอยู่ ไม่ว่าเมืองไหนมีนางงามเมือง ไปเที่ยวหมด อย่างเมืองอุชเชนี แคว้นอวันตี อยู่ห่างเมืองราชคฤห์ตั้งหลายร้อยโยชน์ ท้าวเธอยังไปย่ำมาซะโชกโชน เผลอไผลลืมใส่ “มีชัย” หรือไงไม่ทราบ (สมัยนั้นมีหรือยังตำราไม่ได้บอกไว้) ไปไข่ทิ้งไว้ให้ นางปทุมวดี นางงามเมืองผู้เลอโฉมของอุชเชนี เข้าจนได้

พอคลอดออกมาแม่ก็เลยส่งลูกชายมาให้กษัตริย์พิมพิสารเลี้ยงไว้ในวังเมืองราชคฤห์ ลูกชายคนนี้ชื่อ เจ้าอภัยราชกุมาร ผู้เป็นพ่อเลี้ยงหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งผมจะเล่าทีหลัง

ระยะที่พิมพิสารไปมาหาสู่นางอัมพปาลีอยู่นั้นเอง นางก็ตั้งครรภ์ขึ้นด้วยความประมาท คลอดออกมาเป็นชาย ตั้งชื่อให้ว่า วิมล ว่ากันว่าเจ้าหนูน้อยวิมลคนนี้ก็เป็นผลงานของพิมพิสารกษัตริย์โสดาบันเจ้าสำราญเหมือนกัน ดีที่แม่เธอไม่ส่งให้ไปเลี้ยงไว้อีก ไม่งั้นราชสำนักเมืองราชคฤห์คงเต็มไปด้วยลูกนางโสเภณี

หลังจากขนเงินไปทิ้งให้ประเทศเพื่อนบ้านมากแล้ว พิมพิสารก็ได้คิดว่าตนเองน่าจะหาทางดูดเงินกลับคืนมาบ้าง จึงสั่งให้ประกวดสาวงามทั่วกรุงเพื่อแต่งตั้งเป็นนางนครโสเภณี ผลการประกวดปรากฏว่าสตรีแน่งน้อยนาม สาลวดี ชนะที่ ๑ และได้รับแต่งตั้งให้รับตำแหน่งที่เชิดชูตาของนครราชคฤห์

ไม่ต้องสงสัย พิมพิสารย่อมเป็นคน “เบิกฤกษ์” เป็นคนแรกและเทียวไล้เทียวขื่อมิได้ขาด จนกระทั่งได้ลูกชายด้วยความเผลอมาคนหนึ่ง บังเอิญเด็กคนนี้กลายเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในคราวต่อมา จึงขอเล่าเรื่องโดยละเอียด ณ ที่นี้ซะเลย

พอรู้ว่าตั้งครรภ์ สาลวดีเธอก็งดรับแขก ใครมาหาเธอก็สั่งให้บอกว่าไม่สบาย ไม่พร้อมที่จะรับแขก จนกระทั่งคลอดลูกเป็นชาย เธอตัดสินใจสั่งให้เอาไปทิ้ง ใครจะว่าใจยักษ์ใจมารก็ช่างเถอะ ถ้าใครๆ รู้ว่าเธอมีลูก ราคาเธอคงจะตกฮวบฮาบ หรือไม่อาจถูก “ปลด” ออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรติก็ได้ (อย่าลืมนะครับ สมัยโน้นโสเภณีมีเกียรติมาก มิได้เป็นกันง่ายๆ อย่างสมัยนี้) เธอสั่งให้นำลูกไปทิ้งในที่ที่จะมีคนเดินไปพบ เผื่อบุญวาสนาส่งลูกชายเธออาจมีผู้มีอันจะกินนำไปอุปการะก็ได้

นับว่าเธอคาดการณ์ไม่ผิด หรือชะรอยจะเป็นบุญของเด็กน้อยก็มิทราบ เช้าวันนั้น อภัยราชกุมารโอรสกษัตริย์พิมพิสาร ออกมอร์นิ่งวอล์กแต่เช้าพร้อมกับข้าราชบริพาร ได้เห็นกาฝูงหนึ่งร้องเซ็งแซ่อยู่ข้างหน้า จึงรับสั่งให้มหาดเล็กวิ่งไปดูว่าฝูงกามันรุมล้อมอะไร

มหาดเล็กกลับมาทูลว่า เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าใครนำมาทิ้งไว้

รับสั่งถามว่า มีชีวิตอยู่หรือเปล่า

“มีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ” (ตรงนี้ภาษาบาลีว่า ชีวโก = ยังมีชีวิตอยู่)

ได้ยินคำกราบทูลของมหาดเล็ก อภัยราชกุมารทรงสาวพระบาทไปใกล้ ทอดพระเนตรเห็นทารกน้อยดิ้นกระแด่วๆๆ อย่างน่าสงสาร จึงสั่งให้นำเข้าวัง เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมรับไว้เป็นโอรสบุญธรรมต่อมา

อาศัยคำกราบทูลของมหาดเล็กว่า ยังมีชีวิตอยู่ (ชีวโก) จึงทรงตั้งชื่อบุตรบุญธรรมว่า ชีวกโกมารภัจจ์

ต่อมาเมื่อโตขึ้น ชีวกถูกพวกเด็กๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะจึงหนีพ่อเลี้ยงไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา

วิชาที่เจ้าหนูชีวกเรียนคือ วิชาแพทย์ หนีพ่อไป ไม่ได้นำเงินติดตัวไปไม่มีค่าเล่าเรียนให้อาจารย์ เลยอาสาอยู่รับใช้อาจารย์สารพัดแล้วแต่อาจารย์จะใช้ อาศัยเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพเชื่อฟังอาจารย์เป็นอย่างดี จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ มีศิลปวิทยาเท่าไรอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้หมดไม่ปิดบังอำพราง

 
 

จากคุณ : Mr.Terran
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 22:21:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com