|
อ้างอิง สํ.นิ.16/170/90
http://www.84000.org/tipitaka/read/?16/170/90
[๑๗๐] พราหมณ์นั้น ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คนนั้นทำเหตุ คนนั้นเสวยผลหรือหนอ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์ โวหารนี้ว่า คนนั้นทำเหตุ คนนั้นเสวยผล เป็นส่วนสุดที่หนึ่ง
พราหมณ์นั้นทูลถามว่า พระโคดมผู้เจริญ ก็คนอื่นทำเหตุ คนอื่นเสวยผลหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพราหมณ์ โวหารนี้ว่า คนอื่นทำเหตุ คนอื่นเสวยผลเป็นส่วนสุดที่สอง
ดูกรพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับเพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
--------------------------------------------------------
เล่าสู่กันฟังนะครับ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อ เรอเน่ เดส์การ์ตส์ (Ren? Descartes)
ได้เขียน ประโยคซึ่งถือได้ว่าเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางในการศึกษาวิชาปรัชญาสมัยใหม่ คือ
I think, therefore, I am. ฉันคิด ดังนั้น ฉันจึงมีอยู่
( ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าประโยคนี้ ผู้พูดยังมีมิจฉาทิฎฐิ ถ้าเทียบกับผู้ศึกษาพระพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังมีมิจฉาทิฏฐิคือ ฉันมีความสุขจากการบรรลุนิพพาน ฉันจึงมีอยู่ เมื่อเขาเหล่านั้นมีทิฏฐิเช่นนี้นิพพานในความหมายที่เขารับรู้ย่อมไม่ใช่นิพพานเดียวกันกับนิพพานในพระพุทธศาสนา (เข้าใจผิดสภาวะนิพพาน)) ข้อความนี้ ทำให้ทราบได้ว่า ในหมู่มนุษย์บางพวกมีความเข้าใจว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่คิดได้ และความรู้สึกนึกคิดย่อมส่งผลทำให้เกิด อัตลักษณ์ของมนุษย์แต่ละคน และเมื่อสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ย่อมทำให้เขาเข้าใจว่า มีตัวตนของตนเองอยู่ในโลกนี้หรือโลกหน้า...ความทุกข์ทั้งหลายย่อมมีอยู่ในหมู่มนุษย์ที่มีทิฏฐิ ยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้
ผู้ที่ยังติดแน่นกับความรู้สึกว่ามีตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่งของตนเองอยู่ในภพภูมิต่างๆอย่างเหนี่ยวแน่น
เป็นอาการของจิตที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 หรือเรียกสั้นๆว่ายังมี "อุปาทานขันธ์ 5"
พระผู้มีพระภาคฯทรงค้นพบสัจจธรรมที่สามารถทำให้มนุษย์สามารถที่จะละอุปาทานขันธ์ 5 ในครั้งพุทธกาล ทรงสั่งสอนหมู่สัตว์ที่มี "ธุลีน้อย" ได้ประสบความสำเร็จ บรรลุเป็นอริยบุคคลมากมาย
ในเบื้องแรกของการที่ปุถุชนจะมีจิตใจที่พัฒนาถึงขั้นเป็นอริยบุคคลในทางพระพุทธศาสนาจะมีปัญญารู้ความจริง คือ
มีญาณหยั่งรู้ความจริงที่เกิดจากการภาวนาจนสามารถที่จะ ละ "สักกายทิฏฐิ"
กายนี้เป็นเพียงธรรมชาติที่มีการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ไม่ได้เป็นสัตว์ บุคคล ตัวเรา ของเราหรือของใครอยู่แต่อย่างใด
(อันที่จริง จะใช้คำว่า ละ , พ้นออกไป หรือหลุดออกไปก็สุดแล้วแต่ตัวอักษรที่เขียน บางคนเข้าใจว่า ต้องละจากสภาวะหนึ่งเพื่อไปอีกสภาวะหนึ่ง
แต่โดยความจริงแล้ว สัจจธรรมได้ดำเนินไปอยู่แล้วตามธรรมชาติา คือ สิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาล มีลักษณะเป็น "อนัตตา" การภาวนาในพระพุทธศานาจึงมุ่งที่จะสร้างความรู้ ความเห็นที่ "ถูกต้อง"ต่อสัจจธรรม เป็นเหตุปัจจัยนำมาซึ่งการถอดถอนการยึดมั่นถือมั่นในกายนี้)
จากคุณ |
:
ต่อmcu
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ธ.ค. 54 07:37:03
|
|
|
|
|