เทคนิคบางอย่างที่ช่วยในการปฏิบัติ
1. "ขณะภาวนา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการภาวนา ระลึกรู้ในสภาวะจริงๆ ไม่ใช่นึกคิดในหัวข้อธรรมหรือในปริยัติ จิตที่คิดฟุ้งในชื่อสมมติของธรรมะต่างๆ เป็นความฟุ้งซ่าน ไม่ใช่การทำวิปัสสนา"
2."ธรรมะที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงท่องจำ แต่จะปรากฎอยู่ในรูป-นาม ขณะที่ท่านกำลังเจริญสติตามรู้ ตามดู ตามสังเกตรูปหรือนามอยู่เนืองๆนั่นเอง"
การประยุกต์ใช้ "สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต" ในการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้
โดยการมีสติระลึกรู้สภาวะในรูปหรือนาม ณ "ปัจจุบันขณะ"(มีสติอยู่กับปรมัตถ์ หรือ มีสติอยู่กับสมมติ แล้วแต่ความเหมาะสมในสถานการณ์ ณ ขณะนั้นๆ)
ตัวอย่างพอสังเขป ในกิจกรรมต่างๆการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
**ใช้วิจารณญาณของแต่ละท่านนะครับ**
หากใครเห็นว่าสามารถทำได้ก็ลองทำดู หากใครมีวิธีที่ดีกว่าก็ทำวิธีที่ถนัดนะครับ หรือเห็นว่าไม่ถูกต้องก็ลองศึกษาวิธีอื่นๆดูครับ
โดยแนวทางคือการใช้วิธีนำหลักการจากข้อมูลครูบาอาจารย์ที่ผมลงให้เป็นแนวทาง
"หากการสื่อสารแล้ว บางท่านยังไม่เข้าใจ ก็ใช้วิธีการเจริญสติไปในทุกๆกิจกรรมที่ทำไปก่อนได้ครับ(ยังไม่ต้องไปสนใจคำว่า ปรมัตถ์หรือสมมติ แต่เจริญสติ ระลึกสิ่งที่ทำเฉพาะหน้าในขณะนั้นๆไป)"
----->
-เมื่อตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตขณะนั้น
1.ศึกษาอารมณ์ที่มากระทบใจ เช่น บางคนมีความรู้สึกง่วงนอน ก็ ศึกษา ณ ขณะนั้นๆของลักษณะอาการ "ง่วงนอน"เป็นอย่างไร (ทำเสมือนกำลังดูอาการ ง่วงนอนนั้นเฉยๆ ไม่ยึดเป็นเจ้าของอาการง่วงนอน และไม่ตีความว่านี้คืออาการง่วงนอน เป็นการฝึกมีสติอยู่กับปรมัตสัจจะ)
เมื่อศึกษาและทำบ่อยๆ ความทุกข์จากความง่วงนอนจะค่อยๆหายไป เนื่องจาก จิตมีอิสระเป็นกลางที่จะเฝ้าดูอารมณ์ที่มากระทบ ไม่เกาะเกี่ยวกิเลสที่เกิดความง่วงนอน
ผู้ที่ทำจนชำนาญและบ่อยๆจะสามารถสังเกตได้ว่าจิตจะมีการพัฒนาสูงขึ้นได้ เช่น จิตจะเกิดความอิ่มใจ และมีความสุขทางใจ เกิดขึ้น(มีองค์ธรรมของโพชฌงค์ เกิดขึ้น) หรือ 2.บางท่านเมื่อรู้สึกตัวจากการนอนแล้ว ใช้วิธีมีสติรู้ถึงอาการนอนของกาย และเมื่อเคลื่อนไหวก็รับรู้ถึง อาการไหวๆของกายเมื่อพลิกตัว
-เมื่อกำลังเดินไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นๆ คือ การรู้ถึงอาการเคลื่อนไหวของกาย (เช่น อาการตึง-หย่อนของอาการก้าวไป โดยไม่ตีความว่าเป็นขา หรือ แขนที่แกว่ง)เดินเข้าไปสู่ห้องน้ำ (การเดินไปที่ต่างๆ ใช้หลักประยุกต์จากการเดินจงกรมที่พวกเราฝึกกันในคอร์สการปฏิบัติธรรมหรือในวัดที่สอนวิปัสสนา หากทำได้ในชีวิตประจำวัน จะทำให้เกิดสมาธิตั้งอยู่ได้นานในการทำกิจกรรมอื่นๆ และมีความอดทนในการเดินทางไกล)
-เมื่อแปรงฟัน สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ ขณะนั้นๆ คือ รู้ถึงแขนที่ไหวไปมาจากการแปรงฟัน(ไม่ตีความว่าเป็น "แขน" เคลื่อนไหว เพียงแค่มีสติรับรู้ถึงอาการไหวๆตึงๆหย่อนๆ)
และรู้ตัวว่าแปรงฟันถึงซี่ไหน (หากจิตไปคิดเรื่องอื่นๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าคิดไปแล้ว ก็กลับมาที่การแปรงฟัน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนั้น ไม่ใช่การคิดเรื่องอื่นๆ ทั้งอดีตและอนาคต)
-เมื่อกินข้าวเช้า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรับรู้รสอาหาร (รู้รสชาติรวมๆเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายในรสชาติ ไม่ตีความว่าเป็นรสอะไร ไม่ตีความว่าเป็นรสจากอาหารอะไร) หรือ รับรู้อาการไหวๆของบริเวณใบหน้า(โดยไม่มีการตีความว่าเป็นใบหน้า เป็นการฝึกมีสติอยู่กับปรมัตสัจจะ)ที่ขยับไหวขึ้นลงบดอาหาร แต่หากต้องพูดคุยกับสมาชิกในบ้าน ก็มีสติรู้ว่ากำลังฟังเรื่องราว ทำความเข้าใจและ กำลังจะพูดคุยอะไร(ช่วงนี้คืออยู่กับสมมติสัจจะ) "ฝึกความชำนาญในการสลับระหว่างการมีสติอยู่กับปรมัตถ์และมีสติอยู่กับสมมติสัจจะ"
-เมื่อรอรถเมล์หรือรอรถไฟฟ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ มีสติรับรู้ถึงอาการยืนของกาย สลับกับการมองรถเมล์หรือรถไฟฟ้าที่กำลังผ่านมา
-เมื่อทำงาน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ตั้งใจทำงาน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนั้นคือ การทำงาน (แต่หากต้องเดินไปกินน้ำ กินข้าวหรือเข้าห้องน้ำ ก็สลับไปที่การมีสติกับปรมัตถ์ของอาการไหวเมื่อกายเคลื่อนไหว)
-เมื่อขับรถกลับบ้าน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความตั้งใจในการขับรถ รับรู้อารมณ์ที่กระทบด้วยจิตที่เป็นกลาง เช่น มีรถขับมาปาดหน้ารถเรา กับรู้เฉยๆว่ารถปาดหน้า แก้ไขไปตามเหตุการณ์ เช่น ต้องหักเลี้ยวเพื่อไม่ให้ชน แต่ไม่ต้องไปด่าว่า หรือ ไปแก้แค้นโดยขับไปปาดรถคันนั้น(แบบนี้มีตายมาหลายคนแล้ว ถูกเขายิงหรือแทงตาย) และเมื่อรู้สึกโกรธเจ้าของรถที่มาปาดหน้า ก็รับรู้ถึงอาการโกรธ(รู้ตัวว่ามีโทสะเกิดขึ้นแล้วในขณะนั้น) เมื่อรับรู้แล้ว ก็กลับมาตั้งใจขับรถต่อไป หากยังโกรธอยู่ ก็สลับมาดูอาการโทสะเป็นระยะๆ (เป็นผู้ดูอาการโกรธเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกับอาการโกรธ) สังเกตอาการของความโกรธลดลงหรือเพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ
-ก่อนนอน หากไม่มีกิจกรรมอื่น มีเวลาว่างในช่วงก่อนนอนและอยู่ในห้องที่สงัด ปราศจากคน สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นๆคือ การเจริญภาวนา หรือบางท่านใช้วิธีมีสติกับบทสวดมนตร์
การภาวนาแนะนำนั่งเจริญอานาปานสติ ผู้ที่เจริญอานาปานสติจนชำนาญ วิธีนี้จะเป็นทั้งการภาวนา(มีสมาธิ+วิปัสสนา จนเกิดปัญญา รวมอยู่ในการปฏิบัติอานาปานสติ)
และเป็นการพักผ่อนร่างกายไปด้วย (ร่างกายจะเบาสบายไปทุกส่วน บางท่าน ปลายมือ ปลายเท้าเหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆวิ่งแล่นไปมา ดวงตาจะไม่เมื่อยล้า ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมา) ..กล่าวสั้นๆ คือ เกิดสุขเวทนาทางกายนั้นเอง
การภาวนาในแต่ละวัน ทั้งในชีวิตประจำวันและก่อนนอนจะส่งผลกับอาการของจิตใจในวันถัดไปด้วย หากวันใดเจริญภาวนาได้ดี จะทำให้ยามเช้าจิตจะสงบและมีปีติ สุขเกิดขึ้นได้ง่าย ทั้งร่างกายก็ยังมีสุขเวทนาเกิดขึ้นอีกด้วย
วิธีการเจริญอานาปานสติจะเสนอในตอนถัดๆไปนะครับ
---------------------------------------
....ทวนกระแสโลก พบกระแสธรรม.......
แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 54 12:57:46
แก้ไขเมื่อ 19 ธ.ค. 54 12:56:17
จากคุณ |
:
ต่อmcu
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ธ.ค. 54 12:55:44
|
|
|
|