ความคิดเห็นที่ 1 ทุกข์ > สมุทัย > นิโรธ > มรรค ทุกข์ = เข้าใจก่อนว่ากำลังทุกข์เรื่องอะไร สมุทัย = หาสาเหตุแต่งทุกข์นั้นว่าเกิดจากอะไร นิโรธ = คิดและประมวลผลว่า มีแนวทางไหนที่จะแก้ไขทุกข์หรือไม่ มรรค = วิธีแก้ไขทุกข์ต้องทำอะไรยังไงบ้าง จากคุณ : nightdoc เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 01:09:44

ความคิดเห็นที่ 2 ลำดับขั้นไปสู่นิพพานน่ะเหรอ... ง่ายๆครับ  นั่งมอเตอร์ไซค์ไปปากซอย แล้วต่อรถเมล์ไปอีกสองป้าย ก็ถึงแล้ว... ล้อเล่นครับ - -' ลำดับขั้นการไปสู่นิพพานนี่ไม่รู้ครับ แล้วอีกอย่าง ก็ไม่มีการไปสู่นิพพานด้วย (นิพพานไม่ใช่อะไรซักอย่างที่ตั้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้ แล้วจะมีคนไปสู่... หรือ ไปถึง...)  มีเพียง "การทำให้ประจักษ์ซึ่งนิพพาน" หรือ "ทำพระนิพพานให้แจ้ง"  (หมายถึง ปฏิบัติให้นิพพานเกิดขึ้นแก่ตัวเรา) และขอฝากบอกไปถึงอาจารย์ของคุณด้วยว่า  กรุณาอย่าให้คำถามเด็กๆแบบนี้ (ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์เหมือนกัน)  เพราะคำถามมันคลุมเครือมาก และไม่ใช่คำถามที่จะมีใครให้คำตอบได้หรอก  เว้นแต่ผู้ได้บรรลุธรรมในชั้นต่างๆแล้ว ส่วนคำตอบที่พอจะช่วยตอบให้ได้ ก็คือ เมื่อผู้ปฏิบัติได้กำจัดกิเลส และความยึดมั่น อุปาทาน ในสิ่งต่างๆ เช่น อุปาทานในขันธ์ ๕  ออกไปได้แล้ว จึงไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะเป็นตัวตนให้ยึดถืออีก  จึงเห็นประจักษ์แต่ความว่าง ความไม่ใช่อะไรๆที่เป็นตัวตน  จิตในขณะนั้น จึงมีสุญญตธรรม (ความว่าง) เป็นอารมณ์ นั่นแหละคือนิพพาน การที่จะมาถึงขั้นนี้ได้ จะต้องปฏิบัติในวิปัสสนากรรมฐาน หรือ การทำสมาธิให้จิตสงบ แล้วใช้ความสงบนั้นเป็นฐาน มาพิจารณาความจริงแท้ของสังขารธรรมต่างๆ ให้เห็นประจักษ์ว่า ไ่ม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่อะไรที่จะบอกได้ว่า "นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา" เมื่อมองเห็นความจริงประจักษ์แจ้งด้วยปัญญา (ไม่ใช่การนึกคิดเอาเอง) ก็จะสามารถเพิกถอนอุปาทานความยึดมั่นในแต่ละชั้นไปได้เรื่อยๆ  ถ้าเรียงลำดับขั้นการประจักษ์ในความจริงหรือ ไตรลักษณ์ ตามแบบวิปัสสนาญาณ ๑๖ ก็จะเริ่มตั้งแต่  สามารถแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปร่าง อะไรเป็นนามธรรม ไปจนถึงแยกธาตุแยกสภาวะ กำจัดความนึกคิดว่ามีอะไรเป็นกลุ่มก้อนรวมเข้าด้วยกัน  มองเห็นว่าสิ่งต่างๆไม่ใช่ตัวตนเที่ยงแท้อะไร  แต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย  ว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงดับ"   เมื่อพิจารณาเห็นความจริงอย่างนี้แล้ว ก็จะสลัดกิเลสเครื่องหมักดองที่ลึกในพื้นเพของจิตสันดาน ที่เรียกว่า "สังโยชน์"  ไปไ้ด้ทีละตัวๆ  ตามกำลังปัญญาที่เ็ห็นแจ้งความจริงนั้น ท่านเปรียบเทียบการกำจัดสังโยชน์ด้วยปัญญา ในแต่ละระดับว่า เปรียบเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาที่กลางตัว  คือ ทันทีที่กำลังปัญญา ทำลายสังโยชน์สำเร็จนั่นเอง เปรียบเหมือนมีอะไรสายฟ้าฟาดพุ่งลงมาทำลายสิ่งที่ถูกหมักหมมอยู่ให้สลายไป การประจักษ์แจ้งนิพพาน มีได้หลายระดับ และแตกต่างกันไปตามกำลังปัญญา ดังนั้น ท่านจึงแบ่งผู้ได้ประจักษ์แจ้งนิพพาน ในระดับต่างๆเอาไว้  ๔ ระดับ คือ ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหันต์ จากคุณ : chohokun เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 01:20:09

ความคิดเห็นที่ 3 เริ่ม...ฝึกทำบุญตักบาตร  เข้าวัด  ทำบุญทำทาน  ฟังพระเทศน์  อ่านหนังสือธรรมะ  คุยธรรมะ   ขั้นต่อมา  ..ฝึกรักษาศีล  ให้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากศีล ๕ เป็นศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ขั้นต่อไป.. ฝึกภาวนา  ฝึกสมาธิ  หาทางฝึกสมาธิให้จิตรวมสงบลงแน่วแน่ให้ได้ชำนาญ ขั้นต่อไป ฝึกเอาจิตที่เป็นสมาธิมาพิจารณาทางด้านปัญญา  คือ  เอาขันธ์ ๕  มาพิจารณาแยกแยะทางด้านปัญญา  จนสามารถละอุปาทานความยึดมั่นผิดๆในขันธ์ออกไปได้  จิตก็เห็นนิพพาน  ตามลำดับขั้น (ขันธ์ ๕ คือ  รูป   เวทนา   สัญญา  สังขาร  วิญญาณ) การเห็นนิพพาน มี  ๔ ระดับ   -ระดับแรกจะได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน   -ระดับที่ ๒  จะได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี   -ระดับที่ ๓ จะได้บรรลุเป็นพระอนาคามี   -ระดับที่ ๔ สุดท้าย จะได้เป็นพระอรหันต์  ซึ่งถือว่าสมบูรณ์ จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 02:07:14

ความคิดเห็นที่ 4 ขออ้างอิงบันได ๗  ขั้น สู่พระนิพพาน วิสุทธิ ๗ และ โสฬสญาณ http://abhidhamonline.org/visudhi.htm ----------------------------------------------------- จากพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๙ กรรมฐานสังคหวิภาค วิสุทธิ ๗ และ โสฬสญาณ http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/067.htm โสฬสญาณ (วิปัสสนาญาณ ๑๖) http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/069.htm ๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นรูปเห็นนามว่าเป็นคนละสิ่งคนละส่วน ซึ่งไม่ได้ระคนปนกันจนแยกกันไม่ได้ ! ! ! ๔. อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่กำหนดจนรู้เห็นไตรลักษณ์ชัดเจน โดยสันตติขาด คือ เห็นรูปนามดับไปในทันทีที่ดับ และเห็นรูปนามเกิดขึ้นในขณะที่เกิด หมายความว่า เห็นทันทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่ดับ ---------------------------------------------------- ทิฏฐิวิสุทธิ ( นามรูปปริจเฉทญาณ ) http://abhidhamonline.org/aphi/p9/081.htm จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 07:16:19

ความคิดเห็นที่ 5 (๑) ปุถุชน (ปุถุจิตเจตสิก).  เรียนปริยัติ ที่ไม่อยู่ในรูปเป็นพรัพุทธวจนะ คืิอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฯ โดยมากมักจะ"เฟ้อ". ในตำราปริยัติที่เรียนด้วยยังเนื่องกับ อุปกิเลสคืิิอ ราคะ โทสะ โมหะ(จูฬทุกขันธสูตร. ถ้าจำไม่ผิด) (๒) พระพุทธเจ้า แสดง "แก่ภิกษุทั้งหลาย".  ดู จูฬสุญญตาสูตร. ท่าน. จขกท. อ่าน พิจารณา ก็ไม่ต้องตั้งกระทู้นี้ ในห้องนี้ ที่ มีความหลากหลาย ในความคิดเห็น เนื่องด้วย. ธรรม คือ นิพพาน ตามที่พรัพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว (๓) จูฬสุญญตาสูตร.  ไม่ได้แสดง ที่เทวโลก เพราะตรัสที่โลกมนุษย์ ใช้ภาษาคนชาวโลกตรัสฯ พิจารณา ตามที่ตรัส. ท่าน. จขกท จะสรุปได้เอง ว่า นิพพานมี แต่ "ไม่ มี อะไรของพระอรหันต์. ไป สถิตย์อยู่ ที่ นิพพาน" ตามที่ตรัสว่า "ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ อันใด อันนั้นคือ นิพพาน" หมายเหตุ ตำราคำสอน ชั้นสาวก ท่าน จขกท ต้อง จำแนกได้ว่า ต่าง กับ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย". ตามที่ตรัสไว้อย่างไรด้วย นะครับ จะได้ ฯ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 07:53:46

ความคิดเห็นที่ 6 กระบวนการปรินิพพาน ปัญหา ในขณะที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงลำดับการปฏิบัติทางจิตส่วนพระองค์อย่างไรบ้าง ? พุทธดำรัสตอบ “ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน แล้ว ทรงเข้าทุติฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตตุถฌาน ออกจากจตุตถฌาน ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากิญจัญญายตนฌาน.... ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน....ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ.... ทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว  ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนฌาน..... ทรงเข้าอากาสานัญจายตนฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน ทรงเข้าตติยฌาน..... ทรงเข้าปฐมฌาน..... ทรงออกปฐมฌาน.... แล้วทรงเข้าทุติฌาน.... ทรงเข้าตติยฌาน.... ทรงเข้าจตตุถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตตุถฌาน แล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับนั้น” ปรินิพพานสูตรที่ ๕ ส. สํ. (๖๒๑) ตบ. ๑๕ : ๒๓๑-๒๓๒ ตท. ๑๕ : ๒๒๐ ตอ. K.S. I : ๑๙๗ http://84000.org/true/119.html นี้แล วิธีเข้าพระนิพพาน จากคุณ : x-philes เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 08:45:49

ความคิดเห็นที่ 7 บทสุดท้าย ในหนังสือ "ความลับของจักรวาล ทางแห่งนิพพาน" สรุปแบบเข้าใจง่ายๆว่า .......สภาวะนิพพาน คือสภาวะที่เป็นกลาง ว่างจากกิเลส ตัณหา เวทนา ไม่ว่าในด้านบวกหรือลบ  เป็นธรรมชาติที่ไม่มีการดับอีกต่อไป เพราะไม่มีสิ่งใดเกิดมาให้ดับ  ปราศจากอารมณ์ ที่จะคอยมาทำให้กระวนกระวายใจ  สภาวะนิพพานไม่ใช่อาการทางจิต ความสุขในระดับนี้ ต่างจากความสุขที่ได้จากร่างกาย จิตใจ หรือสมอง ซึ่งเคยได้รับสัมผัสมา  เพราะถ้าเกิดจากจิต ความเป็นตัวกู ของกู ที่เกิดจากสัญญาขันธ์ยังอยู่ จึงไม่ใช่นิพพาน  และถ้าเกิดจากสมอง ก็จะเป็นเพียงความสุขจากการนึกคิดหรือจากฮอร์โมน         ในการปฏิบัติธรรม การได้ฌานหรือญาณระดับต้น คือการสามารถแยกจิตออกจากสมอง  พ้นจากอิทธิพลของสมองแต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจของจิต เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้จะรู้ว่า จิตกับสมองเป็นคนละส่วนกัน  ทำให้เข้าใจเรื่อง อภิญญา การยืดหดของเวลา  การตายแล้วเกิดอย่างปราศจากข้อสงสัย      เมื่อบรรลุญาณระดับสูงขึ้นอีก จะรู้ว่าสติก็แยกออกจากจิตได้  ขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะมีจังหวะที่สติแยกออกจากจิตเป็นช่วงๆ  ซึ่งขณะนั้น จะมองเห็นสัญญา  เวทนา  สังขาร  วิญญาณ ที่อยู่ในจิตอย่างชัดเจน  สภาวะเช่นนี้เรียกว่า นิพพานชั่วขณะ (ไม่ถาวร) เพราะในไม่ช้า สติก็จะหวนกลับไปเป็นองค์ประกอบของจิตเช่นเดิม  แต่ก็สามารถทำให้เข้าใจเรื่อง  ภพภูมิ  เรื่องกฎแห่งกรรม  อย่างชัดเจน         สภาวะนิพพาน คือสภาวะที่สามารถแยกสติออกจากดวงจิตได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  จึงรู้เท่าทันอาการอันละเอียดทางจิตทุกชนิด และอาการแบบหยาบๆทางสมองทั้งหมด               สรุปง่ายๆก็คือ ร่างกายเป็นตัวตนของเราในชาตินี้  จิตเป็นตัวตนของเราในทุกๆชาติ  และเมื่อเกิดปัญญาสูงสุดจะรู้ว่า ทั้งร่างกายและจิต ไม่ใช่ตัวเราเลย  เมื่อไม่ยึดติดกับจิต จึงไม่มีการเกิดอีกต่อไป แต่ตัวรู้ที่เรียกว่าสติยังอยู่  เหมือนการหลุดจากคุก 31 ชั้น 31 ภพ  ที่มี เวทนา  กิเลส  ตัณหา  อุปาทาน  สัญญา สังขาร  วิญญาณ  ฯลฯ เป็นกลุ่มผู้คุม             การบรรลุนิพพานสามารถทำได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  ขณะนั้น สติจะแยกออกไปจากจิตและสมอง แต่ยังมีรูปขันธ์อยู่  ความเสื่อมทางรูป ไม่สามารถไปฝืนได้  แต่เมื่อนิพพานแล้วแม้ภายหลังสมองจะเป็นอัลไซเมอร์ ก็ไม่กระทบกระเทือนกับการบรรลุนั้น จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 08:59:03

ความคิดเห็นที่ 8 ------------- ตอบเจ้าของกระทู้นะครับ สวัสดีครับ ช่วยบอกลำดับขั้นของการไปสู่นิพพานหน่อยครับ       --------------  การไปสู่นิพพาน  คือ การปฏิบัติให้ 1.จิตมีความรู้ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนี้สิ่งทั้งหลายเกิดดับอยู่ตลอดเวลา  ไม่มีสิ่งใดคงทนอยู่เกิดขณะจิตหนึ่ง จึงไม่มีสิ่งใดคงทนพอที่จะเรียกว่า ตัวตน 2.เมื่อจิตรู้ว่าไม่มีสิ่งใดคงทน  จิตก็จะละความยึดถือความหลงผิดว่ามีตัว เป็นตน หมดความหลงที่จะทำให้เกิด โลภ โกรธ  หลง(ไม่มีความหลงอื่นๆอีก) จิตสงบ สันติ ในปัจจุบัน(จิตสัมผัสสภาวะความสงบ สันติ(นิพพาน)) เมื่อจิตออกจากการสัมผัสนิพพานแล้ว จิตมีสติรู้ความจริง เมื่อสัมผัสแล้วมีความรู้สึกอย่างไร ก็ไม่ทุกข์ใจเพราะรู้ความจริง   ปฏิบัติตัวเป็นคนดีได้อย่างถาวรและจิตใจมีความสงบ สันติ 3.เมื่อจิตดับครั้งสุดท้ายในชาตินี้  ก็ไม่มีความโลภ โกรธ หลง ตัณหา(ความอยาก)ที่จะทำให้เกิดจิตใหม่ในภพใหม่ (จิตดับ หมดสิ่งที่จะทำให้เกิดความทุกข์  สู่สภาวะสงบสันติอย่างถาวร (นิพพาน,  พระอรหันต์จิตดับสู่สภาวะสงบสันติอย่างถาวร เรียกว่า ปรินิพพาน) ------ [u]ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อให้จิตเห็นความจริง(เพื่อให้สัมผัสนิพพาน และไปสู่สภาวะนิพพาน)คือปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา(จากการวิปัสสนา(พิจารณาเห็นความเกิดดับของสิ่งต่างๆที่รับรู้ในจิต)) (ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการรวมสรุปการปฏิบัติ จาก มรรคมีองค์8 ) 1. รักษาศีล (ตามสภาวะที่เป็นอยู่ เช่น ศีล5 สำหรับคนธรรมดา   ศีล227สำหรับพระ) 2.ฝึกสมาธิ (เพื่อให้จิตตั้งมั่น ไม่วอกแวก มีสมาธิที่จะตั้งใจให้จิตรู้สภาวะการเกิดดับที่รวดเร็วของสิ่งต่างๆที่รับรู้ด้วยจิตป 3. ฝึกวิปัสสนา(ทำควบคู่กันไปกับการฝึกสมาธิ) หัดสังเกตุความเกิดดับของสิ่งต่างๆที่รับรู้ด้วยจิต     เมื่อเห็นแล้วจิตจะรู้ความจริง  หายจากความไม่รู้ความหลงผิดว่ามีตัวตน  จิตมีสติสงบสันติ สภาวะที่จิตสัมผัสกับนิพพาน เมื่อทำวิปัสสนา เป็นพระอริยเจ้า http://www.abhidhamonline.org/aphi/p9/099.htm มรรคญาณ (หน้า 99 )   หน้า 100 ผลญาณ (คลิกเลข ที่ตนบนของเพจ) ------------------------------------------------------------ สวัสดีครับ ต้องขอรบกวนจริงๆนะครับ พอดี อ. ให้ไปหาลำดับขั้นไปสู่นิพพานอ่ะครับ แล้วมาบอกอ. หน่ะครับ ---------- เมื่อทำตามลำดับ ด้านบนแล้ว   เมื่อจิตสัมผัสนิพพาน ครั้งแรก จะเป็นพระโสดาบัน   เมื่อจิตทำทบทวนสัมผัสนิพพานอีก ครั้งก็จะเป็นพระสกิทาคามี อีกครั้ง ก็เป็นพระอนาคามี อีกครั้ง ก็เป็นพระอรหันต์ บางท่าน จิตสัมผัสนิพพาน 4 ครั้ง ติดต่อกันในครั้งเดียว  ก็เป็นพระอรหันต์ บางท่านไม่ติดต่อกันในครั้งเดียว หวังว่าคงได้คำตอบนะครับ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 54 09:30:07 แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 54 09:28:03 จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 09:26:58

ความคิดเห็นที่ 9 ว่าด้วยญาณ คงมี 16 ขั้น (ตามตำรา) ว่าด้วยฌาน คงมี 8 ขั้น (ตามตำรา) ว่าด้วยมรรคผล คงมี 4 (โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีและอรหันต์) ว่าด้วยอริยสัจ คงมี 4 ขั้น (รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค) และมีอีกหลายแง่มุมมากครับ แต่ผมเคยได้ยินหลวงปู่บุญฤทธิ์ท่านเทศน์ขั้นเดียวเท่านั้นว่า "สติฯ-นิพพาน" ท่านพูดสั้นๆอย่างนี้ แต่ไม่ทราบนัยยะของท่านเท่าไรครับ จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 09:47:56

ความคิดเห็นที่ 10 ละสังโยชน์ 10 ให้ได้ 1. สักกายทิฏฐิ  เห็นว่า ร่า่งกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5) 2. วิจิกิจฉา     ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย 3. สีลัพพตปรามาส   รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง 4. กามฉันทะ    มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์ 5. พยาบาท    มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ 6. รูปราคะ     ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน 7. อรูปราคะ    ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฎฎะ 8 .มานะ     มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี 9. อุทธัจจะ    มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล 10. อวิชชา     มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ จากคุณ : Nirvanastream.com (สวรรค์รำไร) เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 54 10:02:38

ความคิดเห็นที่ 11 (๑)  เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า   (๒)  ฉลาด เพียงพอ  จึงแยกแยะออกว่า  พระสงฆ์สมัยนี้  วัดไหน   ควร "ห่างใกล" วักไหน  หรือ รูปไหน  "คือ พุทธบุตรของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง (๓)  เลิก เกาะกลุ่ม  แบบที่กำลัง เกาะกลุ่มอยู่  (ท่าน  จขกท รู้ได้เอง จริวมั๊ย) (๔)  เลิกเป็น "ผู้ตาม"  ในสิ่ง  หรือ บุคคล ที่ ไม่ควรจะติดตาม (๕)  เลิก  เชื่อ  นิพพาน เป็น อัตตา (๖)  เลิกเชื่อ  มี แดนนิพพาน (๗)  เข้ามาหาความรู้  ในห้องนี้  แบบ  "ไม่มักอะไร ง่ายๆ" ๗ ข้อ (เป็นต้น)  ถ้า ยังทำไม่ได้ ไม่ต้อง  กล่าวถึง  "นิพพาน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 54 07:13:45