|
จากฮาดีษ
(1). มีรายงาน จากท่านหัมมาด บินสะละมะฮ์, จากท่านษาบิต อัล-บุนานีย์, จากท่านอนัส บินมาลิก ร.ฎ. ว่า ... أَنَّ رَجُلاَ قَالَ : يَا رَسُوْلَ اللهِ! أَيْنَ أَبِىْ ؟ .. قَالَ : فِى النَّارِ، فَلَمَّا قَفَّى دَعَاهُ فَقَالَ : إِنَّ أَبِىْ وَأَبَاكَ فِى النَّارِ ...
ชายผู้หนึ่งกล่าวว่า .. โอ้ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ บิดาของฉันอยู่ที่ไหน?, ท่านนบีย์ตอบว่า .. อยู่ในนรก, แล้วเมื่อเขาผินหลังให้ท่านนบีย์ก็เรียกเขา แล้วกล่าวว่า .. แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและบิดาของท่านอยู่ในนรก ...
(บันทึกโดยท่านมุสลิม หะดีษที่ 347/203, ท่านอบูอะวานะฮ์ เล่มที่ 1 หน้า 99, ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 4718, ท่านอะห์มัด เล่มที่ 3 หน้า 268, ท่านอัล-บัยฮะกีย์ เล่มที่ 7 หน้า 190, ท่านอัล-ญูซะกอนีย์ในหนังสือ อัล-อะบาฏิล วัลมะนากีรฺ เล่มที่ 1 หน้า 233 และท่านอบูยะอฺลา 6/229/3516) ...
ผมไม่ทราบว่าลัทธิของคุณใช้ตรรกะอะไรที่เชื่อในเรื่องเล่าข้างบนนี้ และแม้แต่ตัวคุณเอง ก็กล่าวว่า ส่วนตัวผมนั้น ผมโน้มเอียงไปทางที่ว่า บิดามารดาของท่าน เป็น ผู้ที่อยู่ ในยุคที่ปราศจากนบีดังนั้นน่าจะได้รับข้อยกเว้นจากการลง โทษครับ ไม่ใช่มาอ้างเฉพาะบิดามารดาของท่าน เพื่อเอามา โจมตี นักวิชาการศาสนา
1. การเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องเล่าใดๆก็ตาม ถ้าใช้ คำว่าโน้มเอียง แสดงว่าเรื่องราวนั้นในหัว ใจคุณ ไม่แน่ใจในความแท้จริง ในฮาดีษนี้ไม่ได้กล่าวถึง เหตุการหลังจากการ ตัดสิน ในวันปรโลก แต่กล่าวถึง สภาวะที่บิดาของท่านรอซุล ได้ถูกลงโทษแล้วให้ตกมุรตัด อยู่ในไฟนรก ขณะที่ท่านรอซุลกล่าวต่อชายผุ้นั้น
2. ถ้าคุณจะอ้างว่า
ที่ว่า บิดามารดาของท่าน เป็น ผู้ที่อยู่ ในยุคที่ปราศ จาก นบีดังนั้นน่า จะ ได้ รับข้อยกเว้นจากการลง โทษ
ถ้าการคาดคะเณของคุณเป็นความจริงและมีเหตุผลแล้ว คุณคงไม่ได้คิดหรือ ลืมคิดไปว่า ท่านรอซูลย่อมรู้และเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่า คุณและผมและ บรรดาปราชญ์ทั้งหลาย ว่า ผุ้ที่อยู่ ใน ช่วง ที่ไม่มี ศาสนทูตของพระเจ้านั้น จะได้รับข้อยกเว้นใน การปฏิเสธพระเจ้า หรือ ใน การทำ ชริก ต่างๆ ก่อนที่ท่าน รอซูลจะกล่าวอย่าง มั่นใจว่า, แท้จริง ทั้งบิดาของฉัน และ บิดาของท่านอยู่ในนรก
ดังนั้นตามเรื่องเล่าที่ว่า ท่านรอซุลกล่าวว่า แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและ บิดา ของ ท่านอยู่ในนรก นั้น จึงขาดเหตุผลมาสนับสนุนความแท้จริง ของเรื่องเล่านั้น
1. ถ้าเราเชื่อเรื่องเล่านั้น เราก็ปฏิเสธวิทยปัญญาของท่านรอซูลว่า ท่าน ขาดความเข้าใจ ว่าผู้ที่อยู่ ในยุคที่ปราศ จาก นบีดังนั้นน่า จะ ได้ รับข้อยกเว้นจากการลง โทษ จึงทำให้ท่าน กล่าวอย่าง มั่นใจออกมาว่า แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและ บิดา ของ ท่าน อยู่ในนรก , ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คุณแคโรทยัง มี ความเข้าใจดี และการไตร่ตรอง ที่ดี กว่าท่านรอซูล ที่ไม่กล่าวอะไร พล่อยๆออกมาอย่างขาดความคิด ตาม ฮาดีษ นั้น
2. ถ้ามุสลิมที่เชื่อว่าการปฏิเสธ ศอเฮี๊ยะฮาดีษ ทำให้ตกจากการเป็นมุสลิม มุสลิมที่เชื่อ เช่นนั้นนั้น ซึ่งรรวมทั้ง คุณแคโรทด้วย จะไม่กล้าปฏิเสธฮาดีษบทนี้ว่าไม่เป็นความจริง และจะพยายามหาเหตุผลต่างๆมาอธิบายสนับสนุน ให้เห็นว่า ฮาดีษบทนี้ ที่อ้างว่า ท่าน รอซุล กล่าวเช่นนั้น เป็นความจริง แต่แม้กระนั้นก็ตาม ในจิตใต้สำนึก ของ คุณแคโรท และ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย.ก็ยังมีการแบ่งรับ แบ่งสู้ในเรื่องนี้ ตามที่ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย. เขียนว่า
ผมเอง ยอมรับว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ ทำใจรับไม่ได้ เช่นเดียวกันกับคำกล่าวที่ว่า บิดามารดาของท่านนบีย์ ต้องเข้านรก ...
แต่, .. ผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า .. สมมุติ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าหะดีษทั้ง 2 บทข้างต้นเป็นหะดีษที่ถูกต้อง (صَحِيْحٌ) .. และไม่ขัดแย้งกับอัล-กุรฺอ่านล่ะ? เราจะว่ายังไง ? จะเอา ความรู้สึก ส่วนตัวมาตัดสิน เพื่อจะเอาชนะคะคานหรือบิดเบือน หลักฐานที่ถูกต้อง ของหะดีษเศาะเฮี๊ยะฮ์อย่างนั้นหรือ ??? ..
นั้นก็คือ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย.กำลังจะพิสูจน์ ว่า ฮาดีษ ดังกล่าวไม่ขัดต่อ อัลกุรอาน ซึ่ง พิสูจน์ไม่ ยาก
"Fear the fire, which is prepared for the disbelievers." [3: 131]
"Truly Hell is lying in wait- a destination for the transgressors." [78: 21-22]
(Ones rejection of faith is transgression against Allah and himself).
จากฮาดีษ Saheeh Al-Bukhari, Saheeh Muslim
When any of you dies, he is shown his position (in the Hereafter) morning and evening. If he is one of the people of Paradise, he is shown the place of the people of Paradise. If he is one of the people of Hell, he is shown the place of people of Hell. He is told, this is your position, until God resurrects you on the Day of Resurrection.
จากอัลกุรอาน 3: 131, 78: 21-22 และจาก ฮาดีษ ที่อ้างถึง เพียงส่วนน้อยเท่า นั้นที่แสดง หลักฐานว่า ยังไม่มีผู้ใด ถูกตัดสินว่า อยู่ในนรกหรือ เข้าสวรรค์ จนกว่าจะถึง วันตัดสินใน ปรโลก, มุสลิมศรัทธาแน่ว่ามีนรกและสวรรค์ แต่ยังไม่มีหลักฐานทาง ความ คิดเห็น ของปราชญ์ ทาง อิสลามที่ อธิบายอย่างแจ้งชัดว่า หลังจากที่มนุษย์ตายไปแล้ว วิญญาณ จะไปสถิตย์ อยู่ณที่ใดเพื่อรอการตัดสิน แต่จากเนื้อหาของ ฮาดีษดังกล่าวนั้น กล่าวถึง เวลาปัจจุบันในอดีตเมื่อ 1400 กว่าปี มา แล้ว ซึ่งในขณะนั้นอย่างแน่นอน ทั้งในฮาดีษและ บัญญัติในอัลกุรอานเท่าที่ยกมา ในที่นี้ ได้แสดงให้เห็นและเข้า ใจได้ว่า ผู้ที่จะ ตกนรกและเข้าสวรรค์นั้น ต้อง ผ่านการตัดสินใน วันปรโลกเสียก่อน
จากอัลกุรอานบัญญัติ 31:15. นี้ที่คุณแคโรทอ้างอิง ไม่มีอะไรยืนยันความแท้จริงของ ฮาดีษดังกล่าว แต่ในทางตรงข้ามแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้บิดามารดาของมุสลิมจะไม่ใช่มุสลิมก็ตามมุสลิมจะปฏิบัติในเรื่องความศรัทธาตาม ท่านทั้งสองที่ปฏิเสธพระเจ้าไม่ได้ แต่มุสลิมจะต้องทำหน้าที่ของลูกที่ดี ยกย่องให้เกียรติ และดูแล ท่านทั้งสอง อย่างลูกที่ดีในโลกมนุษย์นี้, แต่ในเรื่องของความศรัทธามุสลิ,จะต้อง ปฏิบัติตามแนวทางของพระเจ้า (อัลกุรอาน) และพระเจ้าย่อมรู้ดีในทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่ มุสลิม ปฏิบัติ ซึ่งพระเจ้าจะทำให้เรารำลึกในทุกๆสิ่งที่เราปฏิบัติในวันปรโลก
จากการอธิบายพอสังเขปและง่ายๆเช่นนี้ คุณแคโรทจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฮาดีษที่ อ้างว่า แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและ บิดา ของ ท่าน อยู่ในนรก นั้น ขัดกับ อัลกุรอาน และแม้แต่ ขัดกับ ฮาดีษศอเฮี๊ยะด้วยกัน ในเรื่องของ กาลเวลา และสถานที่
จากคำอธิบายของ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย.ตามนี้...
ปัญหานี้ระหว่าง อ.ฟาริด เฟ็นดี้ กับ อ.กอเซ็ม มุหัมมัดอะลีย์มานานร่วม 5 เดือนแล้ว แต่ผมก็วางเฉยไม่อยากวิเคราะห์ เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์อันใดในด้านอะกีดะฮ์ของตัวเองแล้ว ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่ตอนต้น .. นั่นคือ แม้แต่คิดก็ยังไม่อยากคิดถึงเรื่องการลงนรกของบิดามารดาท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมด้วยซ้ำไป ...
ดังนั้น การที่ผมตัดสินใจออกมาวิเคราะห์ปัญหานี้ (ตามการขอร้องของหลายท่าน) จึงมิใช่มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะชี้นำผู้ใดให้คล้อยตามการวิเคราะห์ของผม แต่เพราะหวังว่า บางทีมันอาจจะช่วยเหนี่ยวรั้งและเตือนสติผู้ที่มีทัศนะขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ให้ เปิดใจกว้าง พอที่จะรับฟังทัศนะที่ขัดแย้งกับความเชื่อของตนเองได้บ้าง ...
และเท่าที่ได้รับฟังจากแผ่นซีดีการโต้แย้ง (หรือจะพูดให้มันฟังดูไพเราะว่า การอภิปราย ก็ได้) .. รวมทั้งการได้พูดคุยและสอบถาม อ.ฟาริดด้วยตนเอง ผมจึงเชื่อว่า อ.ฟาริด เฟ็นดี้คงไม่มีจุดประสงค์ที่จะเปิดประเด็นพูดเรื่องบิดามารดาท่านนบีย์ต้องลงนรกหรือไม่? ขึ้นมาหรอก .. และเชื่อว่าท่านเองคงไม่สบายใจเหมือนกันที่ต้องพูดเรื่องนี้ ...
แต่เมื่อมีผู้ถามท่านในการบรรยายครั้งหนึ่งถึงเรื่องการขออภัยโทษ (إِسْتِغْفَارٌ)ให้คนมุชริกต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.ว่า เป็นที่อนุญาตตามหลักการศาสนาหรือไม่ ? ท่านจึงได้อ้างหลักฐานหะดีษทั้ง 2 บทข้างต้นจากการบันทึกของท่านมุสลิม ซึ่งถือว่า เป็นหะดีษเศาะเฮี๊ยะในทัศนะของท่าน มาเป็นหลักฐานในการตอบ .. จนนำไปสู่การโต้แย้งกับ อ.กอเซ็ม ในที่สุด
คุณแคโรทจะเห็นว่า
ความไม่แน่ใจและไม่เชื่อเนื้อหาของฮาดีษในเรื่องนี้ของนักวิชาการ
อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย ไม่มีความมั่นใจในเนื้อคววามของฮาดีษ อ. ฟารีด เพนดี้เชื่อฮาดีษบทนี้ อ.กอเซ็มเห็นว่า ฮาดีษบทนี้เป็นที่เชื่อถือไม่ได้
ความเห็นที่ขัดกันในบรรดาปวงปราชญ์ทางอิสลาม ที่ อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย อธิบายมา และไม่อาจจะหาข้อสรุปที่มั่นใจได้ว่าฮาดีษนี้เป็นเรื่องจริง
ปัญหาความเลวร้ายและมีจิตใจต่ำทรามจึง ตกอยู่กับผู้ที่ นำเรื่องเล่าซึ่ง ไม่มีมูลฐาน แห่งความจริง ไม่สอดคล้องกับกาลเวลาในอัลกุรอานและแม้ ศอเฮี๊ยะฮาดีษ ด้วยกัน มาอุปโลกอ้างอิงว่าเป็นคำกล่าวของท่านรอซูล ซึ่งท่านรอซุลไม่มีโอกาสที่จะอธิบาย หรือโต้แย้งได้ว่าเรื่องราวในฮาดีษบทดังกล่าวนั้น ท่านกล่าวจริงหรือไม่? ซึ่งทำให้ดูราว กับว่า ท่านกล่าวร้ายต่อผู้บังเกิดเกล้าของท่าน
แต่การที่ คุณแคโรทและ บรรดาชาวฮาดีษทั้งหลาย คัดค้านความคิดเห็นของผมนั้น เขาเหล่านั้นมี ความจำเป็นที่จะต้องคัดค้าน เนื่องจากว่า ถ้าไม่คัดค้านแล้ว จะขาดศรัทธาจาก ศอเฮี๊ยะฮาดีษ และจะทำให้ เขาตกจากการเป็นมุสลิมตามความเชื่อถือ ตามลัทธินิกายของเขา
แม้กระนั้น ก็ตาม เขาเหล่านั้นก็ ไม่มีความแน่ใจในความเป็นจริงของเนื้อเรื่องของ ฮาดีษนั้น นอกจาก อาจารย์กอเซ็ม เท่านั้น ที่ ฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า,ฮาดีษที่ อ้างว่า แท้จริง ทั้งบิดาของฉันและ บิดา ของ ท่าน อยู่ในนรก ไม่มีมูลความจริง
แต่ อ.กอเซ็มกํยังคงเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะคัดค้าน ศอเฮี๊ยะฮาดีษ บทนี้ก็ตาม เนื่องจาก สามัญสำนึกและการแสดงความรู้บุญคุณท่านรอซูล, ของ อ. กอเซ็ม ที่ปฏิเสธฮาดีษบทนี้นั้น, เป็นการปกป้อง คุณลักษณะ ของท่านรอซูลจากฮาดีษที่ ทำลายเกียรติของท่าน, ดังนั้น อ.กอเซ็มไม่อาจจะยอมรับได้ว่า ฮาดีษเรื่องนี้เป็นความจริง
จากคุณ |
:
แมทท์
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ธ.ค. 54 08:41:56
|
|
|
|
|