 |
สำหรับเหตุผลว่าทำไมการเจริญวิปัสสนาจึงเป็นกุศลที่มีอานิสงส์สูงสุด เท่าที่ครูบาอาจารย์สอนมาท่านบอกว่า การเจริญวิปัสสนาเป็นกุศลที่เป็น วิวัฏฏะคามินี คือตัดหรือทำให้สังสารวัฏการเวียนว่ายตายเกิดสั้นลงได้ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้ความจริงว่าชีวิตคือรูปนามขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การปฏิบัติวิปัสสนาจึงต้องใช้ความจริงอันเป็นปรมัตถ์มากำหนดในอารมณ์ปัจจุบันอย่างแยบคายด้วย " โยนิโสมนสิการ" ส่วนการทำกุศลอย่างอื่นก็ดีเหมือนกัน แต่ดีน้อยกว่าการเจริญวิปัสสนา เพราะทาน ศีล การทำสมาธิ เป็น วัฏฏะกุศลคามินี คือเป็นเหตุให้วนเวียนในสังสารวัฏอีก ยังไม่พ้นทุกข์ จึงได้ชื่อว่า มีอวิชชาอยู่ จึงมีสังขาร ถ้าว่าตามสังขารในปฏิจจสมุปบาทแล้ว การทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ (รูปฌาน) คือ ปุญญาภิสังขาร ส่วนการทำ อรูปฌาน ก็คือ อาเนญชาภิสังขาร ดังที่กล่าวไว้ใน พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ ๘ ดังนี้ -----------------------------------------------------------------------------
http://abhidhamonline.org/aphi/p8/006.htm
อวิชชา นี้องค์ธรรมได้แก่ โมหเจตสิก คือความไม่รู้นั่นเอง ไม่รู้ในที่นี้หมาย เฉพาะไม่รู้ธรรม ๘ ประการ อันได้แก่ ไม่รู้อริยสัจ ๔, ไม่รู้อดีต ๑, ไม่รู้อนาคต ๑, ไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต ๑ และไม่รู้ปฏิจจสมุปปาทธรรม ๑ เพราะความไม่รู้ คือ โมหะ หรืออวิชชานี่เอง เป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่อุปการะ ช่วยเหลือให้เกิดสังขาร ให้เกิดมีการ ปรุงแต่งขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวว่า อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารเป็นปัจจยุบบันน สังขารอันเป็นปัจจยุบบันนของอวิชชานี้จัดได้ เป็นสังขาร ๓ คือ อบุญญาภิสังขาร บุญญาภิสังขาร และ อาเนญชาภิสังขาร ๑. อบุญญาภิสังขาร จงใจปรุงแต่งให้เป็นบาป องค์ธรรมได้แก่ เจตนาใน อกุสลจิต ๑๒ เมื่อเจตนาปรุงแต่งให้ เกิดบาปเช่นนี้ ก็เป็นทางที่จะนำไปให้ปฏิสนธิ ในอบายภูมิ เจตนาทำบาปอันจะส่งผลให้ปฏิสนธิในอบายภูมินี้ เห็นได้ชัด ว่าเป็น ด้วยอำนาจแห่งโมหะ คือ อวิชชาโดยตรงทีเดียว ๒. บุญญาภิสังขาร จงใจปรุงแต่งให้เป็นบุญ องค์ธรรมได้แก่ เจตนาใน มหากุสล ๘ และเจตนาในรูปาวจรกุสลจิต ๕ รวมเป็นเจตนา ๑๓ เมื่อเจตนาปรุง แต่งให้เกิดกุสลกรรมเช่นนี้ ก็เป็นทางที่จะให้ได้ปฏิสนธิเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็น รูปพรหม ตามควรแก่กรรมนั้น ๆ เจตนาทำกุสลอย่างนี้ก็นับว่าดีมากอยู่ แต่ว่า ยังไม่ถึงดีที่สุด เพราะว่ายังไม่พ้นทุกข์ จะต้องกลับมาวนเวียนในสังสารวัฏฏอีก กุสลที่ประเสริฐสุด คือ โลกุตตรกุสลอันจะทำให้พ้นทุกข์ได้เด็ดขาด ไม่ต้องกลับมา วนเวียนในสังสารวัฏฏอีกเลยก็มี แต่ไม่มีเจตนาปรุงแต่งให้กุสลอันประเสริฐสุดนั้น เกิดขึ้น จึงได้ชื่อว่า ยังมีอวิชชาอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เพราะไม่รู้ว่ากุสลอันยิ่งกว่า นั้นก็มี จึงเจตนาทำเพียงมหากุสลกรรมและรูปาวจรกุสลกรรมเท่านั้น ๓. อาเนญชาภิสังขาร จงใจปรุงแต่งให้เป็นบุญชนิดที่ไม่หวั่นไหว คือตั้ง อยู่ในอุเบกขาพรหมวิหารได้นานเหลือเกิน องค์ธรรมได้แก่ เจตนาในอรูปาวจร กุสลจิต ๔ เมื่อเจตนาปรุงแต่งให้เกิดกุสลกรรมถึงปานนี้ ก็ส่งผลให้ไป ปฏิสนธิเป็น อรูปพรหม เสวยบรมสุขอยู่นานช้า ถึงกระนั้น ก็ได้ชื่อว่า ยังไม่พ้นไปจากอวิชชา ตามนัยที่กล่าวแล้ว ---------------------------------------------- สมถะ (ฌาน) - วิปัสสนา ต่างกันอย่างไร ? สมาธิ,สมถะ,ฌาน แตกต่างจากวิปัสสนา ไม่ใช่สิ่งเดียวกันตามที่ฟังกันมา http://larndharma.org/index.php?/topic/294-%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%96%e0%b8%b0-%e0%b8%8c%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%aa%e0%b8%99%e0%b8%b2-%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2/
สมถะ ( ฌาน ) ที่เป็นบาทของวิปัสสนา http://larndharma.org/index.php?/topic/235-%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%96%e0%b8%b0-%e0%b8%8c%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%97%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%aa%e0%b8%aa%e0%b8%99/
จากคุณ |
:
เฉลิมศักดิ์1
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ธ.ค. 54 06:56:13
|
|
|
|
 |