Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วิธีเจริญสมาธิเพื่อให้ิจิตตั้งมั่นจนเกิดอัปปนาสมาธิ ติดต่อทีมงาน

ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ครับเพื่อนๆ พี่น้อง ลุง ป้า น้า อา ชาวห้องศาสนา

ได้อ่านความเห็นของคุณ ~หูว เสี่ยวผิง~ ,คุณ สองนิ้วชี้, คุณ body mind
แล้วมีความเห็นเช่นเดียวกันกับท่านทั้ง 3

เนื่องจากผมเคยคิดเหมือนกันว่า
การกล่าวถึงวิธีปฏิบัติสมาธิ จะเป็นประโยชน์มากกว่าการบรรยายสรรพคุณของสมาธิ
และเกิดประโยชน์มากกว่าการบรรยายคุณวุฒิของผู้ทำสมาธิ
เหมือนใครมีเทคนิคการทำโจทย์ดีๆ หรือเทคนิคในการทำข้อสอบดีๆ มีัสูตรดีๆ ก็มาบอกต่อ มาเล่าสู่กันฟัง จะได้สอบผ่านไปด้วยกัน คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน

กระทู้นี้จึงว่ากันด้วยเรื่องเทคนิคในการทำอัปปนาสมาธิของผู้ที่ครองเรือนแต่ประพฤติเนกขัมมะด้วยการเจริญสัมมาสมาธิ (ฌานทั้ง 4)

เรื่องมีอยู่ว่า คนบนโลกใบนี้ แบ่งเป็น 3 ประเภท

ประเภทแรก คือ สุคติอเหตุกบุคคล ได้แก่คนที่เกิดมาเป็นบ้า เป็นใบ้ หูหนวก ตาบอด แต่กำเนิด
คนเหล่านี้จะไม่สามารถทำฌาน กับ มรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นได้ภายในชาตินี้ ต้องรอชาติหน้า

ประเภทที่สอง คือ ทวิเหตุกบุคคล ได้แก่คนที่เกิดมาด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
อโลภะเหตุ อโทสะเหตุ
คนประเภทนี้ก็ไม่สามารถทำฌาน กับ มรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นได้ภายในชาตินี้เช่นกัน ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้ก็สร้างกองบุญ หัดทำสมาธิ หัดทำวิปัสสนาเพื่อเป็นอุปนิสัยติดตัวไปก่อน

ประเภทที่สาม คือ ติเหตุกบุคคล ได้แก่คนที่เกิดมาด้วยเหตุ 3 ประการ คือ
อโลภะเหตุ อโทสะเหตุ อโมหะเหตุ คนประเภทนี้สามารถทำฌานให้เกิดขึ้นได้
และสามารถทำมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นได้ภายในชาตินี้ เป็นบุคคลที่มีปัญญา

นอกจากนี้การจะได้ฌานและมรรคผลนิพพานต้องไม่เป็นบุคคลอาภัพอีกด้วย
เ้ช่นผู้ที่ทำอนันตริยกรรม ฯลฯ

ส่วนการแบ่งตามประเภทของสมถยานิก กัีบวิปัสสนายานิก นั้น
ท่านแบ่งตามประเภทของผู้ที่สำเร็จเป็นอริยบุคคลแล้ว ว่าอาศัยสมถะเป็นยาน
หรือว่าอาศัยวิปัสสนาเป็นยาน จึงสำเร็จมรรคผลนิพพาน
คนที่ยังไม่เป็นพระอริยะไม่สามารถแบ่งโดยใช้วิธีนี้ได้

แต่จะสำเร็จโดยอาศัยสมถะเป็นหลัก วิปัสสนาเป็นรอง หรืออาศัยวิปัสสนาเป็นหลัก สมถะเป็นรอง ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะสมถยานิกและวิปัสสนายานิกต่างก็เป็นติเหตุกบุคคลผู้มีปัญญาเหมือนๆกัน
เนื่องจากวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะได้มรรคผลนิพพานต้องอาศัยกำลังของสมถะและวิปัสสนาที่เท่ากันจึงจะสำเร็จได้

จะว่าไปแล้ว มรรคจิต กับ ผลจิต ก็คือโลกุตตรฌาน นั่นเอง

เรื่องฌานกับมรรคผลถ้ากล่าวถึงแล้วคงยาว เนื้อหาดูได้จากอภิธรรมเรื่องโลกุตตรจิตแบบพิสดารทั้ง 40 ดวง

ฌานนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับมรรค 8 ข้อสัมมาสมาธิ ข้อสุัดท้าย ด่านสุดท้าย

มรรคข้อสัมมาสมาธินั้น ท่านหมายความรวมกัน ทั้งโลกียฌาน และโลกุตตรฌาน
อรรถกถาจารย์ด้านอภิธรรมท่านหมายความรวมถึงอรูปฌานทั้ง 4 ขั้นด้วย
เพราะมีองค์ฌานเท่ากันกับ จตุตถฌาน (ฌาน 4)  คือ อุเบกขา และเอกัคคตา
โดยท่านจัดให้อยู่ในหมวดของโลกุตตรจิตที่เกิดพร้อมกับปัญจมฌาน
(ปัญจมฌานแบ่งตามประเภทของมันทบุคคลผู้รู้ช้า ที่เรียกว่า ปัญจกนัย)

ศัตรูร่วมกันและเป้าหมายแรกของสมถะ และวิปัสสนา  คือการกำจัดนิวรณ์ทั้ง 5

การเจริญสมถะนั้นอาศัยการพิจารณารูปกับนามประเภทที่ให้อารมณ์อันเป็นกุศล
โดยการพิจารณา (มนสิการ) จนจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวที่เรียกว่าเอกัคคตา
จนอารมณ์ของนิวรณ์ทั้ง 5 ดับไป เกิดอารมณ์ของกุศลขึ้นมาแทนที่

รายละเอียดปรากฏในกรรมฐานทั้ง 40 กอง ซึ่งบางกองอาจไม่ได้ฌาน
ได้เพียงอุัปจารสมาธิ หรือ อุปจารฌาน (แปลว่าเฉียดฌาน)
แต่ก็เพียงพอต่อการเจริญวิปัสสนาต่อด้วยวิธีพิจารณาให้เห็นจริงตามหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

เมื่อใดนิวรณ์ทั้ง 5 ดับสนิท องค์ฌาน ทั้ง 5 อันเป็นคู่ปฏิปักษ์ต่อกันก็จะเิกิดขึ้นมาแทนที่

ส่วนวิปัสสนานั้น มุ่งพิจารณาหรือมนสิการโดยพิจารณา รูป กับ นามตามลักษณะของพระไตรลักษณ์
คือพิจารณาให้เห็นเป็นอนิจจัง พิจารณาให้เห็นเป็นทุกขัง พิจารณาให้เห็นเป็นอนัตตา จนกว่าวิปัสสนาญาณ จะปรากฏ

ถ้าวิปัสสนาญาณไม่ปรากฏ เรียกว่าวิปัสสนึก
คือการทึกทักเอาเองเหมือนดันรถหรือเข็นรถ พอรถวิ่งไปได้หน่อยหนึ่งแล้วหยุดก็ทึกทักเอาเองว่า รถแล่นได้แล้ว

แต่หากเป็นวิปัสสนาญาณ จะเหมือนการสตาร์ทเครื่องยนต์รถ
รถสามารถแล่นไปได้เองโดยไม่ต้องคอยเข็น หรือคอยวิ่งตาม
สามารถแล่นติดต่อกันไปได้หลายสิบกิโลเมตรโดยที่ไม่ต้องหยุดพัก

สมถะนั้น อารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับกายและใจคือ ปิติ สุข หรือเหลือเพียงอุเบกขาในท้ายที่สุด

แต่วิปัสสนานั้น อารมณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นกับกายและใจคือ ทุกข์ล้วนๆ (ตามหลักอริยสัจ)
โดยมีสภาพเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรากฏชัดอย่างอุกฤษ์ทั้งทุักข์ทั้งโทษทั้งความแตกดับและสภาวะที่ดูน่ากลัวตลอดจนน่าเบื่อหน่าย ไม่ชวนให้รู้สึกยินดีหรือน่ายึดถือ

รายละเอียดปรากฏตามวิปัสสนาญาณทั้ง 16 ขั้น




วิธีเจริญอานาปานสติจนจิตตั้งมั่นทะลุแนวต้าน จนเกิดอัปปนาสมาธินั้น
เริ่มด้วยหายใจเข้า และหายใจออกตามที่ตัวของท่านนั้นชอบ

แต่ละคนอาจชอบต่างกันไป บางคนชอบหายใจเข้าจนสุดแล้วค่อยระลึกรู้
และหายใจออกจนสุดแล้วค่อยระลึกรู้

บางคนชอบระลึกรู้ตลอดเส้นทางเดินลมเข้า และระลึกรู้ตลอดเส้นทางเดินลมออก

บางคนคอยระลึกรู้อยู่ที่ปลายจมูกเพียงตำแหน่งเดียว ลมเข้าปลายจมูกก็รู้ ลมออกที่ปลายจมูกก็รู้

บางคนหายใจเข้าก็ท่องคำว่าพุทในใจเบาๆ หายใจออกก็ท่องคำว่าโธในใจเบาๆ

บางคนหายใจเข้าจนสุดก็ท่องคำว่าพุทในใจเบาๆ หายใจออกจนสุดก็ท่องคำว่าโธเบาๆ

บางคนคอยระลึกรู้อยู่ที่ปลายจมูกเพียงตำแหน่งเดียว พอสูดลมเข้าปลายจมูกก็ท่องคำว่าพุทในใจเบาๆ
พอปล่อยลมออกที่ปลายจมูกก็ท่องคำว่าโธในใจเบาๆ

ท่านจะทำวิธีใดก็ได้ แต่ขอให้ทำแล้วสบายจิต สบายใจ หายใจสะดวก รู้สึกสบาย

หายใจไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ลมหายใจของท่านจะค่อยๆเบาลง บางลง ละเอียดขึ้น

จุดนี้หลายท่านประสบปัญหาเรื่องคำบริกรรมหาย เดือดร้อนใจว่าพุทโธหาย
หรือลมหายใจเข้าหาย ลมหายใจออกหาย

ไม่ต้องกังวลใจหรือฟุ้งซ่านไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ทำไปๆ ลมหรือคำบริกรรมจะหาย

ถ้า ณ ขณะนั้น ท่านรู้สึกสบาย หรือรู้สึกเย็นในโพรงจมูก หรือรู้สึกเย็นในลำคอหรือในช่องปาก ขอให้ท่านเปลี่ยนไปให้ความสนใจ ณ จุดที่ท่านรู้สึกว่าเย็น รู้สึกว่าสบาย

ขอให้ท่านให้ความสนใจไปกับรู้สึกเย็น ชื่นใจ สุข สบาย ณ ตำแหน่งดังกล่าวให้มากๆ
ยิ่งรู้สึกมากยิ่งดี ยิ่งล้นจิตล้นใจยิ่งดี อย่ากลัวว่าการให้ค่า ใ้ห้ความสนใจกับความสุขความสบายจะทำให้สติหาย
เพราะสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ สติไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่สมาธิพละเด่นชัดกว่าเท่านั้น
เหมือนตอนกลางวันดวงดาวไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่สู้แสงอาทิตย์ที่เด่นชัดกว่าไม่ได้เท่านั้น

หรือหากไม่ปรากฏความเย็นสบาย แต่ปรากฏอารมณ์ปีติทางใจแทน ก็ให้ท่านใส่ใจในอารมณ์ปีติที่เกิดขึ้นทางใจ
ขอให้ระลึกนึกถึงแต่อารมณ์ปีติทางใจนั้นให้มากๆ ขอให้รู้สึกแช่มชื่น แจ่มใส
ยินดี ปรีดา ให้มากๆ อารมณ์ปีติทางใจที่ว่านี้ มีลักษณะอารมณ์เหมือนกันกับเวลาที่เราทำบุญ ตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมนั่นเอง

ถ้าไม่ปรากฏทั้งความเย็นชุ่มชื่น ความสบาย หรืออารมณ์ปีติทางใจ
ก็ขอให้ปล่อยจิตไปตามลมหายใจไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิด
อย่าไปตรึงจิตไว้ อย่าไปคอยกระตุกจิตกลับมา ให้ปล่อยไปเรื่อยๆ สบายๆ

ถ้าไม่เกิดจริงๆ ขอให้ลองยิ้มที่มุมปากในขณะที่หลับตาอยู่ นั่นแหละอารมณ์ปีติ
อารมณ์มันเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องกลัวคำครหาว่าบ้า นั่งหลับตาอยู่ดีๆก็ยิ้มที่มุมปาก

ถ้ายิ้มที่มุมปากแล้วยังไม่เกิดปีิติ ก็ให้ระลึกนึกถึงช่วงเวลาที่เราได้เคยทำบุญ
ช่วงเวลาที่เราเคยใส่บาตร เคยกราบพระ เคยสวดมนต์ไหว้พระ แล้วปีติจะเกิดซ้ำ

ขอให้เจริญสิ่งเหล่านี้ให้มากๆ มากระดับที่พองฟู จนล้นจิต ล้นใจ ไม่กัก ไม่กั้นเอาไว้

ไม่ต้องคอยพะวงว่าเมื่อไหร่จิตจะรวม เมื่อไหร่จิตจะตั้งมั่น ขณะนี้เวลาผ่านไปเท่าไร
นานแค่ไหนแล้ว รอบตัวตอนนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ไม่ต้องคอยพะวงว่าลมหายใจหายไปหรือยัง คำบริกรรมหายไปหรือยัง หายก็หาย

และเมื่อหายก็อย่าได้ตกใจไม่มีใครตายขณะนั่งสมาธิ
ถ้านั่งไป นั่งไป แล้วเจอแต่ความว่างๆ นิ่งๆ ตื้อๆ ตันๆเหมือนอยู่ในภวังค์
ก็ขอให้ลืมตาแล้วเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้นคือเริ่มหายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ

หรือถ้ารู้สึกว่าหัวโต หัวพอง ตัวโต ตัวพอง หรือรู้สึกแปลกๆ ก็ให้ลืมตาแล้วเริ่มทำใหม่

ส่วนมากคนที่ทำแล้วเหมือนเดินย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้ฌานสักที
เพราะไม่ปล่อยจิตไปตามความสบาย ไม่ปล่อยจิตไปตามความสุข เพราะมักกลัวว่าจะไร้สติ

สติคือการระลึกนึกถึงแต่อารมณ์ที่เป็นกุศล ความสุขและความสบายที่เกิดจากการทำสมาธิเป็นอารมณ์ของกุศล
ดังนั้นการปล่อยจิตให้ระลึกรู้แต่ความสุขความสบายในสมาธิตามความเป็นจริง
ก็คือการเจริญสติ

ส่วนการรู้สึกตัวทั่วพร้อมคือการเจริญสัมปชัญญะ สัมปชัญญะคือการรู้สึกตัว
สติคือความระลึกได้

สัมปชัญญะมักเกิดตามหลังสติ บ่อยครั้งเราจึงมักเข้าใจว่าการรู้สึกตัวตลอดเวลา
คือการได้สติ หรือมีสติ

คนมักกลัวว่าถ้าปล่อยจิตไปกับความสุข ความสบาย จะกู่ไม่กลับ จะไร้สติ
แต่พอจิตเปี่ยมล้นด้วยปีติจนถึงจุดหนึ่งนั้น ปฐมฌานจะเกิด
อารมณ์มันจะพลิกกลับ คือจิตจะตั้งมั่นขึ้น หรือรวมลง สติจะเกิดชัด แจ่มใส
แช่มชื่น มีพลัง สว่างไสวรุ่งโรจน์ ผ่องใสไพโรจน์
หลังออกจากฌานแล้วจะรับรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง และรู้ตัวทั่วพร้อม

เบากาย เบาใจ พิจารณาสิ่งใดก็แคล่วคล่องว่องไว ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ
ขณะเข้าฌานมักมีนิมิตผุดขึ้นตรงหน้า เหมือนลอยอยู่ด้านหน้าตรงเปลือกตา
นิมิตในอานาปานสติจะต่างกันไปในแต่ละครั้ง บางทีเหมือนหมอก เหมือนเมฆ
บางทีเหมือนสร้อยเพชร บางทีเหมือนดวงดาว หรือดวงจันทร์ บางทีเหมือนดวงแก้ว

และจะรู้ว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น นิวรณ์ทั้ง 5 ไม่เคยดับได้สนิทเหมือนครั้งนี้
ความลังเลสงสัยจะหมดไป ความกลัวจะไม่มี

คนที่ติดสุขจากฌานโดยมาก มักติดผรณาปิติ
แต่ถ้าได้ตติยฌาน ละปิติได้เมื่อไร อาการติดใจในผรณาปิตินี้ก็จะหายไปเอง
และได้ความยินดีในความสงบมาแทนที่ความสุข
หรือมีอุเบกขาวางเฉยเป็นกลางไม่ยินดีและไม่ยินร้ายได้ในท้ายที่สุด

เมื่อได้ปฐมฌานจะสามารถทำสมาธิได้นานไม่ง่วง ไม่หลับ
มีสติมหาศาล
ไม่ฟุ้ง ไม่หิว ไม่ปวดไม่เมื่อย ถ้าปวดเมื่อยอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตำแหน่งที่ถูกยุงกัดจนคันก็หายไปเหมือนไม่เคยถูกยุงกัด

ที่ว่ามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม คือ เป็นผู้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักประมาณ
เมื่อออกจากฌานใหม่ๆ นิวรณ์จะยังไม่เกิด ช่วงนี้เหมาะสำหรับการเจริญวิปัสสนาอย่างยิ่ง เพราะยืน เดิน นั่ง นอน ก็สักแต่ว่า...อย่างแท้จริง
ทำสิ่งใดๆลงไปก็ทำไปตามเหตุและผลโดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่น

เป้าหมายและประโยชน์ของการได้ฌาน ก็คือเพื่อให้วิปัสสนาญาณเกิดง่าย
เหมือนดังน้ำที่หายขุ่นและตกตะกอนแล้ว ย่อมส่องเห็นได้ชัด
หรือเหมือนกระจกเงาที่มัวเมื่อเช็ดและขัดถูจนใสย่อมส่องมองเห็นได้ชัดถนัดตา

วิตกกับวิจาร ก็คือการยกจิตขึ้นรับอารมณ์ปีติ หรือการน้อมจิตเข้าหาอารมณ์ปีิติ
หรือโผเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับอารมณ์ปีติ ไม่ใช่ความคิด หรือการตรึกตรอง
เหมือนดังนกจะบินสู่ท้องฟ้ากว้าง ก็ต้องกางปีกออกแล้วโผขึ้นสู่ฟ้า
หรือเหมือนการจะทำให้ไฟลุกโพลงก็ต้องเป่าลมเข้าหากองไฟหรือพัดลมเข้าไป

ช่วงที่ยังได้ปฐมฌาน ต้องหมั่นประคองปีติ โดยยกจิตขึ้นพิจารณาหรือรองรับปีติ
หรือเข้าหาปีติ เมื่อเข้าหาจนมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียวแล้วปีติจะลุกโพลงขึ้นและเกิดต่อเนื่อง มากขึ้น เหมือนนักโต้คลื่นต้องหมั่นเลี้ยงตัวทรงตัวอยู่บนเกลียวคลื่น

ถ้าได้ฌานจริง หลังออกจากฌานและเจริญวิปัสสนา่ต่อ
วิปัสสนาญาณจะเกิดไวมาก และต่อเนื่อง รุนแรง รวดเร็ว สามารถขึ้นสู่วิปัสสนาญาณชั้นสูงๆได้ไว ความแตกดับของรูปและนามปรากฏพร้อมกันได้อย่างมากมาย รุนแรง เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัยเห็นความน่ากลัวน่าเบื่อหน่ายของรูปและนามได้ชัดเจน

สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งคือเมื่อนิวรณ์กลับมาเป็นปกติ ให้ระวังมานะความถือตัว
ให้ระวังความถือตัวว่าเก่งกว่าผู้อื่นหรือเหนือกว่าผู้่อื่น หรือชำนาญกว่าผู้อื่น

ให้รู้เท่าทัน อย่าให้มานะเติบโต เพราะเวลาทำฌานไม่ได้ เพราะประมาทหรือเพราะละทิ้งการทำสมาธิเกิน 3 วัน จะกลับไปทำอีกครั้งจะทำยากหรือลำบากมากขึ้น
ยิ่งทิ้งไว้เป็นสัปดาห์ยิ่งยากกว่าเดิม และจะเกิดโทมนัสมากกว่าคนทั่วไปว่าเคยทำได้ถึงอัปปนาสมาธิแต่ทำไมกลับทำไม่ได้เหมือนเดิม

ช่วงเวลาที่ตกต่ำ หรือทำไม่ได้ ให้พิจารณาความเสื่อมดังกล่าวว่าเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ให้พิจารณาให้เห็นถึงความไม่เที่ยงและสภาพที่ไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความปราถนาของเรา เ็ป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
พลิกสมถะให้เป็นวิปัสสนาโดยพิจารณาตามหลักไตรลักษณ์

แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เคยได้ฌาน เขาจะไม่เริ่มตั้งต้นนับ 1 ใหม่
เขาจะใช้วิธีระลึกนึกถึงอารมณ์ที่เคยได้ในขณะที่เข้าฌาน
ถ้าจำอารมณ์ได้ ก็จะเข้าฌานได้ง่าย ได้ไว ไม่ต้องไปเริ่มหายใจเข้า หายใจออก
แต่ถ้าทิ้งร้างไว้นานก็จะลืม จะจดจำอารมณ์ไม่ได้

ถ้ามีใครทักท้วง คัดค้าน หรือสบประมาท ก็อย่าได้หวั่นไหว หรือขัดเคืองใจ
เพราะความลังเลสงสัย ความไม่มั่นใจ หรือปฏิฆะความขุ่นเคืองเหล่านี้เป็นนิวรณ์
เป็นเครื่องกั้น เป็นสิ่งกีดขวาง ที่ทำให้จิตไม่สงบตั้งมั่น
ถ้าทำได้จริง ก็ต้องทำซ้ำได้ ด้วยวิธีเดิม และได้อารมณ์แบบเดิมทุกครั้ง

หมั่นเข้าให้ได้ง่าย ได้ไว
อย่ารีบร้อนที่จะขึ้นไปสู่ฌานชั้นสูง ทำของเดิมให้ชำนาญเป็นขั้นๆไปก่อน
จะละองค์ฌานชั้นล่างๆได้ต้องพิจารณาให้เห็นความหยาบหรือความไม่ประณีตขององค์ฌานชั้นล่างๆ ค่อยๆละไปทีละตัว ตัวไหนทำให้รู้สึกว่ายังสงบไม่พอให้ละไปทีละตัว ยึดเอกัคคตาเป็นเสาหลัก วางอุเบกขาในองค์ฌานชั้นล่าง คือไม่ยินดี

ที่สำคัญคือ อย่าอยากได้ อย่าเร่งเวลา อย่าบังคับตัวเองว่าเข้าครั้งนี้ต้องได้ฌานชั้นนั้นชั้นนี้ ให้ใส่ใจกับอารมณ์ปัจจุบัน และให้ใส่ใจกับอารมณ์ปัจจุบันมากกว่าสนใจดูนิมิต
ถ้าดูนิมิตมากกว่าใส่ใจกับอารมณ์ปัจจุบัน นิมิตจะหาย
อารมณ์ของฌานก็จะหายตามไปด้วยเพราะไม่ใส่ใจประคองอารมณ์ให้สม่ำเสมอ

แก้ไขเมื่อ 06 ม.ค. 55 21:50:20

จากคุณ : คืนวันอันแสนดี
เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 54 22:31:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com