Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พรปีใหม่...หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี ติดต่อทีมงาน

วันนี้ขึ้นปีใหม่แล้วก็เลยอยากจะเทศน์ให้ฟังเสียหน่อย
ทุกคนที่เกิดมามันมีการเปลี่ยนแปลงยักย้ายไปตลอดอายุของเรา
ความแก่ของเรานั่นน่ะมันหมดไปๆ แต่ว่า
วัน เดือน ปีนั้นมันของเก่าอยู่
คนยังพากันไปตื่นเงาตนเองเห็นว่าปีเก่าหมดไป
ปีใหม่มาเลยตื่นเต้นกัน
อยู่กรุงเทพฯ ก็พากันมาถึงวัดหินหมากเป้งนี่ มาขอพรปีใหม่
มาขอให้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้มีอายุยืนนาน
อันความหลงของคนมันหลงอยู่อย่างนี้แหละ หลงเงา ตนเอง

ขอให้มีอายุยืนนาน อายุมันจะยืนอย่างไร มันก็หมดไปทุกทีๆ
เหมือนกันกับที่เขาทอ หูกทอผ้า
ข้างหน้ามันสั้นเข้าทุกทีๆ บางคนก็จวนจะหมดแล้ว
แล้วจะเอาอายุที่ไหนมาต่อให้ มาขอพรจากพระ
พระจะเอาอายุที่ไหนมาต่อให้ อายุของพระก็หมดไปๆ เหมือนกัน
ต่างคนต่างหมดไปด้วยกันจะไปให้กันได้อย่างไรล่ะ

ขอให้มีวรรณะ คือผิวพรรณงาม
ก็อาหารนั่นแหละให้ผิวพรรณ
ขออายุกับขอวรรณะก็อันเดียวกันมันได้จากอาหาร
มาขอผิวพรรณผ่องใสบริสุทธิ์จากพระ
ครั้นหากว่าพระให้ ทีนี้พระจะไปเอาที่ไหนมาให้
ผิวพรรณวรรณะมันเกิดจากอาหาร
ขอให้มีความสุข มันจะสุขที่ไหน?
มาขอจากพระก็จะได้จากที่ไหน
ความสุขอันที่ขอได้นั่นมันมีอย่างหนึ่ง คืออาหาร นั่นแหละขอความสุขได้
อาหารทำให้มีความสุขสบาย
ถ้าอาหารไม่มี อาหารไม่ตกถึงท้องละก็ หมดเหมือนกันความสุข ไม่มีความสุข
แต่พระก็ยังขออาหารจากชาวบ้านฉันอยู่
แล้วจะเอาความสุขมาให้ญาติโยมได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาว่า ความสุขไม่มีในโลกนี้
มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไป ทุกข์อันนี้เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วทุกข์อันนั้นดับไป
ทุกข์ใหม่เกิดขึ้นมาอีก เมื่อเห็นตามเป็นจริงอย่างนี้แล้วก็หมดเรื่อง
ไม่ต้องไปขอความสุขจากใคร

ขอพละกำลัง ก็อันเดียวกัน
ได้อาหารมีรสชาติดี มันก็ได้กำลังวังชา ทำมาหากินเลี้ยงชีพได้

พร ๔ ประการนั้นไม่ทราบจะไปขอจากใคร
ตื่นเงา เจ้าของ คือตัวของเราเองนั่นแหละ
มันเปลี่ยนแปลงไปทุกวันๆ
เข้าใจว่าปีใหม่ เดือนใหม่
จะทำให้มีความสุข มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ๔ ประการนั่น
วัน เดือน ปี มันจะเอาอะไรมาให้
ตื่นโดยไม่รู้ด้วยซ้ำ ไม่มีใครให้แต่
ว่าพากันตื่นเอา เข้าใจกันว่าเอาพรมาได้จากปีเดือน
ปีเดือนมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา
เราเกิดขึ้น มาก็เห็นว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
ปีหมดไป เดือนหมดไป มันหมดไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ
เราสมมติว่ามันหมด แต่อันที่จริงมันไม่หมดหรอก
มันหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลามา
วันหมุนไปหาเดือน เดือนหมุนไปหาปี มันเวียนกันไป

แท้จริงวันมันก็ไม่ได้เรียกตัวมันว่าวันหรอก วันอาทิตย์ วันจันทร์
วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์
มันไม่ได้เรียกของมัน เดือนก็ไม่เรียกของ
มันว่าเดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม ฯลฯ
มันไม่ได้เรียกไม่ได้พูด เราไปใส่สมมติชื่อเอาเฉยๆ
ปีก็ไม่ได้เรียกตัวมันเองว่า ปีชวด ฉลู เถาะ มะโรง ฯลฯ
คนพูดเรียกเอาสมมติเอาเองต่างหาก
ความจริงตัวของเรานี้ต่างหากที่มันหมดไป ไม่ใช่วันเดือนปีหมดไป
ครั้นมองเห็นตัวของเราหมดไปแล้ว
ไม่ต้องตื่นเต้นกับของพรรค์นั้น ไม่ต้องตื่นเต้นกับวันใหม่ ปีใหม่อันนั้นมันหมุนไปตามเรื่องของมัน
วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง อันนั้นเป็นสมมติบัญญัติขึ้นมา

อันที่เราควรจะตื่นเต้นนั่น ควรตื่นเต้นที่ตัวของเรา
ว่าวันหนึ่งๆ เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง
เราเจริญขึ้น หรือว่าเราเสื่อมลงอันนั้นต่างหาก
เราเห็นความเสื่อมความเจริญของเรา
แท้จริงร่างกายของเรามันเจริญขึ้นไม่มีหรอก
มีแต่เสื่อมลง มันเกิดขึ้นมาแล้วก็เสื่อมลงทุกทีๆ
มันเสื่อมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดาโน่น
มันแก่คือความเสื่อม ถ้าหากมันไม่แก่ มันก็ไม่คลอดออกมา
คลอดออกมาแล้วก็แก่วัน แก่เดือน แก่ปี โดยลำดับ
จนกระทั่งแก่เฒ่าชรา แล้วผลที่สุดก็มรณะคือตาย อันนี้เป็นความแก่ของร่างกาย

ความแก่ของจิตใจคราวนี้ ร่างกายนี้เราอาศัยมันอยู่เฉยๆ เท่านั้น
มันไม่ใช่เรา ควรมองดูจิตใจของเรา
ทำใจของเราให้มันแก่ขึ้น ทำใจให้แก่คืออย่างไร?
คือทำใจของเราให้แก่กล้าด้วยคุณธรรม
อันนั้นเป็นของเราอย่างแท้จริง วันหนึ่งๆ เราคิดถึงการทำทานหรือไม่?
เราคิดถึงการทำทานกี่ครั้ง เราคิดถึงการรักษาศีลหรือไม่?
และเราคิดถึงการทำสมาธิเพื่อฝึกหัดทำใจให้สงบ ทำใจให้เบิกบานหรือไม่?
คุณธรรมเหล่านี้แหละที่ควรทำให้มันแก่ขึ้นในใจของเรา
การทำทาน เป็นผลให้ จิตใจอิ่มเอิบเบิกบาน
การที่จิตใจอิ่มเอิบเบิกบานมันเป็น อายุ วรรณะ สุขะ พละตรงนั้นแหละจิตใจเบิกบานแล้วกายมันก็เบิกบาน
สุขะมันเกิดขึ้น วรรณะมันก็เกิดขึ้นมาด้วยกัน
มีความอิ่มอกอิ่มใจในการที่เราทำบุญทำทาน
วันหนึ่งๆ เราทำทาน มันอิ่มใจขึ้นมาทุกวัน
ก็ได้ชื่อว่าเป็นของเราแล้วอันนั้น

การรักษาศีล ศีลเรามีกี่ตัวในตัวของเรา
ศีล ๕ ได้แก่ ๑. เจตนางดเว้นจากการฆ่า
๒. เจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้
๓. เจตนางดเว้น จากการประพฤติผิดมิจฉาจาร
๔. เจตนางดเว้นจากการกล่าวเท็จ กล่าวคำไม่จริง
๕. เจตนางดเว้นจากการ ดื่มสุรายาเมา

เรามีครบไหมในตัวของเรา ถ้าไม่ครบก็ทำให้ครบขึ้นมา
สมมติว่าปีนี้มีแล้ว ๑ ตัว ปีหน้าต้องมีอีก ๑ ตัว
ก็ได้ศีล ๒ ตัวแล้ว ปีต่อไปก็ได้ศีล ๓ ตัว
ปีต่อๆ ไปก็มี ศีล ๔ ตัว ๕ ตัว ๕ ปีเราก็ได้ศีลครบบริบูรณ์ในตัวของเรา
อันนั้นแหละจิตใจเจริญขึ้น มันแก่ขึ้น
ครั้นมีศีลครบบริบูรณ์แล้ว ใจก็อิ่มเอิบเบิกบาน
มีความสุข มีสุขะ วรรณะ มันก็เกิดขึ้นมา พละก็มีขึ้นทั้งกำลังกาย
กำลังใจมันก็มีอายุ ทำให้อายุยืนได้เหมือนกัน ตกลงมีครบบริบูรณ์แล้ว

คนมีศีล ๕ บริบูรณ์ทำให้อายุยืนได้
อย่างเช่นในสมัยหนึ่งตระกูลของธรรมบาลนั้นเขารักษาศีล ๕ หมดทุกคน
ในตระกูลของเขานั้นถ้าคนอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีไม่ตาย
ธรรมบาลไปเรียนหนังสือในทิศาปาโมกข์
เห็นเด็กคนอื่นตาย ญาติพี่น้องพ่อแม่มาร้องไห้
ธรรมบาล เห็นแล้วก็หัวเราะ คนถามว่า “ทำไมจึงหัวเราะ”
ธรรมบาล ตอบว่า “คนในตระกูลของฉันนั้นอายุยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ไม่ตายหรอก”
ครูของธรรมบาลก็มาคิดดู เอ! มันจะเป็นจริงได้หรือ?
จึงทำอุบายเอากระดูกแพะมาเผา
แล้วห่อผ้านำไปให้พ่อแม่ของธรรมบาล
ร้องไห้ร้องห่มไป เมื่อถึงบ้านก็ร้องไห้อีก
พ่อแม่ของธรรมบาลถาม “ร้องไห้เรื่องอะไร?”
ครูตอบว่า “ที่ท่านเอาลูกไปฝากไว้ในสำนักของข้าพเจ้านั้น ลูกของท่านตายแล้ว”
พ่อแม่ของธรรมบาลก็หัวเราะอีก
ครูถามว่า “ทำไมจึงหัวเราะ?”
ตอบว่า “ลูกฉันไม่ได้ตาย กระดูกนี้ไม่ใช่กระดูกลูกของฉัน
อายุของเขายังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ลูกของฉันยังไม่ตายหรอก”
ครูก็แจ้งชัดขึ้นมาในใจว่า โอ ! ตระกูลนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ

นั่นแหละการรักษาศีล ๕ ให้ครบมูลบริบูรณ์ มีอายุยืนนานได้เหมือนกัน
ลองดู แม้อายุจะไม่ถึง ๑๐๐ ปี แต่ก็มีอายุยาวนานกว่าปกติธรรมดา
การรักษาศีลทำให้อายุยืน
เพราะมันทำให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน ไม่คิด ถึงสิ่งทั้งปวงหมดเมื่อเรามีศีล ๕ ครบสมบูรณ์
ก็ไม่มี การฆ่าสัตว์, ไม่มีการลักขโมยของคนอื่น ฯลฯ
คือ ความชั่วไม่เกิดขึ้นในตัวของตน
จิตใจมันก็ผ่องใสเบิกบาน อายุก็ยืนยาวนานเท่านั้นเอง

จึงควรตื่นอย่างนี้ ตื่นความดีของเราดีกว่าว่า เราได้ทำดีแล้ว
แต่ก่อนไม่เคยมีศีล ๕ เวลานี้เรามีแล้ว ตื่นอันนี้แหละดีกว่าตื่นตามธรรมดา
ที่เขาตื่นปีใหม่กันในบ้านในเมืองนั้น
อันที่เขาตื่นนั้นมันตรงกันข้ามกับที่อธิบายมานี้
ตื่นมากินเหล้าเมาสุราเฮฮากันไปทั่วทุกแห่งหน
เสียทรัพย์สินเงินทอง กระโดดโลดโผนในที่สุดขับรถขับราไปเที่ยว เลยรถคว่ำ
หรือเกิดทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน เลยหัวร้างข้างแตก
บางทีถึงกับตาย ปีหนึ่งๆ คนตายเพราะตื่นเต้นปีใหม่นั้นจำนวนเท่าใด?
อย่างนั้นไม่ได้ตื่นในตัวเรา มันตื่นของภายนอก
มันเลยหลงลืมตัวไปเพลิดเพลินมัวเมาไป
ทีนี้เลยไม่ตื่นในตัวของเรา มันเป็นอย่างนั้นแหละ

ดังนั้น ความตื่นในตัวของเรานั้นเป็นของดีมาก
เป็นเหตุให้รู้สึกตื่นตัว ทำความดีทั้งทางกายและทางใจ
อย่างเช่นเราไม่เคยมีศีลเลยสักตัว ปีนี้เอาให้มันได้ศีล ตัวหนึ่ง
ปีต่อไปได้อีกเป็น ๒ ตัว พอ ๔ ปี ๕ ปี ก็ได้ศีล ๕ ครบบริบูรณ์
ก็มีความอุ่นใจแล้ว สบายใจแล้ว คราวนี้
เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็ตื่นทำสมาธิ
หัดทำสมาธิภาวนา จิตใจยังไม่ทันเป็นสมาธิ ก็หัดให้เป็นสมาธิ
จิตใจแน่วแน่สงบลงเป็นหนึ่ง มันยังไม่ทันเป็นจึงต้องหัด
หัดให้มันเป็นภาวนา ปีนี้ได้แค่นี้ ปีหน้าให้ได้ต่อจากนี้ไปอีก
ทำสมาธิให้ได้แน่วแน่ ปีต่อไปให้ได้ชำนิชำนาญกว่านี้อีก
ทำสมาธิได้บ้างไม่ได้บ้าง มันส่งส่ายวอกแวกไปมาสารพัดทุกอย่าง
ทำทีแรกมันเป็น อย่างนั้น ก็ดีอยู่เราเห็นจิต
ดีกว่าไม่เคยเห็นจิตเสียเลย ทีหลังต่อไปให้มันแน่วแน่ลงไป
ปีหนึ่งทำสมาธิให้ได้สักครั้งหนึ่งก็ยังดีอยู่ ดีกว่าที่เราอยู่เฉยๆ
ไม่ได้หัดสมาธิเลย ไม่ทราบว่าเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ยังไม่เคยทำสมาธิสักที
ชาตินี้ทำให้มันได้สักครั้งหนึ่งก็ยังนับว่าดีอยู่
ปีต่อไปก็หัดให้มันได้บ่อยเข้า หัดให้มันชำนิชำนาญคล่องแคล่วเข้า
ทำให้มันได้เป็นขั้นเป็นตอนไป จนกระทั่งมันชำนาญ
ทำเวลาใดให้มันได้เวลานั้น
อันนั้นเรียกว่าต่ออายุ ต่อวรรณะ สุขะ พละ ขึ้นไป
นี่แหละของที่ควรตื่น ควรตื่นทำสมาธิภาวนา

ถ้าหากไม่เช่นนั้นจิตใจของเรามันอยู่เสมอภาคอยู่เสมอเก่า
ลองคิดดูคนเรานั้นจะเป็นคนแก่หรือคนหนุ่มก็ตาม
จะมองเห็นได้ง่ายๆ ว่าจิตใจไม่รู้จักแก่
เมื่อมีศีลสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็ตื่นทำสมาธิ
หัดทำสมาธิภาวนา จิตใจยังไม่ทันเป็นสมาธิ ก็หัดให้เป็นสมาธิ
จิตใจแน่วแน่สงบลงเป็นหนึ่ง มันยังไม่ทันเป็นจึงต้องหัด
หัดให้มันเป็นภาวนา ปีนี้ได้แค่นี้ ปีหน้าให้ได้ต่อจากนี้ไปอีก
ทำสมาธิให้ได้แน่วแน่ ปีต่อไปให้ได้ชำนิชำนาญกว่านี้อีก
ทำสมาธิได้บ้างไม่ได้บ้าง มันส่งส่ายวอกแวกไปมาสารพัดทุกอย่าง
ทำทีแรกมันเป็น อย่างนั้น ก็ดีอยู่เราเห็นจิต
ดีกว่าไม่เคยเห็นจิตเสียเลย ทีหลังต่อไปให้มันแน่วแน่ลงไป
ปีหนึ่งทำสมาธิให้ได้สักครั้งหนึ่งก็ยังดีอยู่ ดีกว่าที่เราอยู่เฉยๆ
ไม่ได้หัดสมาธิเลย ไม่ทราบว่าเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ยังไม่เคยทำสมาธิสักที
ชาตินี้ทำให้มันได้สักครั้งหนึ่งก็ยังนับว่าดีอยู่
ปีต่อไปก็หัดให้มันได้บ่อยเข้า หัดให้มันชำนิชำนาญคล่องแคล่วเข้า
ทำให้มันได้เป็นขั้นเป็นตอนไป จนกระทั่งมันชำนาญ
ทำเวลาใดให้มันได้เวลานั้น
อันนั้นเรียกว่าต่ออายุ ต่อวรรณะ สุขะ พละ ขึ้นไป
นี่แหละของที่ควรตื่น ควรตื่นทำสมาธิภาวนา



แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 54 10:09:37

แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 54 10:06:23

จากคุณ : คนพุทธ
เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 09:57:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com