ความคิดเห็นที่ 1 รู้สึกว่าเคยเห็นตามร้านซีเอ็ด ถ้าอ่านแต่หน้าปกจะเห็นว่า ไอสไตล์กับพระพุทธเจ้าเห็นในแนวทางเดียวกัน ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่คิดว่าน่าจะศึกษาศาสนาพุทธในช่วงบั่นปลาย จากคุณ : Lamelez เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 16:34:57

ความคิดเห็นที่ 2 จูงมือกันไปด้วยกันเถอะไม่ว่าศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ นำพาสันติ ความสุข สู่กายและจิตใจของเรา จากคุณ : powerinvincible เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 16:38:56

ความคิดเห็นที่ 3 ชื่อหนังสือ "ไอสไตน์ พบ พระพุทธเจ้าเห็น" ครับ จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 17:08:20

ความคิดเห็นที่ 4 ตกลงพิสูจน์กันได้หรือยังว่า คำพูดที่อ้างมานั้น ไอน์สไตน์ได้พูดไว้จริง.... The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense ari......si...ng from the experience... of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. และพูดไว้ที่ไหน เอกสารฉบับใด ???   เห็นถกกันมาหลายกระทู้แล้ว    อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า ไอน์สไตน์ ไม่นับถือศาสนาใด ๆ เป็นพิเศษ  แต่อาจจะสนใจศึกษา ศาสนา-ปรัชญา ตะวันออก บ้าง ในช่วงปั้นปลายชีวิต และหากเขารู้จักศาสนาพุทธจริง ๆ ก็คงไม่ใช่ศาสนาพุทธ ที่คนไทย (ส่วนใหญ่) นับถือกันอยู่  คงจะเป็น วิถีพุทธ หรือปรัชญาระดับสูง ๆ ของพุทธมากกว่า จากคุณ : รถเรณู เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 17:12:16

ความคิดเห็นที่ 5 ความจริงที่ไอสไตน์กล่าวไว้นั้น จริงๆแล้วชาวพุทธทุกคนควรจะทราบดีอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ต้องให้ไอสไตน์ซึ่งเป็นคนนับถือศาสนาอื่นมาบอกชาวพุทธเรา แต่บอกไปก็เท่านั้น ความคิดความเชื่อเรื่องพุทธของเราก็ยังเหมือนเดิม คือยังเชื่อในแนวที่พระเจ้ายังอยู่เหนือศาสนา ถูกสอนให้เชื่อตามอย่างเดียว พึ่งเทพเจ้าเทวดาเป็นหลักใหญ่ ครบสูตร ถ้าอยากพบศาสนาพุทธที่เป็นวิทยาศาสตร์ต้องตัดเรื่องพวกนี้ออกไปให้หมด และควรเลือกรับในสิ่งที่ควรรับเท่านั้น อย่างที่เคยบอกไว้ พระไตรปิฏกคือตระกร้าใบใหญ่ที่บรรจุสิ่งของไว้มากมาย แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของในนั้นทั้งหมด เลือกหยิบเอามาแต่สิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์จริงๆก็พอ คนที่ยึดมั่นในตระกร้าใบนี้ ก็เพียรพยายามที่จะหยิบฉวยของทุกอย่างในตระกร้ามาใช้ โดยไม่คิดว่ามันจำเป็นหรือไม่ สมควรเอามาใช้หรือไม่ สมควรใส่ใจหรือไม่ จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 17:17:59

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อความที่ จขกท ยกมาเป็น misattributed ครับ ไอน์สไตน์ไม่ได้พูด และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าไอน์สไตน์น่าจะมีความเชื่อส่วนตัวของเขาเอง เพราะแม้ไอน์สไตน์จะกล่าวถึงพระเจ้า แต่พระเจ้าของไอน์สไตน์ก็ไม่ตรงกับลักษณะของพระเจ้าในศาสนาใดเลย จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 17:54:31

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ว่าไอสไตน์จะเชื่อแบบใดก็ช่าง พระเจ้าแบบไหนก็ตาม ไอสไตน์เขาได้เสนออะไรไว้ไหมครับ ว่าเขา มีวิธีเข้าถึงความจริง ตามที่เขาเชื่อนั้น อย่างไรบ้าง ถ้าเขาไม่มี หรือไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการใดเข้าไปสู่ความเชื่อแบบของเขา แล้วเราจะหาสาระเอามาเป็นแบบอย่างต่อการหาความจริงอันใดได้ จากคุณ : TaraLek เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 18:21:24

ความคิดเห็นที่ 8 พุทธศาสนา ดีพอที่จะให้ผมนับถือ โดยไม่ต้องอาศัยไอน์สไตน์ซิกเนเจอร์ครับ จากคุณ : ABCD (มด_ค้างคาว_แมว_สุนัข) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 18:37:04

ความคิดเห็นที่ 9 ข้าพเจ้าคิดว่า ไอน์สไตน์ ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย จากคุณ : KONICHIWA เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 18:40:56

ความคิดเห็นที่ 10 ไอน์สไตน์หันมาศึกษา ศาสนาพุทธในช่วงท้ายๆของชีวิตและยังแนะนำเพื่อนๆศาสตราจารย์หลายๆท่านมาศึกษา บอกไม่ได้ว่าไอน์สไตน์นับถือศาสนาอะไร แต่ไอน์สไตน์กล่าวถึงศาสนาพุทธว่า Buddhism has the characteristics of what would be expected in a cosmic religion for the future: It transcends a personal God, avoids dogmas and theology; it covers both the natural and the spiritual, and it is based on a religious sense aspiring from the experience of all things, natural and spiritual, as a meaningful unity. พุทธศาสนามีคุณลักษณะของสิ่งที่ควรจะเป็นสำหรับศาสนาแห่งจักรวาลในยุคอนาคต : มันอยู่เหนือความเชื่อส่วนตัวเรื่องพระเจ้า ไม่ยึดถือหลักเกณฑ์ที่ไร้ข้อพิสูจน์และความเชื่อแบบเทววิทยา มันครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตวิญญาณ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของภูมิปัญญาศาสนาจากประสบการณ์ (หรือธรรมชาติ)ของสรรพสิ่ง  ธรรมชาติและจิตวิญญาณเป็นการผสมผสานกันอย่างมีความหมาย ในความเห็นของไอน์สไตน์ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ อัจฉริยะ มีความเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนนาที่ "สอดคล้อง" กับวิทยาศาสตร์มากที่สุด (ในความเห็นของเขา) เรื่องนับถือศาสนาพุทธหรือไม่  เขาไม่ระบุ แล้วแต่คนจะคิดกันเอง จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 18:43:40

ความคิดเห็นที่ 11 ... จากคุณ : pisity เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 18:47:16

ความคิดเห็นที่ 12 คนชอบอ้างประโยคนี้ของไอน์สไตน์แต่เราไม่เคยรู้ว่าเขาลงมือปฏิบัติจริงหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่มันสมองอย่างไอน์สไตน์ไม่สามารถเข้าถึงธรรมระดับสูงได้ ตรงข้ามกับนักธรรมที่ปฏิบัติเงียบๆ ไม่มีชื่อเสียงแต่รู้ซึ้งถึงประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าผ่านการปฏิบัติ ถ้าคนเข้าไม่ถึงและไม่พยายามจะเข้าถึง มีแต่คำคมหลงปรัชญาแต่ไม่ปฏิบัติ มันก็ปุถุชนธรรมดา ไม่ต่างกับเราๆท่านๆ จึงไม่ควรให้ความสำคัญมากไป จากคุณ : . (Friday13th) เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 19:24:37

ความคิดเห็นที่ 13 อัลเบิร์ต ไอสไตล์ นับถือศาสนาอะไร  ผมไม่รู้ แต่เชื่อได้ว่า  ท่านเป็นนักมังสวิรัต นักมังสวิรัติผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (2422 – 2498)  ซึ่งได้ถูกจัดไว้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ที่ส่งเสริมสวัสดิภาพตลอดชีวิต  “ไม่มีอะไรที่จะยังประโยชน์ให้สุขภาพของมนุษย์ และเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตอยู่บนโลก                มากเท่ากับการวิวัฒนาการสู่อาหารมังสวิรัติ”  ในคำกล่าวที่คล้ายกันนี้ เขาได้กล่าวว่าหน้าที่ของเรา คือทำให้ขอบเขตความเมตตาของเราเปิดกว้างขึ้น  ที่จะรวมเอาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายและธรรมชาติทั้งหมดในความงามของมัน” และในวันที่เขากลายเป็นมังสวิรัติ  เขาได้เขียนไว้ในไดอารี่ว่า “ตกลงผมก็มีชีวิตอยู่โดยปราศจากไขมัน ปราศจากเนื้อสัตว์ ปราศจากปลา  แต่ผมรู้สึกดีทีเดียวในลักษณะนี้ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ที่กินเนื้อสัตว์” จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 20:12:40

ความคิดเห็นที่ 14 ผมนับถือศาสนาพุทธเพราะหลักคำสอนของจริงๆของศาสนาพุทธสอนให้เชื่อในเหตุและผล ไม่ให้เชื่ออย่างงมงาย ผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆๆแล้วไอสไตล์นับถือศาสนาอะไร หรือได้กล่าวประโยคนี้จริงหรือไม่ แต่จากความหมายของประโยคนี้เอาแค่ท่อนนี้ The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense ari......si...ng from the experience... of all things natural and spiritual as a meaningful unity. จะคิดถึงศาสนา ??? หากพิจารณาตามกาลามสูตร ยากที่จะเชื่อว่าไอสไตล์พูดประโยคนี้จริง เพราะคนที่พูดท่านได้จากไปแล้วคงเหลือแต่บันทึกต่อๆๆกันมา (ถ้าได้อัดรายการทีวีตอนไอสไตล์พูดประโยคนี้คงนำมายืนยันได้) แต่ถ้าไอสไตล์ได้พูดประโยคนี้จริง มันก็เป็นแค่คำกล่าวของคนคนนึงที่เค้ายกย่องว่าเป็นอัจริยะในยุคนี้ ที่ชื่นชมศาสนาพุทธ แต่ไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาได้ "น่าเสียดาย" คงเป็นเพราะกรรม ถ้าเค้าสามารถเข้าถึงเเก่นแท้ของพุทธศาสนาได้บรรลุธรรมและเป็นผู้เผยแพร่ หลักธรรมให้แก่คนอื่นให้พ้นทุกข์ได้อย่างมหาศาล ถ้าไอสไตล์ได้พูดประโยคนี้จริงจากอัจริยะที่ได้รับการยกย่องในยุคนี้นั้นก็หมายถึงอัจริยะคนนี้ที่โลกยกย่องได้ชื่นชมพุทธศาสนาแล้ว ผมนับถือศาสนาพุทธเกิดในร่มโพธิ์ของศาสนาพุทธทุกชาติเถิด <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/oWraC-OUudc" frameborder="0" allowfullscreen></iframe> จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 20:49:36

ความคิดเห็นที่ 15 #10 อ่านตรงนี้ครับ http://en.wikiquote.org/wiki/Albert_Einstein ข้อความที่คุณยกมาอยู่ในหมวด Misattributed ไอน์สไตน์ไม่เคยพูดเช่นนั้นครับ แปลกแท้ พุทธศาสนิกชนชอบใช้ไอน์สไตน์เป็นแบรนด์ แล้วหยิบยกข้อความที่ไอน์สไตน์ไม่เคยพูดมาอ้างอิงเสมอๆ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 21:27:07

ความคิดเห็นที่ 16 ไอสไตน์นับถือศาสนาอะไรไม่รู้ แต่คิดว่าไม่ใช่พุทธแน่ แต่ถ้ามาลองดูศาสนาที่มีอยู่ในโลกนี้ พุทธก็ถือว่าเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด เพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้เองว่า สิ่งที่ท่านตรัสรู้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ท่านคิดขึ้นมาเอง เป็นสิ่งที่มีจริงอยู่แล้ว ไม่ว่าท่านจะตรัสรู้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ เมื่อเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ ก็ถือได้ว่ามีความเป็นวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดอย่างไอสไตน์ก็น่าจะมีความสนใจและศึกษาดูบ้าง แต่คิดว่าคนฉลาดอย่างไอสไตน์ เมื่อมาศึกษาศาสนาพุทธ เค้าจะสามารถจับแก่นแท้ของพุทธได้ ดีกว่าคนที่เป็นพุทธด้วยซํ้า เพราะเค้าคงไม่มาหลงไหลศึกษาพุทธประวัติ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ต่างๆ ให้ไขว้เขว คงพุ่งไปที่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง คนฉลาดจะจับใจความสำคัญได้ จะสนใจแก่น ไม่สนใจกระพี้ ฉะนั้นเราชาวพุทธไม่ต้องไปเสียดายที่เค้าไม่ได้มาเกิดเป็นชาวพุทธ เพราะคนไทยที่เรียกว่าตัวเองเป็นพุทธนั้น ยังมีความเข้าใจในแก่นของศาสนาพุทธน้อยกว่าไอสไตน์เลย และความรู้ความเข้าในในศาสนาพุทธของคนไทยก็ยิ่งถอยหลังลงคลองไปทุกวันๆ และที่สำคัญถ้าไอสไตน์พูดประโยคนี้จริง เค้าทำให้ศาสนาพุทธดูดีขึ้นมาเป็นกอง มากกว่าวัตรปฏิบัติที่คนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธทำได้เสียอีก ไม่รู้ว่าจะจัดพุทธในบ้านเราไว้ในหมวดหมู่ไหนดี เปรียบเหมือนได้กลิ่นวัพเฟิลหอมลอยลมมาน่าทาน เดินตามกลิ่นไปถึงร้านว่าจะซื้อชิมซักหน่อย กลายเป็นร้านขายขนมครกไปซะนี่ จากคุณ : Persimon เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 21:57:42

ความคิดเห็นที่ 17 . จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:05:02

ความคิดเห็นที่ 18 ไอน์สไตน์  ถือเป็นไอดอลของเหล่านักวิทยาศาสตร์  วิทยาศาสตร์นั้นต้องสามารถพิสูจน์ ได้หลักศาสนาพุทธนั้นก็เน้นให้มาพิสูจน์เอง แล้วค่อยเชื่อ  นั่นทำให้ศาสนาพุทธและ วิทยาศาสตร์ไปในแนวทางเดียวกัน   แต่โลกแห่งวิทยาศาสตร์ที่มุ่งศึกษารูปธรรมที่ปรากฎ ที่เราสัมผัสได้ต่างจากพุทธศาสนาที่มุ่งศึกษา สิ่งที่อยู่ภายในที่เป็นนามธรรม   พระพุทธเจ้า ท่านมองทะลุถึงสิ่งที่อยู่ภายใน  และท่านอาจมองทะลุสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่อาจไม่ใช่สิ่งที่ ท่านแสวงหาท่านเลยไม่ได้เน้นที่ รูปธรรมภายนอก    เพราะรูปธรรมภายนอกสุดท้ายก็อยู่ ภายใต้กฎไตรลักษณ์  ซึ่งเป็นแค่เศษเสี้ยวนึงของธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ การที่ไอน์สไตน์จะสนใจศาสนาพุทธหรือไม่นั้นคงไม่ใช่เรื่องสำคัญ   เพราะสิ่งที่ พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยทฤษฎีที่มี  เพราะโลก แห่งภายในนั้นก็ต้องใช้สิ่งที่ละเอียดกว่าในการค้นหา  ฉะนั้นศาสนาพุทธแม้นอาจไม่ พิสูจนฺ์ได้ด้วยตาแต่พิสูจน์ได้ด้วยใจและถ้าไอน์สไตน์จะสนใจจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ มันจะน่าแปลกใจมากกว่าถ้าอัจฉริยะแบบนี้ไม่สนใจ^^ จากคุณ : ล้าน5 เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:15:48

ความคิดเห็นที่ 19 คคห.15 เห็นทีท่าน ว.วชิรเมธีคงต้องทำงานหนักมากกว่านี้ ว่าไหม http://www.manager.co.th/science/viewnews.aspx?NewsID=9520000138043 จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:47:31

ความคิดเห็นที่ 20 แปลกแท้ พุทธศาสนิกชนชอบใช้ไอน์สไตน์เป็นแบรนด์ แล้วหยิบยกข้อความที่ไอน์สไตน์ไม่เคยพูดมาอ้างอิงเสมอๆ --------------------------------- ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนหรอกครับที่ชอบใช้ไอนสไตน์เป็นแบรนด์ วงการวิชาการ  กวดวิชา  วิทยาศาสตร์ต่างหากเอาไอน์สไตน์มาเป็นแบรนด์ คุณชิวเคยเห็นวัดเอาไอนสไตน์มาขึ้นปกหนังสือสวดมนต์หรือไม่  ไม่มีใช่มั้ยครับ คุณชิวใช้คำผิดไปนิดนึง ทีนี้ลองมามองว่าทำไมคนชอบโยงไอน์สไตน์กับเรื่องต่างๆมากกว่า เพราะอะไร ? เพราะทฤษฏีสัมพัทธภาพเป็นจุดเริ่มของการต่อยอดเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ไอน์สไตน์ผู้คิดค้นทฤษฏีสัมพัทธภาพ  และด้วยความเป็นอัจฉริยะที่ทั้งโลกยอมรับ จึงเป็นบุคคลที่คนส่วนมากให้ความสำคัญและให้ความสนใจ หากไอนสไตน์จะสนใจศาสตร์ใดซักอย่างที่ไม่เกี่ยวกับทฤษฏีสัมพัทธภาพ คนในวงการนั้นๆย่อมให้ความสนใจและหยิบยกความเป็น "ไอนสไตน์" ขึ้นมาเป็นประเด็น วงการดนตรี ก็มักจะหยิบยกการเล่นไวโอลินของไอนสไตน์มาเป็นทักษะทางดนตรีของอัจฉริยะ วงการวิทยาศาสตร์ ก็หยิบยกไอน์สไตน์มาเป็นบุคคลอ้างอิงในหลายๆเรื่อง วงการการศึกษา ก็คงไม่ต้องอธิบาย  ไอนสไตน์เป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดและปัญญาทางวิชาการ แล้วถ้าไอน์สไตน์จะศึกษาพุทธศาสนา และค้นพบความสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์บ้าง  เราจะหยิบยกมาให้ความสนใจไม่ได้หรือ ? หากพิจารณานิยามของ Cosmic Religion ของไอน์สไตน์ซึ่งเป็นศาสนาที่อยู่เหนือการบูชาสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือเป็นศาสนาที่ "พิสูจน์ได้" ซึ่งคุณสมบัติของศาสนาพุทธก็คือ "พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล" ก็ยังถือว่า "สอดคล้องกันอยู่" ในบอร์ดพันทิป เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ผมจะเห็นคน 3 แบบทุกที 1.เป็นชาวพุทธที่ไม่ยอมให้วิทยาศาสตร์เข้ามายุ่มย่าม 2.เป็นชาววิทยาศาสตร์ ที่ไม่ยอมให้เรื่องของศาสนาเข้ามายุ่มย่าม 3.พุทธกับวิทยาศาสตร์เข้ากันได้ อันนี้แล้วแต่จริต ไม่มีความเห็นไหนถูกใจคนทั้ง 3 แบบ เป็นธรรมดา ทั้งนี้ทั้งนั้น  สรรพสิ่งล้วนเกิดดับเป็นธรรมดาของสรรพสิ่ง พุทธศาสนาก็กล่าวไว้  วิทยาศาสตร์ก็ค้นพบการเกิดดับของสรรพสิ่งอยู่เนืองๆ  แม้แต่ดวงอาทิตย์วันนึงก็ต้องดับไปทั้ง 2 อย่างก็ว่าไว้ตรงกัน ก็สอดคล้องกันอยู่นิ ผมว่าเรื่องของโลก มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว  ใครมองแบบไหนก็ถ่ายทอดมาเป็นอย่างนั้น อย่าไปซีเรียสในเรื่องตัวบุคคลเลยครับ จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 22:55:21

ความคิดเห็นที่ 21 #20 พวกกวดวิชาใช้ไอน์สไตน์เป็นแบรนด์ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ มันคือการเอา "คนฉลาด" มาเป็นแบรนด์ทางวิชาการ และผมก็ไม่เคยพูดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่ที่ผมพูดถึงพุทธศาสนิกชน เพราะมันเป็นเรื่องแปลก ทีนี้ถามว่าพุทธศาสนิกชนไม่ใช้ไอน์สไตน์เป็นแบรนด์จริงๆ หรือ แล้วข้อความที่อยู่ในหมวด misattributed ทำไมถึงถูกแชร์หลายต่อหลายครั้งในหมู่ชาวพุทธ และหนังสือเล่มนี้คืออะไร จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:30:57

ความคิดเห็นที่ 22 หนังสือเหล่านี้ถูกวิจารณ์หลายต่อหลายครั้งว่าเขียนดีมาก น่าทึ่งอย่างโน้นอย่างนี้ โดยไม่ดูเลยว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หลายๆ อย่างในเล่มมันผิด และทางสำนักพิมพ์ก็ยอมรับด้วย ราวกับว่าขอเพียงมันอวยพระพุทธศาสนา มันก็ไม่ต้องเป็นเรื่องจริงก็ได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:33:10

ความคิดเห็นที่ 23 นอกจากนี้ยังมีพวกไอน์สไตน์พลิกใจ พระพุทธเจ้าพลิกโลก ไอน์สไตน์ไม่เคยพบ แต่พระพุทธเจ้าเห็น ผมเห็นว่านี่เป็นการทำแบรนด์ยกพระพุทธเจ้าข่มไอน์สไตน์ชัดเจน จะข่มกันก็ไม่เป็นไรหรอก ไอน์สไตน์ก็นักวิทยาศาสตร์คนนึง แต่ถ้าใครคิดว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ก็ไม่น่าจะต้องเอามาข่มกันให้เสียเวลา ผมว่านี่เป็นการลดเกียรติพระพุทธเจ้ามากกว่า จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:37:09

ความคิดเห็นที่ 24 หนังสือ ทั้งสามเล่มนี้  ทำให้หลายคนที่ไม่เคยสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา หันมาสนใจมากขึ้น ได้ข่าวว่า มีอาจารย์แพทย์คนหนึ่งอ่านจบ ถึงขนาดออกบวชไปเลย ดูความเห็นของคนอ่านมากมาย ได้ที่นี่ http://www.118doctor.com/book/book.htm จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:48:56

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ก็ถูกหลอกไงครับ ผลลัพธ์ดีหรือเจตนาดีผมไม่รู้หรอกนะ แต่วิธีการมันคือการหลอกลวง และคนที่ออกปากชมก็มีเยอะ แต่ส่วนใหญ่ (หรืออาจจะทั้งหมด) ไม่รู้เลยว่าข้อมูลที่อยู่ข้างในมันผิด จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 23:57:44

ความคิดเห็นที่ 26 หนังสือของทันตแพทย์สม สุจีรานี่ถือว่า เอาไอน์สไตน์มาเป็นแบรนด์ของพุทธศาสนาเลยเหรอคุณชิวฯ ไอน์สไตน์ไม่ใช่แบรนด์ของพุทธศาสนาเสียหน่อย มันเป็นแค่แนวคิดของคนเขียน ซึ่งมีทั้งคนยอมรับ และไม่ยอมรับ แค่นั้น หนังสือที่ว่าไม่ใช่ตำราหรือพระไตรปิฏกนะครับ ถึงจะมาบอกว่าเอาไอนสไตน์มาเป็นแบรนด์ ต่อให่ไม่มีไอนนสไตน์ พุทธศานิกชนก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนังสือนี่เป็นแค่น้ำจิ้ม เป็นแนวคิดของผู้ปฏิบัติที่เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์ บางเรื่องผิดพลาดจริง  แต่ก็ไม่ทั้งหมดไม่ใช่หรือ... แต่คุณชิวฯเล่นเหมารวมว่า "พุทธศาสนิกชนชอบเอาไอนสไตน์มาเป็นแบรนด์" "เขียนมาอวยพระพุทธศาสนา" อันนี้ผมว่าเริ่มไม่มีเหตุผลละ ผมไม่รู้ว่าคุณไม่พอใจอะไร ไม่ชอบหนังสือ เห็นต่างได้  แต่อย่าเหมารวมหมดครับ มันไม่เป็นตรรกะเลยจริงๆ ที่คุณว่ามา... แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 00:46:28 จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 00:43:49

ความคิดเห็นที่ 27 ผมไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องหนังสือนี่ครับ คำพูดทั้งหลายที่อ้างว่าไอน์สไตน์เป็นคนพูด ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้พูด ในกระทู้นี้ก็มี นอกกระทู้นี้ก็มี ผมเห็นเยอะมากทั้งในเฟสบุค ในเว็บบอร์ดต่างๆ และในชีวิตจริง ตอนแรกมันอาจจะเป็นแค่ทัศนะของผู้เขียนครับ แต่ตอนนี้มันแพร่ไปไกลกว่านั้นแล้ว และผมก็ไม่เคยพูดว่าไอน์สไตน์เป็นแบรนด์ของพระพุทธศาสนา บอกแต่ว่าพุทธศาสนิกชนชอบใช้เป็นแบรนด์ แบรนด์ของอะไรผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะประมาณ "คนที่เก่งมากๆ แต่ยังไงก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก" อะไรประมาณนั้น ซึ่งผมไม่ค่อยสนใจหรอกว่าใครจะเลื่อมใสศาสนาตัวเองแค่ไหน เผยแพร่โดยรูปแบบไหน แต่ผมรับไม่ได้เวลาที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ แล้วทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิทย์ ทางประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่พาดพิงศาสนาหรือบุคคลอื่นผิดๆ มันเหมือนการหลอกลวง คนที่อ่านหรือฟังไปก็มักจะเชื่อเป็นส่วนใหญ่ แล้วเวลาแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดที่คนเขาเชื่อไปแล้วเนี่ย มันเหนื่อยครับ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 00:53:55

ความคิดเห็นที่ 28 จากหาข้อมูลใน google เว็บไซต์ต่างประเทศเยอะมากครับที่อ้างว่าคำพูดนี้มาจากไอสไตล์ http://wiki.answers.com/Q/According_to_Albert_Einstein_What_will_be_the_religion_of_the_future http://www.spaceandmotion.com/albert-einstein-god-religion-theology.htm ลองเอาทั้งประโยคหาใน google ดูครับ จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:29:03

ความคิดเห็นที่ 29 ^ เพราะเป็น misattributed ไงครับ คนอ้างอิงผิดกันเยอะ สังเกตง่ายๆ ครับว่าส่วนใหญ่จะบอกว่าไอน์สไตน์เป็นผู้พูด แต่ไม่มีการระบุว่าไอน์สไตน์พูดที่ไหน มีหลักฐานอะไร ในขณะที่ใน wikiquote จะมีการบอกเสมอว่าคำพูดไหนของไอน์สไตน์โผล่มาจากเอกสารฉบับไหน สำหรับบางส่วนที่มีการบอกว่าอ้างอิงมาจากที่ไหน พอตามไปที่เอกสารต้นฉบับจริงๆ ดันไม่มีข้อความดังกล่าวครับ ถ้าอ่านใน wikiquote จริงๆ ก็จะมีอธิบายว่าทำไมข้อความไหนถึงเป็น misattributed หรือข้อความนั้นๆ มีการอ้างอิงที่แตกต่างไปอย่างไร จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:35:35

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ชี้ไป 28 ไปอ่านใน Human side ดีกว่าไหมครับ อ่านมา4 รอบแล้วไม่เจอเลย ใน google book ก็มีให้อ่าน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 01:46:24 จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:37:31

ความคิดเห็นที่ 31 http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/08/X6862410/X6862410.html ในหนังสือที่อ้าง(The Human Side)นั้น มีเพียง 2-3 จุดเท่านั้นเกี่ยวกับศาสนาพุทธ และไม่ใช่ข้อความนั้นด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 01:44:55 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 01:42:57 จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:39:42

ความคิดเห็นที่ 32 อย่างไรก็ดี สำหรับหนังสือที่พยายามอธิบายพระพุทธศาสนาด้วยวิทยาศาสตร์ และเป็นหนังสือขายดี แต่พบว่าเต็มไปด้วยการอ้างอิงที่ผิดพลาดทางวิทยาศาสตร์ ทำไมจึงขายดี นั่นก็แสดงว่าชาวพุทธไทยนั้นอ่อนทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ หรือบางทีอาจไม่มั่นใจในพุทธศาสนาด้วยหรือไม่ จึงต้องนำไอน์สไตน์มาร่วมด้วยเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่ วชิรเมธี ลิงค์อยู่ข้างบน จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:49:43

ความคิดเห็นที่ 33 ต้องแยกให้ออกครับว่า เมคหรือเรื่องจริง ไม่งั้นก็ให้เขาหลอกเล่น ดูอย่างเมื่อปีที่แล้วครับ โพสกลางเฟสบุคว่า ครบรอบ 2 ปี ที่ศาสนาพุทธได้รับรางวัลศาสนาที่ดีที่สุดในโลก ???? คนโพสก็โดนหลอกปัีนหุวมาจากเว็บอื่นที่ไปนำบนความแต่งเองชงเองมาโพสอวยสิ่งที่ตนชอบ ไม่ตรวจสอบให้ดีก็โดนเขาหลอกครับ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 01:55:36

ความคิดเห็นที่ 34 ในโลกนี้ไม่มีอะไรจริงทั้งนั้น มีแต่ความไม่เที่ยงตายแล้วทิ้งไว้หมด จนตายก็ค้นหาไม่จบ พายเรือวนอยู่ในอ่างเสียเวลาเปล่าๆ แ่ค่เลือกเป็น..... เอาแต่ที่เป็นประโยชน์ (จริงหรือไม่ ไม่สำคัญ)ต่างหากที่เราต้องการ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 06:50:07

ความคิดเห็นที่ 35 และผมก็ไม่เคยพูดว่าไอน์สไตน์เป็นแบรนด์ของพระพุทธศาสนา บอกแต่ว่าพุทธศาสนิกชนชอบใช้เป็นแบรนด์ แบรนด์ของอะไรผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่น่าจะประมาณ "คนที่เก่งมากๆ แต่ยังไงก็สู้พระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก" อะไรประมาณนั้น ---------------------------- ้เป็นธรรมดาของชาวโลกครับ เอาแค่สถาบันที่เล็กลงมาคือครอบครัว พ่อแม่ของใครก็ต้องบอกว่าดีที่สุดในโลก ใครนับถือศาสนาไหนก็ต้องบอกว่าศาสดาของเขาดีที่สุดอยู่แล้ว  เพราะเขาศรัทธาไง ส่วนเรื่องของไอนสไตน์ ตรงทีผมเน้นไว้ ขอแก้เลยนะ พุทธศานิกชนไม่ได้ใช้เป็นแบรนด์ครับ เพียงแตบางคนมองหลักของศานาพุทธสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ โดยมีไอนสไตน์เป็นเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกันอยู่ เอาเป็นว่า ข้อความที่ผมยกมาใน คห10 ผมยกมาโดยที่ผมไม่ดีเองแล้วกันที่ไม่ได้ยกข้อความจากปากไอนสไตน์โดยตรง มันมาจากหนังสือที่เขียนเรื่องของไอนสไตน์อีกที ถ้าจะตำหนิ ตำหนิที่ผมละกัน  แต่อย่าเหมาว่าชาวพุทธใช้ไอนสไตน์เป็นแบรนด์หรืออวยศาสนา มันเกินไป เพราะชาวพุทธหลายๆท่านก็ไม่ได้สนใจไอนสไตน์  ไอน์สไตน์เป็นแค่น้ำจิ้มสำหรับบางคนเท่านั้น โอเคป๊ะ...คุณชิว ปล.ในความเห็นของผม ในงานของไอน์สไตน์ชื่อ Religion and Science (ฺฺBy Albert Einstein appeared in the New York Times Magazine on November 9, 1930 pp 1-4. It has been reprinted in Ideas and Opinions, Crown Publishers, Inc. 1954, pp 36 - 40. It also appears in Einstein's book The World as I See It, Philosophical Library, New York, 1949, pp. 24 - 28.) หรือในหนังสือ The world as  I see it :By Albert Einstein ไอน์สไตน์ได้นิยาม Cosmic religion หรือศาสนาแห่งอนาคตในความเห็นของเขาไปแล้ว ว่าเป็นศาสนาที่เชื่อมโยงสรรพสิ่งในจักรวาล เป็นภาวะที่ตรงกันโดยไม่ต้องอาศัยเทวะวิทยาในการสื่อสารหรือปกครอง และศาสนาพุทธมีองค์ประกอบอันแข็งแรงเหล่านี้มากที่สุด ผมก็เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น  ในความคิดของผมนะ ไม่ใช่พุทธศาสนืกชนทั้งหมด  ไม่ถือว่าประโยคเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะเอามาเป็นแบรนด์ เพราะเวลาผมชวนใครไปทำบุญ ไปปฏิบัติธรรมผมไม่เคยอ้างไอนสไตน์ มีแต่บอกว่า "ให้ลองปฏิบัติเอง จบคอร์สมาจะรู้สึกได้เลยว่าเห็นผล" เข้าข่าย ศึกษาและทำการทดลองนั่นแหละ  แบบนี้เรียกว่าวิทยาศาสตร์หรือเปล่า ? ไม่รู้สิ ผมเรียกว่า "มันเป็น ปัจจัตตัง" จากคุณ : goodfriday เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 08:34:35

ความคิดเห็นที่ 36 โอเคครับ บางทีผมอาจไปเห็นที่จำนวน แล้วรู้สึกว่าชาวพุทธจำนวนมากคิดแบบนี้ แต่จำนวนที่ว่ามากเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะเป็นส่วนน้อยก็เป็นได้ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:30:42

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีใครตอบคำถามของ จขกท. เลย --' งั้นเราตอบให้แทนละกันนะ --' ไอน์สไตน์ ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลยสักกะศาสนา --' (เขาไม่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์) แล้วประโยคที่เขาพูดน่ะ ที่อ้างถึงศาสนาพุทธน่ะ เขาอ้างจริงๆ.. แต่ไอน์สไตน์ ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลย.. นอกจาก.. "ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า" เพราะไอน์สไตน์ไม่เชื่อในพระเจ้า เขาจึงมองว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียว ที่จะเจริญก้าวหน้า(ในอนาคต) เพราะเป็นศาสนาที่ไม่ถ่วงความเจริญของวิทยาศาสตร์ และถ้าใครได้อ่านประวัติของไอน์สไตน์จริงๆ.. จะเห็นเลยว่า.. ไอน์สไตน์เทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว.. "คนละชั้น" ไม่ติดฝุ่นเลย.. ไอน์สไตน์ ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธเลย(นอกจากที่รู้ว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า) เพราะถ้าไอน์สไตน์ได้ลองเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา แม้เพียงเล็กน้อย เขาจะเลิกสนใจวิทยาศาสตร์ทันที (เพราะสิ่ง 3 มิติ ที่เขากำลังศึกษาอยู่นั้น มันเป็นแค่ของลวงตา) และถึงแม้ไอน์สไตน์จะมีชีวิตอยู่อีกสัก 100 ปี เขาก็หาความจริงหรือความลับของจักรวาลไม่พบหรอก --' ทฤษฎีสรรพสิ่งก็ไม่มีหรอก --' (เพราะคนที่ค้นพบจริงๆอ่ะ เจอแล้ว พบแล้ว..  แต่บางคนก็เข้าใจ บางคนก็ไม่เข้าใจ พวกที่ไม่เข้าใจ ก็ยังไปค้นหาต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดสักที) จักรวาลนี้ก็ดีเหลือเกิน.. มันเห็นพวกเราชอบหา ชอบค้น มันก็มีสิ่งใหม่ๆให้หาให้ค้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าเราจะค้นแค่ไหน ไม่ว่าเราจะเจอสิ่งใหม่ๆแค่ไหน.. แต่.. คนเราก็ยัง สุข ยัง ทุกข์ อยู่เหมือนเดิม!! ขี้เกียจพิมพ์ใหม่ เอาอันนี้ไปอ่านเลยละกันนะ ^^ ความเห็นที่ 30 และ 49 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11507012/X11507012.html#30 http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11507012/X11507012.html#49 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 10:43:28 จากคุณ : mooesha เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 10:41:52

ความคิดเห็นที่ 38 นอกจากจะยัดคำพูดใส่ปากไอน์สไตน์แล้ว ยังมีการยัดความคิดใส่หัวไอน์สไตน์อีกด้วย มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างเข้าใจโลกและพยายามดับทุกข์ กับตัวทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง เพราะแบบแรกไม่สามารถแสดงออกมาเป็นสมการหรือหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ ฉะนั้นต่อให้ไอน์สไตน์สนใจพุทธศาสนาจริง บรรลุธรรมได้จริง ก็หยุดความจำเป็นที่จะต้องหาทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งไม่ได้ ถ้าธรรมะเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตัวเอง คำที่อ้างว่ามีคนพบทฤษฎีแห่งสรรพสิ่งแล้วก็เป็นแค่การยกยอเกินเหตุ เอาสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าดีไปใส่แทนเป้าหมายในการค้นหาของผู้อื่น จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 11:10:28

ความคิดเห็นที่ 39 แท้จริงแล้ว ไอน์สไตน์นับถือศาสนาอะไร ผมก็ไม่แน่ใจเช่นกัน 1. แต่เคยอ่านชีวประวัติ จากหนังสือเล่มหนึ่งนานมาแล้ว ผู้เล่า ได้ให้มุมมองเหตุการณ์หนึ่งคือ ในคืนคริสมาสหนึ่ง มีเด็กๆมาร้องร้องตามบ้าน(ตามประเพณี) ไอน์สไตน์ก็หยิบไวโอลินมาเล่นประสานเสียงด้วย 2. ผมเข้าใจว่าทฤษฎีสันพัทธภาพของไอน์สไตน์ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ไอน์สไตน์คิด พิสูจน์สิ่งต่างๆ โดยใช้คณิสศาสตร์เป็นหลัก หลายเรื่องต้องรอ ให้มีนักวิทยาศาตร์ที่เก่งๆเหมือนเขามาพิสูจน์เพิ่มเติม 3. ไอน์สไตน์ เก่งเฉพาะทางคือ คณิสศาสตร์และฟิสิกส์ แต่ตกในวิชา ภาษาศาสตร์หรือสังคมศาสตร์อะไรทำนองนี้ ซึ่งแท้จริงแล้ว  อัจฉริยะมีัหลายสาขา วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ก็เป็นเพียงสาขาหนึ่งเท่านั้น บีโธเฟ่น ไมเคิลเองแจโล คนเหล่านี้ก็ล้วนเป็นอัจฉริยะบุคคล และนิวตัน ก็เป็นคริสเตียน เชื่อพระคัมภีร์ ส่วนผ่ายต่อต้านก็มี รุสเซียหรือรัลเซล(จำชื่อไม่ได้นัก) นี่เป็นนักปรัชญาของโลก แต่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องของพระเจ้า สำหรับผมแล้ว ไอน์สไตน์ น่าทึ่งตรงที่เขาสามารถคิดค้น E=MC^2 ได้ นั่นแปลว่า วัตถุและพลังงานสามารถแปรไปแปรมาได้ มุมกลับกัน นั่นหมายถึง M= E/(C^2) นั่นก็แปลว่า พลังงานสามารถก่อให้เกิดวัตถุได้ ทฤษฎีของไอน์สไตน์ สนับสนุนความเชื่อของคริสตชนต่างหาก อิอิ จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 12:27:30

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่มีใครยัดคำพูดใส่ปากไอสไตน์ และไม่มีใครยัดความคิดใส่หัวไอสไตน์ ประโยคนี้ถ้าจะพูดให้ถูกเรียกว่า อ้างว่าไอสไตน์พูด ไม่ใช่แต่ในสังคมไทย ที่อ้างกันเรื่องนี้และค้านกันเรื่องนี้ ในสังคมต่างประเทศก็ถกกันเรื่องนี้กันยันปัจจุบัน เอาเป็นว่าผมผิดเองที่ยกประโยคนี้มาแล้วอ้างว่าไอไสตน์เป็นคนพูด แต่สิ่งนึงที่ไอไสตน์ยืนยันและโลกรู้คือ " ไอน์สไตน์ไม่เชื่อในพระเจ้า " เค้าเชื่อในเหตุและผล เชื่อในเหตุและผล ไม่เชื่อในความเชื่อที่งมงาย จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 12:40:12

ความคิดเห็นที่ 41 #39 1. ผมก็ร้องเพลง Carol (ไม่ได้ไป carol กับเขานะ แต่ร้องคลอ หรือเปิดเพลงอยู่บ้านแล้วร้องเอง) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมนับถือคริสต์ มันหมายความว่าผมชอบเพลง แถมไอน์สไตน์ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าที่มีลักษณะเป็นบุคคลอย่างคริสต์อีกด้วย http://www.godandscience.org/apologetics/einstein.html 2. พิสูจน์แล้วครับ http://www.bloomberg.com/news/2011-05-04/einstein-s-theory-of-relativity-proven-right-by-stanford-nasa-space-probe.html 3. พุทธก็มีการกล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีรูป สามารถสร้างรูปกายหยาบขึ้นมาได้ทีหลังครับ อิสลามก็พูดถึงการสร้างวัตถุเช่นเดียวกับคริสต์ เต๋ามีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากไร้สภาวะเป็นมีสภาวะ ลำพังข้อเท็จจริงว่าพลังงานและสสารสามารถเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาได้ไม่ได้สนับสนุนความเชื่อของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 12:41:12

ความคิดเห็นที่ 42 คุณชิวตัวเป็นขน ไม่ใช่ คริส และ พุทธ ผมทราบครับ เอาเป็นว่าประเด็นทีอ้างว่าไอสไตน์พูดประโยคนี้ผมขอจบครับ จาก กระทู้ที่ 40 อันนี้ ของ Geoffrey Chew หัวข้อ Relationship between religion and science http://en.wikipedia.org/wiki/Religion_and_science ไม่ใช่แค่ ศาสนาพุทธครับ เค้าเขียนถึงหลายศาสนา จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 13:01:27

ความคิดเห็นที่ 43 ความเห็น #37 เราเข้ามายืนยันความเห็นตัวเองใน #37 อ่ะนะ เราก็เคยสงสัยเหมือน จขกท. และเราเคยอ่านประวัติของไอน์สไตน์ .. (จากหนังสือประวัติไอน์สไตน์ และเป็นหนังสือภาษาอังกฤษด้วย) ไอน์สไตน์พูดถึงศาสนาพุทธจริงๆ ที่บอกว่าเป็นศาสนาในอนาคตอ่ะ.. (พูดในงานรับรางวัลอะไรสักอย่างด้วย) เราก็ไม่รู้ว่าใครถกเถียงกันนะ --' แต่เขาพูดจริงๆ (อันนี้ไปหาอ่านตามประวัติของไอน์สไตน์ได้เลย ที่เป็นเล่มๆ เป็นประวัติของเขาล้วนๆอ่ะ) แต่...... ถ้าเราฟังเหตุผลที่เขาบอกแบบนั้น.. แล้วจะเข้าใจ... ไอน์สไตน์ ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเลย.. เขารู้อย่างเดียวคือ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเดียวในโลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า! ไอน์สไตน์ ไม่มีความรู้เรื่องจิต ไม่เข้าใจเรื่องสมาธิ (เขาอาจมีสมาธิสูงมากเวลาคิดทฤษฎีอะไรต่างๆ) แต่เขาไม่ได้เคยนั่งสมาธิแบบจริงจัง ไม่รู้จักการนั่งสมาธิหรือกรรมฐานหรือวิปัสนาอะไรเลย.. สรุปคือ.. ที่เขาพูดในงานรับรางวัล(อะไรสักอย่าง) ว่า.. หากจะมีศาสนาใดในโลกที่จะเป็นศาสนาของอนาคต นั่นคือศาสนาพุทธ และ.. เหตุผลเดียวที่ไอน์สไตน์พูดแบบนั้น.. ก็เพราะ.. เขาคิดว่า ศาสนาพุทธจะไม่ถ่วงความเจริญของวิทยาศาสตร์ (เพราะศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า) ไอน์สไตน์ไม่เคยบอกว่า.. เขาเชื่อเรื่องวิญญาณไหม.. แต่เขามักจะย้ำเสมอๆว่า เขาไม่เชื่อในพระเจ้า.. และไอน์สไตน์ ไม่เคยศึกษาศาสนาพุทธเลย (รู้แค่ผิวเผินว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เคยเข้ามาศึกษาแบบจริงจังเลย) และ.. ทฤษฎีที่ประสบผลสำเร็จของไอน์สไตน์ เป็นทฤษฎีที่โด่งดังก็จริง... แต่เขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่.. คิดทฤษฎีได้ผิดๆเช่นกัน (มีเยอะมากๆด้วย แต่คนจะไม่ค่อยพูดถึงกัน คนจะพูดถึงแต่ทฤษฎีที่ประสบความสำเร็จ) แล้วถ้าเทียบกับเพื่อนของเขา ที่ชื่อว่า โบ(อะไรสักอย่างเนี่ย) คนที่ชื่อโบ ดูจะเก่งกว่าด้วยซ้ำ (แต่เขาชอบศึกษาเรื่องอนุภาคเล็กๆ ไม่ค่อยศึกษาเรื่องจักรวาล) เพราะคนนี้ ศึกษาเรื่องธาตุ และดูจะเข้าใจเรื่อง "ตัวตน" และ "จิต" มากกว่าไอน์สไตน์หลายเท่าเลย .. (เพราะเคยมีการโต้เถียงกันของสองคนนี้ แต่ไม่เล่าละกัน.. เมื่อยพิมพ์แระ..) ไปนอนแระ สวัสดีจ้ะ ^_^ จากคุณ : mooesha เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 13:08:11

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ armairship คือ #41 ผมตอบคุณเกลือจืดครับ เพราะดูเขาจะโน้มน้าวให้เห็นว่าไอน์สไตน์สนับสนุนคริสต์ จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 13:33:09

ความคิดเห็นที่ 45 คคห.43 อ่านมาเยอะแล้วครับ อ้างอยู่ไม่กี่แหล่ง Human side อยู่นั้นแหละ พอไปอ่านก็ไม่เจอครับ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 13:47:14

ความคิดเห็นที่ 46 จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาคือ ความหลุดพ้นจากทุกข์คือนิพพาน บางท่านบอกว่าเอานิพพานมาให้ดูหน่อยสิ จะได้รู้ว่าเป็นยังไงคงไม่มีใครเอามาให้ท่านดูได้หรอกครับ ต้อง เริ่มจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล แปลว่าปกติหรือเย็นเป็นปกติ แปลว่าปกติ คือเป็นไปตามปกติ ของกาย วาจา ปราศจากเจตนาที่คิดคด แปลว่าเย็นนั้น คือทำให้ผู้มีศีลอยู่ในความร่มเย็น ไม่มีภัย ไม่มีเวรกับผู้ใด เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นการรักษากายวาจาให้เป็นปกติ เรียบร้อย สมาธิ สมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต ได้แก่ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่านหรือส่ายไป ศาสนาพุทธเน้นในสัมมาสมาธิ คือสมาธิที่ใช้ในทางแห่งการหลุดพ้น โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง ไม่ใช่การหวังผล สนองตัณหาความอยาก ปัญญา ปัญญา แปลได้หลายอย่าง เช่น ความรอบรู้เหตุผล รู้ชัด รู้ทัน รู้ประจักษ์ และรู้ถึงทั้งภายในและภายนอก เป็นต้น ปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โลกิยปัญญา เป็นปัญญาของโลกิยชน และโลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาของพระอริยบุคคล ปัญญามีไว้สำหรับปราบปรามกิเลสอย่างละเอียด คือ อวิชชา ถ้าท่าน มีศีล สมาธิ ปัญญา ไม่นานคงพบนิพพาน พระพุทธองค์ ก่อนที่ท่านจะออกผนวช ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัทถะ มีสนมถืง " 40,000 นาง " บางท่านบอกว่ามีสนมมากอย่างนี้เป็นการชอบในกามราคะเต่ พระพุทธองค์ ทิ้งซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ลาภ ยศ ทิ้งซึ่ง " สนม 40,000 นาง " ท่านออกไปค้นหาวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิต หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร   มันคงยากเนอะถ้าเป็นเราๆๆที่จะทิ้งทุกสิ่งอย่างนั้นไว้เบื้องหลัง แต่ท่านทำได้ ======================================== ถ้าอ้างถึงประโยคนี้ที่พูดถึง พุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ของ Geoffrey Chew Buddhism and science Buddhism and science have increasingly been discussed as compatible.Some philosophic and psychological teachings within Buddhism share commonalities with modern Western scientific and philosophic thought. For example, Buddhism encourages the impartial investigation of nature (an activity referred to as Dhamma-Vicaya in the Pali Canon)—the principal object of study being oneself. A reliance on causality and empiricism are common philosophical principles shared between Buddhism and science. However, Buddhism doesn't focus on materialism. http://en.wikipedia.org/wiki/Religion_and_science เชื่อใน " เหตุและผล " จากคุณ : armairship เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 14:51:33

ความคิดเห็นที่ 47 #41 1. ขนาดคนบางคนไปโบสถ์เป็นประจำ ผมยังไม่เชื่อเลยว่าเขาเป็น คต. เช่นกั้น ในกรณีของไอน์สไตน์ แต่อย่างไรก็ตามไม่อยากให้มองว่าเขา เป็นคนไร้ศาสนาเสียทีเดียว คิดว่าน่าจะเป็นคนมีศาสนา แต่ไม่เขาไม่เชื่อ 100% 2. ผมเข้าใจว่า หนึ่งในทฤษฎีสัมพันธภาพ กล่าวถึงความเร็วที่เท่ากับแสง ซึ่งมนุษย์เรายังไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่านั้น 3. ผมพยายามบอกว่า ไอน์สไตน์ ก็เป็นเพียงอัฉริยะบุคคลใน 1 สาขา ไม่แน่ว่าจะถูกเสมอไป จำได้ว่า ไอน์สไตน์ ก็พูดในเรื่องจักรวาลผิด 4. ผมมิได้พยายามโน้มน้าวให้เห้นว่า ไอน์สไตน์เป็น คต. หรือ เชื่อพระเจ้า แต่ก็อยากบอกว่า ใครที่แอบอ้างว่าไอน์สไตน์เชื่อ หรือ ศรัทธาในศาสนาของตน ผมก็สามารถยกตัวอย่างอ้างได้เช่นกัน เช่น แน่่นอน ผมว่า ไอน์สไตน์ เป็นคนไทยแหง๋ๆ เพราะ ไอน์สไตน์ มีจมูก มีปาก มีตา เหมือนผมที่เป็นคนไทย ปรัชญาการแอบอ้างผิดๆ มีให้เห็นหลายๆ เช่น ไก่มีขา คนมีขา ไก่มีตา 2 ตา  คนมีตา 2 ตา ไก่สืบพันธ์ได้ คนสืบพันธุ์ได้ สรุปคือ ไก่ = คน ??? จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 16:39:52

ความคิดเห็นที่ 48 เหตุและผล เป็นทางเลือกที่ดีในการตัดสินใจในหลายๆเรื่อง และมนุษย์จะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีเหตุและผล ลูกสาวผมถามผมว่า แล้วงานศิลปะมีเหตุและผลหรือไม่ ผมก็มาคิดว่า เพลงๆที่เราฟังและไพเราะ ที่หั่วโลกยกย่องว่าไพเราะ เราใช้อะไรตัดสินหนอ และที่ผมเคยอ่านเคยศีกษ เรื่องของเลขจินตภาพ(i) i ยกกำลังสอง = -1 i ยกกำลังสาม = i i ยกกำลังสี่ = 1 อันนี้อยู่ในวิชาคณิตศาสตร์ ม. ปลายก็ได้เรียนกันแล้ว ตกลงเรื่องค่า i นี้เป็นเหตุและผลหรือไม่ ถ้าได้เรียน คณิตศาสตร์ฃั้นสูง เราจะได้เรียนเรื่อง มีจำนวนจริง a ที่ a ไม่เท่ากับ ศูนย์ และ x คือค่าใดๆ มีค่า a ที่ a + x = x อันนี้ก็พิสูจน์ได้โดยทางคณิตศาสตร์เช่นกัน ผมเห็นว่า มีบางเรื่องในชีวิตที่เราใช้เหตุและผลวัดไม่ได้ และมีหลายเรื่องที่คล้ายไม่มีเหตุผล แต่สามารถพิสูจน์ได้ทางคณิตศาสตร์ มีหลายเรื่องที่คล้ายไม่ถูก แต่นำไปใช้ในทางวิทยาศาสตร์ชั้นสูงได้ ศาสนาที่ยึดมั่นในเหตุและผล ก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ศาสนาที่เป็นกลุ่มเทวะนิยม ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องเหลวไหล ไอน์สไตน์อาจเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นนักศาสนาศาสตร์ที่ดี แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 55 18:30:58 จากคุณ : เกลือจืด เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 18:29:07

ความคิดเห็นที่ 49 จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลนะครับ เรื่องของศิลปะ แต่เรารับรู้มันในระดับจิตใต้สำนึก เรื่องของสี เรื่องของสัดส่วน เป็นผลมาจากระบบประสาทของเราทั้งสิ้น บางอย่างก็เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการ ส่วนใหญ่ก็จะไปเกี่ยวกับคณิตาสตร์ แต่ขอไม่ลงรายละเอียดแล้วกันครับ นอกจากมันจะยาวแล้วมันจะเป็นวิทย์เกินไปด้วย จากคุณ : ชิวตัวเป็นขน เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 55 20:12:54

ความคิดเห็นที่ 50 ความเห็น #43 เราคือเจ้าของความเห็น #43 เองแหละ เราก็สงสัยว่าไอน์สไตน์พูดจริงป่าว?? เราก็เลยหาข้อมูล.. แต่เราจำไม่ได้ว่า เราดูจากสารคดี หรือ อ่านจากหนังสือประวัติชีวิตของเขา เพราะ.. หากพวกเราหาข้อมูล(จำพวกคำพูด)ของไอน์สไตน์ ใน internet เนี่ย.. เราจะไม่ค่อยพบหรอก.. เพราะไอน์สไตน์ พูดถึงศาสนา น้อยมากกกกกกก!! ไอน์สไตน์เคยนับถือศาสนาของคนยิว(จำชื่อศาสนาไม่ได้นะ) แต่.. มันเป็นการนับถือที่แบบ.. ตามๆกันมา(ตามพ่อตามแม่ ตามคนในหมู่บ้าน) พอเขาโตมาและเริ่มสนใจวิทยาศาสตร์ เขาก็ไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย .. (เขาก็ไม่ได้สนใจศาสนาเขา หรือว่าศาสนาไหน) นี่มันนานมากแล้วนะ (จำไม่ได้ว่าอ่าน หรือ ดูมาจากไหน) ไอน์สไตน์ เป็นคนที่ไม่สนใจในศาสนา.. แต่ก็ไม่ได้คิดลบหลู่หรือไปหมกมุ่น เขารู้จักศาสนาต่างๆแบบ.. "ผิวเผิน" แต่มีความคิดหนึ่ง เกี่ยวกับศาสนา ที่เด่นชัดที่สุดของไอน์สไตน์คือ.. "เขาไม่เชื่อในพระเจ้า" ไอน์สไตน์เคยบอกไว้ว่า.. ศาสนาเดียวในโลก ที่ไม่ถ่วงความเจริญ คือ "ศาสนาพุทธ" แต่เขาก็ไม่ได้สนใจศาสนาพุทธหรอก เขารู้แค่ว่า ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า ไอน์สไตน์ เป็นคนที่หลงใหลในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เขาไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณ แต่เขาเชื่อในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ คำพูดของไอน์สไตน์เกี่ยวกับศาสนาพุทธเนี่ย พูดจริงนะคะ แต่คุณจะหาแหล่งอ้างอิงได้จาก หนังสือ(ที่เป็นประวัติทั้งเล่ม) หรือ สารคดี(ที่เกี่ยวกับไอน์สไตน์ล้วนๆ)เท่านั้น.. เพราะถ้าไปหาตามหนังสืออื่นๆ มันจะไม่มีคำพูดนี้อยู่หรอก (เพราะประเทศอื่น เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญ ส่วนมากมีแต่ชาวพุทธแหละที่สนใจ ส่วนประเทศอื่นๆ เขาไม่สนใจคำพูดนี้ เพราะเขารู้ว่า ไอน์สไตน์พูดเพราะ ไม่เชื่อในพระเจ้า ก็แค่นั้นเอง หาได้มีความหลงใหลในศาสนาพุทธแต่อย่างใด) อันนี้พูดไปก็ไม่มีแหล่งอ้างอิงอ่ะนะ --' รู้แต่ว่า.. ครั้งหนึ่ง เราเคยสงสัยเหมือน จขกท. (และเราเป็นคนที่ ถ้าสงสัยแล้ว ต้องตามหาคำตอบให้ได้) เราหาหนังสือหลายเล่มมากๆ ทั้งไทยฝรั่ง ดูสารคดี ทุกๆอย่างเกี่ยวกับไอน์สไตน์ (คนเรา พอเข้าไปดูชีวิตใครมากๆอ่ะ มันจะมองเห็นอย่างหนึ่งว่า.. เขาก็เป็นคนธรรมดานี่หว่า) สังคมโลก พยายามกรอกหูเรา แสดงให้เราเห็นว่าเขาเป็นคนวิเศษ เหนือมนุษย์ เป็นสุดยอดอัจฉริยะ.. แต่หากเข้าไปอ่านประวัติเขาจริงๆล่ะก็.. เขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนๆกับเรานี่แหละ --' และ.. หลายๆคนที่ชอบเอาไอน์สไตน์ไปเทียบกับพระพุทธเจ้าเนี่ย.. (เมื่อก่อนเราก็ชอบอ่านนะ หนังสือเล่มนั้นอ่ะ หน้าปกสีฟ้าๆ) แต่ตอนหลังๆมา เรารู้สึกว่า.. ไอน์สไตน์ กับ พระพุทธเจ้า เป็นคนละเรื่องกันเลย แล้วไอน์สไตน์ ก็ห่างชั้นกับพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก (ไอน์สไตน์ใช้ความคิด แต่พระพุทธเจ้าใช้ปัญญา) และการรู้แจ้ง ก็ห่างกันคนละชั้น.. ไม่ติดฝุ่นเลย.. แล้วตอนนี้ เรื่อง "แสง เดินทางเร็วที่สุด" ก็ถูกล้มล้างด้วยความเร็วของนิตริโน่แล้วด้วย >< แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 00:24:00 จากคุณ : mooesha เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 00:10:56

ความคิดเห็นที่ 51 ไอน์สไตน์เป็นเลิศทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางพุทธศาสนาแล้วเป็นโนบอดี้ ดังนั้นจึงเอามาเทียบกันไม่ได้หรอก ศาสนาพุทธ พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ทุกอย่างจบแล้วตั้งแต่ 2500 ปีที่แล้ว แต่วิทยาศาสตร์ยังคิดไม่จบ ยังมีสิ่งที่คิดค้นได้อยู่ทุกๆวัน คิดทฤษฎีใหม่ล้มทฤษฎีเก่าหรือต่อยอดทฤษฎีเก่ากันอยู่ตลอดเวลา และยังต้องคิดค้นกันไปอีกนาน... จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 03:34:12

ความคิดเห็นที่ 52 ขณะที่ภาพยนตร์ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องดังอย่าง “ดาวินชี โคด” กำลังเข้าฉายแล้วได้สร้างความขัดแย้งในประเด็นศาสนาอยู่นั้น ใครจะคาดคิดว่าอนาคตข้างหน้า “พุทธศาสนา” ก็อาจตกอยู่ในภาวะเดียวกันจากการ “จับแพะชนแกะ” ด้วยการโยงพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์ อาจจะเพื่อให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ความจริงแล้วทั้ง 2 อย่างต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจแต่วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ             ทั้งนี้ในทัศนะของ ผศ.ดร.พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์พิเศษคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับคณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยให้ความเห็นว่าการอิงพระพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อันตรายเพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด การเชื่อมโยงหลักคำสอนของศาสนาพุทธเข้ากับ วิทยาศาสตร์ อาจจะสร้างปัญหาให้พุทธศาสนาในอนาคตหากว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่นำมาเชื่อมโยงด้วยนั้นเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีการค้นพบใหม่ๆ             “สิ่งที่พุทธศาสนาและฟิสิกส์เหมือนกันคือต้องการค้นความจริง โดยใช้เหตุและผลในการศึกษา แบบมีขั้นมีตอน มีกฎมีเกณฑ์ พุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะศึกษาสิ่งเดียวกับที่วิทยาศาสตร์ศึกษา เพราะวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยกตัวอย่างเล่นๆ ว่าตอนนี้พบว่าโลกกลม ต่อไปโลกอาจจะไม่กลม อาจเป็นรูปลูกแพร์หรือแอปเปิลก็ได้”             พร้อมกันนี้ได้ชี้ถึงความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ว่ามีความแตกต่างกันต้องต้นจากขอบเขตในการศึกษา โดยวิทยาศาสตร์เน้นหนักไปทางวัตถุซึ่งศาสนาแยกวัตถุว่าคือ “รูป” ในขณะที่ศาสนาสนใจในเรื่องของจิต ดังนั้นวิธีการศึกษาจึงต่างกัน วิทยาศาสตร์สนใจวัตถุจึงต้องใช้วัตถุศึกษาวัตถุ ส่วนศาสนาก็ต้องใช้จิตศึกษาเรื่องจิต             “แล้ว “ศาสดา” ท่านรู้ไหมเรื่องวัตถุ เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ในคัมภีร์ ก็อาจกล่าวได้ว่า “รู้” แต่รู้ในขอบเขตเฉพาะกฎเกณฑ์ในธรรมชาติ แต่คงไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถึงขั้นผลฟุตบอลโลกที่เยอรมันใครจะชนะ คงไม่รู้ในสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์ การตีความ “สัพพัญญู” หรือ “รู้ทุกอย่าง” ต้องระวัง หรือถ้าจะรู้ก็คงไม่จำเป็น”             ทางด้าน ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นในลักษณะเดียวกันว่า การเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาอาจเป็นเพราะต้องการทำให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นอันตรายได้ ถ้าเป็นการเชื่อมโยงกันแบบ “จับแพะชนแกะ” และคิดว่าควรจะเน้นที่หลักของศาสนาจริงๆ ซึ่งเป็นหลักการคิดที่สอนให้สังคมเป็นเหตุเป็นผลและไม่งมงาย มากกว่าที่จะสนใจโยงพระธรรมในพระพุทธศาสนากับความรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา             “ปัจจุบันมีนักคิดทั้งทางพุทธและทางวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย ที่พยายามจับหลักบางอย่างที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกมาเชื่อมโยงกับความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องจักรวาลในพระพุทธศาสนากับทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลในวิชาฟิสิกส์ หรือแม้แต่เรื่ององค์ประกอบของสสารก็ยังมีการเชื่อมโยงกับเรื่องปรมาณูที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก บางคนพยายามอ้างว่า สิ่งที่นักฟิสิกส์ศึกษาอยู่ในขณะนี้ องค์พระพุทธเจ้าทรงทราบตั้งแต่ตอนตรัสรู้แล้ว ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์”             ดร.อรรถกฤต ให้ความเพิ่มเติมว่า ศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้นในยุคโบราณของอินเดีย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องราวในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา หลายเรื่องอาจเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้กับวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายกันอยู่แล้วในหมู่นักปราชญ์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อวิทยาการของโลกเจริญก้าวหน้าขึ้น ความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไป แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระธรรมหลายๆอย่างซึ่งเป็นแก่นของพุทธศาสนา เช่น อริยสัจ 4 ก็ยังคงเป็นอริยสัจ 4 ยังเป็นความจริงอยู่เสมอไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัยซึ่งเป็นส่วนที่เราควรจะสนใจมากกว่าจะนำพระธรรมไปโยงกับวิทยาศาสตร์             “ถ้าจะคิดตามพระสูตรในพุทธศาสนา ความรู้ฟิสิกส์คงเป็นเหมือนใบไม้ที่อยู่ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นในการการหลุดพ้นกิเลสและการเข้าสู่นิพพาน” ดร.อรรถกฤต กล่าว             อย่างไรก็ดี รศ.ดร.โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์จากภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่าพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีบางอย่างที่คล้ายกัน และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันจึงได้เชิญอาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ กับนักปฏิบัติธรรมมาเสวนาร่วมกันในหัวข้อ “พุทธศาสนากับฟิสิกส์ยุคใหม่” ในวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจจะได้ขยายไปยังสาขาอื่นๆ ต่อไป  manageronline 18 พฤษภาคม 2549 จากคุณ : Rarm41 เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 08:13:09

ความคิดเห็นที่ 53 คคห.50 ผมก็อ่านมาแล้วครับ ในหนังสือไอสไตน์ผมก็อ่าน และในหนังสือก็อ้างว่ามาจาก The Human Side ซึ่งผมก็ได้อ่านมาแล้วด้วยครับ ไม่มีเลยนะครับ ถ้าคุณมั่นใจว่ามีบอกมาเลยครับว่าอยู่หน้าที่เท่าไร บรรทัดเท่าไรในหนังสือ The Human Side ผมจะไปอ่านอีกรอบหนึ่งครับ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 19:15:11

ความคิดเห็นที่ 54 เล่มนี้แหละ แทบทุกหนังสือที่อ้างประโยคนั้นบอกแหล่งอ้างอิงว่ามาจากหนือสือนี้ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 19:22:36

ความคิดเห็นที่ 55 อันนี้คิดว่าหลายท่านยังไม่ทราบ วิกิแฉถึงข้อความนั้นแล้ว คาดว่าท่านอื่นๆและคุณชิว ยังไม่เคยเห็นลิงค์นี้เพราะถ้าได้เห็นได้อ่านแล้ว คงจะเอามาแทนลิงค์คคห.15 อย่างแน่นอน เพราะอันนี้อภิปรายข้อมูลเรื่องข้อความนี้ล้วนๆ) http://en.wikipedia.org/wiki/Talk%3ABuddhism_and_science แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 21:27:16 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 21:23:37 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 21:20:38 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 21:16:55 จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 21:08:11

ความคิดเห็นที่ 56 โทษทีมาตอบช้า งานเยอะไปหน่อย แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 22:22:29 จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 22:20:35

ความคิดเห็นที่ 57 ลิงค์ คคห.55 แฉชนิดที่ว่าละเอึยดยิบ บอกแทบทุกจุดเลยนะ ไม่มีน้ำให้เบื่อ มีแต่แต่เนื้อๆกี่เกี่ยวกับบทความนั้น Einstein and Buddhism: a widely-cited but spurious quotation คงไม่ต้องให้แปล น่าจะแปลได้เห็นบอกว่าอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษนี่ จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 55 23:08:34

ความคิดเห็นที่ 58 อัลเบิร์ต ไอสไตน์  เป็นคนยิว แน่นอนว่าเกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนายิว แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่และได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาไม่ได้แสดงออกว่า เขานับถือศาสนาอะไร ไม่ว่ายิว/คริสต์หรือพุทธ ... แต่เขาไม่ได้มีความคิด ต่อต้านศาสนาใดเป็นพิเศษ แต่ถ้าเป็นการแสดงความเห็นสำหรับศาสนานั้น เขาค่อนข้างให้เครดิตสำหรับศาสนา ที่ไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของพระเจ้าหรือ เทพเจ้า หรือเทวศาสตร์ ซึ่งเท่าที่เขาพอจะทราบเห็นว่า ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาที่ไม่ได้อยู่ในอิทธิพลของสิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดนั้น และถ้าจะมี ศาสนาใดที่พอจะไปกันได้กับความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เขาก็เพียงแต่ให้ ข้อสังเกตว่า น่าจะเป็นพุทธศาสนา (เพราะไม่ได้พูดถึงอำนาจของพระเจ้า) เขาพูดให้ทัศนะไว้อย่างนั้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า เขานับถือพุทธหรือ เห็นดีเห็นงามกับศาสนาพุทธ เพราะจริงๆแล้วนอกจากที่ชอบเอามาอ้างกัน เช่นที่เจ้าของกระทู้ยกมานั้นแล้ว ไม่มีที่ใดหรือโอกาสใดอีกเลยที่ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ได้พูดถึงศาสนาพุทธหรือแม้แต่ศาสนาอื่นๆอีกเลย มีคนตั้งข้อสังเกตด้วยซ้ำไปว่า ที่เขาพูดถึงศาสนาพุทธนั้น เป็นการพูดตาม มารยาท เพราะเขาไม่ได้มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธเลย ประโยคที่ชอบอ้างกันนั้น เป็นการที่เขาได้กล่าวต้อนรับคณะนักบวชจากอินเดียกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ไปเยี่ยม เขาที่บ้าน ในฐานะคนดังที่มักจะมีผู้คนแวะเวียนไปเยี่ยมคำนับอยู่เสมอ แต่มักมีคนชอบหยิบเอามาอ้างเป็นเครดิตให้กับศาสนาพุทธ ซึ่งพุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องพึ่งไอสไตน์มากล่าวรับรองเลย ไอสไตน์นั้นเป็นเพียงแค่ภัสมธุลี เมื่อเทียบกับสิ่งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และเผยแผ่ให้โลกได้รู้ ไอสไตน์ก็คงเช่นเดียวกับอีกมากมายหลายคนที่เข้าใจว่า ศาสนาพุทธสอน ให้ปฏิเสธพระเจ้า ซึ่งเป้นการเข้าใจศาสนาพุทธอย่างผิวเผินหรือไม่แตก ศาสนาพุทธไม่เคยปฏิเสธ ความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของพระเจ้า เพียงแต่เลือก ที่จะไม่พูดถึง เพราะทรงเห็นว่า ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ ... ง่ายๆก็ลองดูนิกาย มหายานหรือวัชระยานนิกายของทิเบตสิ หรือเถรวาทเรานี่แหละ นรกสวรรค์ เทวดา เปรต เพียบเลยคุณ แล้วยิ่งถ้าไอสไตน์ได้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิ ไว้อย่างไร ไอสไตน์อาจจะอึ้งกิมกี่ หรืออาจจะขอถอนที่พูดมาทั้งหมดนั้นก็ได้ เพราะถ้าจะให้วิจารณ์ การที่วิทยาศาสตร์มีทัศนะว่า 'สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะไม่มี' นี้ เป็นหนึ่งในพวกเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิ โทษของการเห็นผิดนี้ส่งผลถึงตกอเวจี เลยนะครับ นี่คือที่พุทธศาสนาสอน ... เพราะฉะนั้นอย่าได้อ้างคำพูดนี้ของคน ไม่รู้เรื่องศาสนาเลยอย่างไอสไตน์มาเป็นเครดิตให้พุทธศาสนาอีกเลย ขอร้อง. แก้ไขเมื่อ 10 ม.ค. 55 22:58:53 จากคุณ : เต๋านีโอ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 22:48:02