หวัดดีครับ เมื่อคืนเพลียเยอะๆ ผมไม่ค่อยสะดวกเข้ามาบ่อยๆ เพราะไม่ได้อยู่ที่บ้าน
ผมไม่ถือครับ สำหรับหลายๆคนที่กังวลใจ ว่าตกลง ผมเป็นแบบนี้ หรือ แบบนั้น หรือ แบบไหนหรือ เผลอพูดอะไรคือ ผมเข้าใจนะ ว่ามันก็แบบนี้แหละ ห้องบอร์ด
เข้าเรื่องเลยน่ะครับ (ผมจะไล่ไปทีละคำถามน่ะครับ)
1. ผมปฎิบัติมานานแล้วหรือยัง ?
ผมปฏิบัติมานานแล้ว สมัยเด็กเป็นคริสเตียน แต่พอพี่ชายเริ่มเล่าเรื่องพระพุทธเจ้า และธรรมมะพระพุทธเจ้าให้ฟัง ก็รู้สึกเลื่อมใสมาก ก็เลยเริ่มถือศีลตั้งแต่เด็ก (แต่ทำได้ไม่ครบน่ะครับ) เริ่มทำสมาธิตั้งแต่มัธยม (ตอนนั้นทำแบบภาวนาพุทโธ) ทำมาตลอด ชอบเข้าวัด อยากบวช
เคยหยุดทำสมาธิไปช่วงหนึ่ง เพราะพีชายเกิดปัญหา ตอนทำสมาธิ ปกติจะทำตามพี่ชาย แต่พอเกิดปัญหา เลยกลับมาตั้งต้นศึกษาเองใหม่หมด
2. ผมทำสมาธิอย่างไร ?
เมื่อก่อน ทำเป็นแบบเดียวคือ สมถสมาธิ คือนั่งแล้วสงบอย่างเดียว ไม่รู้จักวิปัสสนา สงบแล้ว สงบอีก สงบแล้ว สงบอีก แต่ก็ไม่รู้ว่า ได้อะไร ได้แต่ความสงบ แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า มันไปต่อไม่ได้
พี่ชายก็เริ่ม พูดถึงวิปัสสนา ว่ามันมีวิปัสสนาอีก คือการพิจารณา นี่คือจุดเริ่มต้นวิปัสสนาของผม
การวิปัสสนา มีเงื่อนไขคือ อย่าเข้าญาณที่สงบมากๆ มันทำให้พิจารณาอะไรไม่ได้ มันสงบเกินไป เนื่องจากเรามีประสบการณ์ทำสมถสมาธิไว้มาก เลยจำความรู้สึกแต่ละระดับความสงบได้ เลยจะเลือกใช้เฉพาะ ความสงบขั้นต้นๆ
ท่านั่งเป็นการทำสมาธิที่ดีที่สุด ท่านอนก็ทำได้แต่ถ้าคนไม่ชิน จะง่วงเอา
ถ้าเป็นท่านั่ง จะไม่ไปนั่งที่เบาะยุบๆ หรือ เตียงนุ่มๆ เพราะหลังจะงอ และง่วงหลังต้องตั้งตรง ควรนั่งที่พื้น หรือถ้าเป็นเตียง ควรเป็นเตียงแข็ง
ผมทำสมาธิ ไม่มีคำบริกรรม
2.1 ตัวอย่างการทำสมถสมาธิของผม และอาการ
เมื่อผมหลับตา แล้วดูลมหายใจที่เข้า ใจได้ยินเสียงหัวใจเต้น ตุ๊บๆ ตุ๊บๆ หรือ ขนลุกทั้งตัว และจิตก็นิ่ง (เพราะทำบ่อยเลยเข้าง่าย) พูดในใจประมาณว่า "ร่างกายอยู่ได้ด้วยลมหายใจ เข้า ออก ร่างกายกำลังหายใจ บางครั้งก็หายใจเข้าสั้นบางครั้งก็หายใจเข้ายาว ไม่เที่ยง"
ลมหายใจเข้าก็รู้ชัด ลมหายใจออกก็รู้ชัด ดูไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ลมหายใจจะละเอียดมาก และจางหายไป ระหว่างที่ดูลมหาย แสงสว่างจะค่อยๆปรากฎ มันจะสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสว่างสุด จะเป็นประกายผลึกสีฟ้าๆ เป็นระเบียบสวยๆ แต่ว่าผมจะไม่เอาใจไปไว้ที่แสงน่ะ ใจจะอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว เราจะไม่สนใจแสง เราจะดูลมหายใจที่มันหายไปนั้นแหละ
ทำไปเรื่อยๆ เดียวสักพัก ลมหายใจเราจะกลับมา (อันนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะแฟนจะกลับมาแล้ว หรือได้ยินเสียแฟนเดินจะเข้าห้อง ผมเลยต้องถอนสมาธิออกก่อน) แสงก็จะหายไป ภาพก็จะดำๆ ผมทำแค่นี้แหละ สำหรับสมถสมาธิ ที่ไม่ทำต่อ เหตุผลเพราะ ญาณสงบ ไม่ได้ทำให้เราก้าวหน้าได้ เดียวจะกลายเป็นไปติดแสง ติดสงบอีก เวลาออกจากญาณ ต้องย้อนญาณกลับไปตั้งต้นด้วย ร่างกายจะได้ปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ
2.2 ตัวอย่างการทำวิปัสสนาสมาธิ และอาการ
เราจะกำหนดข้อธรรมะที่เราอยากพิจารณา ทบทวน ไตรตร่อง อย่างละเอียด (เหตุผลที่เราต้อง ทบทวน เพราะ ปัญญา ยิ่งทำมา ยิ่งแตกฉาน ยิ่งเข้าใจลึก)
เราก็จะเข้าสมาธิเหมือน สมถสมาธิ ทุกประการ แต่จะดูลมหายใจไปสักพัก เอาแค่พอสงบ มีสมาธิระดับหนึ่ง ก็เริ่มยกธรรมะมาพิจารณา เราอาจตั้งคำถามว่า "ทำไมเราถึงต้องทุกข์" "ความทุกข์มีอะไรบ้าง" "แล้วเราจะทุกข์ไปทำไม"
เราก็เริ่มพิจารณาในใจ "ความทุกข์ คือ อาการที่ไม่เป็นไปอย่างใจคิด ขัดใจ ผิดหวังไปจากที่คาด เจ็บกาย ร้อนกาย ร้อนใจ กระวนกระวาย .....ฯลฯ" จากนั้น ก็มี
คำถามต่อ "เหตุมันอยู่ตรงไหน ?" เราก็เริ่มพิจารณาเหตุแห่งทุกข์ "เราใช้ใจรับรู้ เราต้องดับที่ใจ ดับที่ความคิด ถ้าเราเจ็บ เราก็สักแต่ว่าเจ็บ เมื่อเรากระวนกระวาย เราก็ดูอาการ พิจารณาอาการ ปล่อยวาง เพราะ ทุกอย่างในโลกล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยง เราเป็นทุกข์ตั้งแต่มีกาย ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่มีอุปทาน ตั้งแต่มีตัณหา ตั้งแต่มีเวทนา ตั้งแต่มีวิญญาณ ตั้งแต่มีผัสสะ ตั้งแต่มีอายตนะ ตั้งแต่มีนามรูป ตั้งแต่มีวิญญาณ ตั้งแต่มีสังขาร ตั้งแต่มีอวิชชา เราจะดับที่อวิชชา เพราะเรารู้แล้วว่า ความทุกข์เป็นของธรรมดา เราดับที่วิญญาณ ดับที่สังขาร ดับที่ตัณหา ดับที่อุปทาน .....ฯลฯ"
การพิจารณาในสมาธิ มีข้อดี คือ เราจะลำดับเหตุปัจจัยได้อย่างมีระบบ ลำดับเรื่องราวอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีตัวรู้คอยทำให้เรารู้หากเราไม่เข้าใจ มันจะรู้เองดื้อ ๆ นั้นแหล่ะคือปัญญาเกิดแล้ว
เราจะทำวิปัสสนา กับข้อธรรมะ ซ้ำไปซ้ำมา เรื่องใหม่บ้าง เรื่องเก่าบ้าง สลับไปมา ท่านอนก็ได้ ท่านั่งก็ได้
3. การปฎิบัติอื่นๆ ของผม
ขณะที่เราไม่ทำสมาธิ เราจะเจริญสติ เดินก็รู้ก้าว นั่งก็รู้ ถ้านั่งเฉยๆ หากจิตพิจารณาทบทวนเราก็รู้ แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจ พอขยับร่างกายก็ดึงไปที่ร่างกาย เราพูดก็รู้ คิดก็รู้ กุศลจิตก็รู้ อกุศลจิตก็รู้ สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ คอยวิ่งตามจิต ไปทางไหน เราตั้งตามไปคุม เราจะมีสติตลอด
มรณานุสติ ใช้บ่อยเวลาขับรถ ก่อนนอน หรืออยู่ในสถานที่ไม่ปลอดภัย
ศีล ผมมีเป็นปกติอยู่แล้ว
4. เรื่อง กิเลส ตัณหาอศุลจิต โลภะ โทสะ โมหะ อุปทาน
ผมไม่มีปัญหากับ ความอยากอาหาร กินก็ได้ กินน้อยก็ได้ รสชาติไม่เกี่ยง เป็นอาหารคนปกติ รสชาติบ้านๆ ได้หมด
ผมเป็นคนประหยัด สมถะ ส่วนตัวจะไม่ค่อยใช้เงิน (แฟนใช้หมด กินเท่าที่มี ถ้าแฟนไม่บังคับกิน ก็จะกินแบบพออยู่ได้ ระหว่างวัน จะทานกล้วย หรือน้ำ
ผมไม่มีปัญหา กับมรสพ เสียงเพลง เพราะปัจจุบัน ไม่ฟังเพลง เวลาเห็นใครร้องเพลงเต้นไปเต้น จะมองแบบผ่านๆไปว่า คนๆนั้นกำลังขาดสติ หากได้ยินเสียงเพลงก็ เฉยๆ ไม่ดูหนัง ดูละคร (ถ้าแฟนบังคับก็ต้องดู) ไม่ร้องรำทำเพลง ไม่กระโดดโลดเต้น
เพลงที่กล่าวมา ไม่นับเพลง สรรเสริญราชวงค์ อันนี้ฟังแล้วเกิดปิติมากกว่า จิตน้อมรับฟัง พอจบเพลงก็ทำความเคารพในใจ แล้วปล่อยวาง
ผมไม่มีปัญหากับเรื่องติดหรู ติดสบาย ผมเป็นคนไม่แต่งตัว ไม่ใส่น้ำหอม หากมีงานก็เลือกเสื้อทางการ ไม่เนียบ นั่งไหนก็ได้ นั่งพื้นก็ได้ นอนได้หมด พื้นก็ได้ ดินก็ได้ หญ้าก็ได้ ผมไม่ช๊อปปิ้ง ไม่ซื้อของ ไม่ซื้อเสื้อผ้า ใส่เท่าที่มี ส่วนใหญ่แฟนกับแม่จะซื้อให้
ผมไม่มีปัญหากับ เรื่อง กามราคะ จะดีใจมาก ถ้าแฟนไม่ขอให้มีอะไรกัน ไม่ดูหนังอย่างว่า ไม่ติดสาว หากเจอผู้หญิงสวยๆ จิตจะพิจารณาเป็นศพบ้าง เป็นของไม่เที่ยงบ้าง ข้างในเหม็นเน่าบ้าง ลอกหนังหน้าออกก็เป็นแผลเลือดไหล ไม่น่าชมบ้าง อัตโนมัติ แล้วปล่อยวาง ผ่านไป
ผมไม่ถือตัว เด็กปีนเกรียวได้ เล่นหัวได้ แต่ถ้าบ่อยๆ ก็จะขอให้เด็กเงียบๆ อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่ฟังผมก็จะไปทีอื่น หงุดหงิดเล็กน้อย แต่หายไว อารมณ์ขัดใจมีนิดหน่อย ควบคุมได้ ใช้การพิจารณาเป็นหลัก
การวางใจเป็นกลาง ผมถือเป็นเรื่องสำคัญ หากอยู่สภาพแวดล้อมที่ขัดใจเรา ก็จะพิจารณาใจเป็นหลัก
ผมยึดหลักคุณธรรมพื้นฐาน เมตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ไม่ว่าขอทานจะแท้ไม่แท้ ให้หมด กล้าขอก็กล้าให้ ถ้ามีงานขอให้ช่วย ก็ช่วย
5. เรื่อง อริยบุคคล
ผมเฉยๆ ไม่ติดใจ ไม่รู้ว่าตำแหน่งเหล่านี้ ถ้ามีแล้วจะเป็นอย่างไร ถ้ามีก็ ก็คงไม่พูด เพราะไม่รู้จะพูดไปทำไม เรื่องบวช อย่างที่บอก คิดไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่จะไม่มองอนาคตไปไกล ดูปัจจุบันเหตุ เดียวถึงเวลา มันก็เกิดเอง ทำปัจจุบันไปเรื่อยๆ ดีกว่า
-----------------------------------------------------------------------------
เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นดาบสองคมนน่ะครับ บางคนอ่านจะเกิดอกุศลจิต อาจคิดว่าผมโอ้อวด หรือ ทำตัวเป็นคนดี หรือ เวอร์ไปมั้ง หรือ อาจจะต่อว่าผมในใจ ถ้าคิดไปแล้ว ขอให้พิจารณาน่ะครับ ผมไม่ถือ และอโหสิน่ะครับ
ผมเล่าเป็นธรรมทาน สำหรับคนที่สงสัย หรืออยากรับฟังประสบการณ์ของผม ฟังแล้วก็ปล่อยๆวางไปน่ะครับ นำสิ่งดีๆ ไปปฏิบัติ หากใครเกิดอกุศลจิตไปแล้ว ขอให้พิจารณาดีๆ น่ะครับ
เรื่องนิพพาน ไม่นิพพาน ถึงตรงนี้แล้ว ผมวางไปแล้วละครับ เฉยๆละ ผมก็ปฎิบัติธรรมต่อไป หากใครอยากจะแนะนำ ติเตียน ก็ได้ตามสบายน่ะครับ
แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 55 12:49:16