การแผ่กรุณา
การแผ่กรุณา ทำได้ในกรณีที่เราเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก หากคนตกทุกข์ได้ยากนั้นเป็นศัครูของเรา ก็ให้มองเช่นกันว่า แม้ศัครู ก็รักสุขเกลียดทุกข์ ไม่มีใครอยากได้ความทุกข์ หรือหากคนคนนั้นมีความสุขมาก จนไม่เห็นความทุกข์ของเขาเลย ให้เรามองว่า ในสังสารวัฏนี้ เค้ามีความสุขแค่นี้เอง ส่วนที่เป็นทุกข์ของเค้าที่เคยได้รับนับอสงไขยในสังสารวัฏนี้มีมากมายเสียกว่า หรือหากผู้นั้นทำบาปอยู่ ไม่น่าสงสารเลย ให้มองว่า คนคนนั้นยิ่งน่าสงสาร เพราะต่อจากนี้ไป เมื่อผลของบาปมาถึงตัว เค้าจะได้รับทุกข์หนักที่คาดไม่ถึง
ก่อนการแผ่กรุณา ควรทราบถึงลักษณะของกรุณา
ปรทุกฺขาสหนรสา มีการอดกลั้นนิ่งดูดายอยู่ไม่ได้ต่อทุกข์ของผู้อื่นและอยากช่วยเหลือ เป็นกิจ
อวิหิสาปจฺจุปฏฺฐานา มีการไม่ทำร้ายใคร เป็นอาการปรากฏแก่ผู้ที่ทำการพิจารณากรุณา
ทุกฺขาภิภูตานํ อนาถภาวทสฺสนปทฏฺฐานา การพิจารณาเห็นบุคคลที่ตกอยู่ในความทุกข์ไร้ที่พึ่ง เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
วิหิสูปสโม สมฺปตฺติ ความสงบลงแห่งการเกิดขึ้นของจิตที่คิดร้ายหรือจะทำร้าย ในอันที่จะทำการทำร้ายสัตว์ เป็นความสมบูรณ์ของกรุณา
โสกสมฺภโว วิปตฺติ การเกิดขึ้นแห่งความเศร้าโศก เป็นความเสื่อมเสียของกรุณา (หากใจเกิดความเศร้า ให้ใช้อุเบกขาเข้ามาแทนในส่วนที่เศร้า)
- การแผ่กรุณา เพียงกำหนดดังนี้ -
ในขั้นแรก กระจาย หรือแผ่ความกรุณาออกไปแ่ก่คนหรือสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์ หรือจะได้รับ หรือเคยรับความทุกข์ว่า
"อยํ สตฺโต ทุกฺขา มจฺจตุ (อ่านว่า อะยัง สัตโต ทุกขา่ มัจจะตุ) ขอให้ผู้นี้จงพ้นจากความทุกข์เถิด"
เมื่อจิตเริ่มเข้าสู่ฌาน คล่องตัวแล้ว ให้อยู่กับกระแสความสงสารตรงนั้น แผ่ออกไปให้มากที่สุด ส่งความสงสารออกจากใจไปให้มากที่สุด จิตจะเกิดสมาธิเป็นฌานจิต สามารถได้ฌานถึงตติยฌาน และทำให้คนรอบข้างมีจิตใจที่ดีขึ้นได้ คนหรือสัตว์ที่เราแ่ผ่ออกไปให้เขาจะรับรู้ได้ว่ามีกระแสของความเห็นใจ ความห่วงใย ความรักให้กับเค้า
เมื่อพิจารณาองค์ฌานเห็นสภาพไตรลักษณ์ครบถ้วนของกรุณาฌานนี้ จิตก็จะหลุดพ้นสำเร็จเป็นพระอนาคามีได้ (1)ข้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคลในการพิจารณาองค์ฌาน
ขณะใด ที่เห็นคนน่าสงสาร ในขณะนั้น ไม่ใช่เพียงแค่คิดสงสาร แต่สามารถตั้งจิตแผ่ให้ได้ถึงฌานที่สาม และในปัจจุบันก็สามารถดึงสิ่งดี ๆ เพราะเป็นผลของกุศลได้ทั้งสิบเอ็ดข้อ โดยมีอานิสงส์เหมือนกับการแ่ผ่เมตตา และทำให้จิตอ่อนโยนมากขึ้น เป็นจริตแฝงไปกับจิตในภพหน้าได้ แม้เมื่อเกิดมาเเป็นมนุษย์ก็จะเป็นผู้รูปร่างหน้าตาผิวพรรณสะอาดและสง่างดงามเ้กินมนุษย์อื่น ๆ ในภพที่เกิด และมีทรัพย์สินบริวารเพียบพร้อมเพราะการแผ่เมตตาและกรุณาให้ถึงระดับอัปปนา ถือว่ามีกำลังในการกระจายหรือส่งกระแสความรักความอ่อนโยน หรือสิ่งดี ๆ ออกไปให้ชีวิตอื่นอย่างมีกำลังมหาศาล เมื่อได้ส่งกระแส ได้เพ่ง ให้สิ่งดี ๆ เกิดกับผู้อื่นแล้ว ตนนั้นเอง ที่จะได้รับสิ่งดี ๆ กลับมาในกาลข้างหน้า
ผลที่จะได้รับ ในปัจจุบัน คล้ายคลึงกับการแผ่เมตตา
เช่น ~ ตัวอย่างในสมัยพุทธกาล ~
ครั้งหนึ่งเหล่าญาติของราชวงศ์มัลละ ได้ตั้งกติกาในเวลาที่พระพุทธเจ้าจะทรงเสด็จมาว่า หากพระญาติเหล่าใด ไม่จัดการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้า จะต้องถูกปรับ กษัตริย์พระองค์หนึ่ง นามว่า โรชะมัลละกษัตริย์ ก็ได้ทำการต้อนรับเสด็จพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี แต่เมื่อพระอานนท์ถามแล้ว กษัตริย์นั้นตอบว่า ที่จัดเตรียมการต้อนรับพระพุทธองค์ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากโดนปรับเงิน
พระอานนท์ท่านทราบอย่างนั้นท่านจึงคิดว่า ควรจะให้กษัตริย์นี้เกิดความเลื่อมใสพระศาสดา จึงได้นำกษัตริย์นั้นไปพบพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงใช้พลังจิตแผ่ออกไปทำให้เขาเกิดความรักได้ในทันที โดยมีเรื่องราวจากข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้
พระอานนท์ทูลพระพุทธเจ้าว่า
"ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์ แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร
ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคถูกต้องแล้วได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตามบริเวณทั่วทุกแห่ง ดุจโคแม่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าท่านเจ้าข้า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหนเพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์.(2)
(1) อัฏฐกนาครสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=303&Z=479&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=18
(2)พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=5&A=2411&Z=2519
จากคุณ |
:
Serene_Angelic
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ม.ค. 55 11:40:40
|
|
|
|