ความคิดเห็นที่ 1 ดูก่อนท่านทั้งหลาย   บุคคลย่อมพิจารณาเห็น  จิต  ใน  จิต  เนือง  ๆ  อยู่  เป็นอย่างไร ดูก่อนท่านทั้งหลาย  บุคคลเหล่าใด  เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท  มีความเพียร อย่างต่อเนื่องแม้ในทุกขณะ  ที่จะละธรรมอกุศลทั้งปวง  และประกอบธรรมกุศลให้ถึงพร้อม   พึงเป็นบุคคลผู้มีสติ  อนึ่ง เมื่อจิตมีกามราคะ  ก็รู้ชัดว่า   จิตมีกามราคะ  หรือ จิตไม่มีกามราคะ  ก็รู้ชัดว่า   จิตไม่มีกามราคะ เมื่อจิตมีปฏิฆะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีปฏิฆะ  หรือ   จิตไม่มีปฏิฆะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีปฏิฆะ เมื่อจิตมีทิฐิ  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีทิฐิ  หรือ   จิตไม่มีทิฐิ  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีทิฐิ เมื่อจิตมีวิจิกิจฉา  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีวิจิกิจฉา  หรือ   จิตไม่มีวิจิกิจฉา  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีวิจิกิจฉา เมื่อจิตมีมานะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีมานะ  หรือ จิตไม่มีมานะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีมานะ เมื่อจิตมีภวราคะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีภวราคะ  หรือ จิตไม่มีภวราคะ  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีภวราคะ   เมื่อจิตมีอวิชชา  ก็รู้ชัดว่า  จิตมีอวิชชา  หรือ จิตไม่มีอวิชชา  ก็รู้ชัดว่า  จิตไม่มีอวิชชา     ดูก่อนท่านทั้งหลาย    บุคคลย่อมพิจารณาเห็น  จิต  ใน  จิต  เนือง  ๆ  อยู่  อย่างนี้ ขอให้เจริญในธรรม ธรรมธารา จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 14:17:37

ความคิดเห็นที่ 2 ดูก่อนท่านทั้งหลาย  บุคคลพึงถอนเสียซึ่งอนุสัย  7  อย่าง  ได้อย่างไร ดูก่อนท่านทั้งหลาย  บุคคลเหล่าใด  เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท  มีความเพียร อย่างต่อเนื่องแม้ในทุกขณะ  ที่จะละธรรมอกุศลทั้งปวง  และประกอบธรรมกุศลให้ถึงพร้อม   พึงเป็นบุคคลผู้มีสติ  เพื่อถอนเสียซึ่งอนุสัย  7  อย่าง ดูก่อนท่านทั้งหลาย   ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อถอนเสียซึ่งอนุสัย  7  อย่าง ดูก่อนท่านทั้งหลาย   ธรรมเหล่าใดงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง  งามในที่สุด   พร้อมทั้งอรรถ  พร้อมทั้งพยัญชนะ  ประกาศพรหมจรรย์  บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง อันบุคคลเหล่าใด  สดับมากแล้ว  ทรงไว้แล้ว  สั่งสมด้วยวาจา  ตามเพ่งด้วยใจ   แทงตลอดดีแล้วด้วยความเห็น  ในธรรมทั้งปวงเหล่านั้น  ย่อมเพิกถอนเสียได้ซึ่ง  อนุสัย   คือ  โพธิปักขิยธรรม ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านนะครับ ธรรมธารา จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 55 14:20:31

ความคิดเห็นที่ 3 จะพิจารณาจิต ก็ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน ไม่ใช่มาพิจารณาจิตแบบขี้ลอยน้ำ มีสิ่งสกปรกรบกวนจิตอยู่ แล้วจะเห็นจิตได้อย่่างไร จากคุณ : มิ้วน้อยน่ารัก เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 04:14:02

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบคุณความเห็นที่   3  คุณมิ้วน้อยน่ารัก "จะพิจารณาจิต ก็ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิเสียก่อน ไม่ใช่มาพิจารณาจิตแบบขี้ลอยน้ำ มีสิ่งสกปรกรบกวนจิตอยู่ แล้วจะเห็นจิตได้อย่่างไร" จากข้อความของผม “ดูก่อนท่านทั้งหลาย  บุคคลเหล่าใด  เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท  มีความเพียร อย่างต่อเนื่องแม้ในทุกขณะ  ที่จะละธรรมอกุศลทั้งปวง  และประกอบธรรมกุศลให้ถึงพร้อม   พึงเป็นบุคคลผู้มีสติ  ย่อมพิจารณาเห็นธรรม  7  อย่างที่ควรละ” ผมจำแนกข้อความให้นะครับ บุคคลผู้ประกอบด้วย  ความมีสติ  ประการหนึ่ง เป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท  ประการหนึ่ง   มีความเพียร  ประการหนึ่ง พึงละธรรมอกุศลทั้งปวง   พึงประกอบธรรมกุศลให้ถึงพร้อม ย่อมยังจิตให้ผ่องใสได้  ลองศึกษาจากพระไตรปิฎกดูนะครับ ย่อมพิจารณาเห็นจิต  ใน  จิต  เนือง  ๆ  อยู่ แล้วสมาธิที่คุณกล่าว   เป็นธรรมกุศล  หรือเปล่าครับ   ถ้าเป็นธรรมกุศล  พึงประกอบธรรมกุศลให้ถึงพร้อม  กล่าวไว้แล้วนี่ครับ ขอให้เจริญในธรรม   ลองใช้  สัมมาสติ  อ่านอีกรอบนะครับ จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 05:58:40

ความคิดเห็นที่ 5 ขออนุโมทนาในธรรมครับ... ขอให้เจริญในธรรม จากคุณ : พ. พรพรหมรัตน์ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 16:20:11

ความคิดเห็นที่ 6 อนุโมทนาค่ะ จากคุณ : จิตรพร เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 17:18:07

ความคิดเห็นที่ 7 เลอะเทอะ จิตปุถุชน มีนิวรณ์ขวางกั้นอยู่ ครูบาอาจารย์ท่านว่าเปรียบเทียบไ้ว้ "ถ้าภาชนะนี้สกปรก ภาชนะนี้มียาพิษอยู่ พออาหารนั้นมาใส่ในภาชนะนี้อาหารนั้นก็เป็นยาพิษไปด้วย ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราทำใจของเราให้ปกติ สิ่งที่มากระทบอย่างไรมันก็เป็นปกติ ถ้าจิตใจเราไม่ปกติอยู่แล้ว ข้างนอกกระทบมามันก็ต้องยิ่งรุนแรงเข้าไปใหญ่ ฉะนั้น ถึงต้องทำใจให้ปกติก่อนไง ทำใจให้เป็นปกติ ทำใจให้เป็นสมาธิ ทำใจให้ตั้งมั่น สมาธิคือใจตั้งมั่น ทำใจให้สงบ สงบเข้าบ่อยๆ พอใจสงบ ความปล่อยวางนั้นคือความสงบ" มรรค ๘ ต้องมีสัมมาสมาธิด้วย ไม่ใช่สํมมาสติอย่างเดียว นี่ริจะตัดมรรคของพระพุทธเจ้ารึ ? การพิจารณาจิต จิตต้องตั้งมั่นด้วยสมาธิในขั้นอุปจาระ ต้องรวบรวมกำลังด้วยคำบริกรรมหรือสมถภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งเีสียก่อน ไม่ใช่ไม่ต้องทำสมาธิก่อน (ขาดกำลังของสมถะ) แล้วพิจารณาด้วยข้อธรรมร้อยแปดพันประการ อย่างนี้ พระไตรปิฎก ดีกว่าเราเสียอีก เพราะพระไตรปิฎกมีข้อธรรมจำได้ทั้งหมด ถ้ายังพิจารณาแบบขี้ลอยน้ำ กิเลสก็ขี่หัวหลอกไปทุกชาติไป จากคุณ : มิ้วน้อยน่ารัก เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 19:24:09

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบ  คุณมิ้วน้อยน่ารัก เป็นเรื่อง  สมาธิ  ผมขออนุญาตแตกประเด็นไปในหัวข้อ ว่าด้วยเรื่องสมาธิ  นะครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11557889/Y11557889.html#2 แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 55 22:55:37 จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 21:38:53

ความคิดเห็นที่ 9 "ผู้ที่อ้าง" บุคคลย่อมพิจารณาเห็น จิต ใน จิต เนือง ๆ อยู่ ควร มีสติ ระลึกชอบตรงตามเป็นจริงว่า ถ้ายังปุถุชน  ตามที่ตรัส จิตนี้เป็นประภัสสร แต่จิตนั้นแล เข้าถึงความเศร้าหมองแล้วเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ ปุถุชน (เช่นนี้ คือ) ผู้ไม่มีการสดับ  ย่อมไม่รู้ชัดซึ่งความจริงข้อนั้น (เหมือน สมัยที่ ตนคือ อริยสวากผู้มีการสดับ รู้ชัดว่า จิตประภัสสร ที่เคยเข้าถึงความเศร้าหมองแล้ว พ้นวิเศษ ไม่ใช่ข่มไว้ได้  จาก ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็น ดุจ  แขกผู้มาเยือน ฯ) จะอ้าง พระสูตรใดๆ   -- น่าจะเข้าข่าย "นิ้วที่ชี้ดวงจันทร์ในน้ำ (หรือ จวักไม่รู้รสแกง)" ได้ พระพุทธศาสนาในเวลานี้  ที่เป็นอย่างที่เป็นอยู่  มี เหตุมาจาก  "ปุถุชน"  ที่รู้พุทธศาสนาแบบ รู้พุทธศาสนาแบบ มหาจุฬาฯ   รู้พุทธศาสนาแบบ มหามงกุฏฯ รู้พุทธศาสนาแบบ ธัมมกายนิยม รู้พุทธศาสนาแบบ สายพระป่านิยม รู้พุทธศาสนาแบบ สันติอโศกนิยม รู้พุทธศาสนาแบบ สวนโมกข์นิยม รู้พุทธศาสนาแบบ เจริญสติ 14 จังหวะ นิยม รู้พุทธศาสนาแบบ ดูจิต นิยม รู้พุทธศาสนาแบบ พุทธวจนะนิยม รู้พุทธศาสนาแบบ วิสุทธิมัคค์นิยม รู้พุทธศาสนาแบบ อภิธัมมัตถสังคหะนิยม รู้พุทธศาสนาแบบ มหาสติปัฏฐานสูตรนิยม รวมทั้ง รู้พุทธศาสนาแบบ เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม และ รู้พุทธศาสนาแบบ ข้าพเจ้านิยม หรือไม่  น่าพิจารณา ฯ (ก่อน เลยไปยังพระพุทธภาษิตที่ตรัส จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ฯ) จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 10:23:22

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบความคิดเห็นที่  9  ของคุณเซนเถรวาทปฐมสังคยานานิยม ขออนุญาตแตกประเด็นนะครับ  เพราะเป็นเรื่องของกิจปุถุชน  ตามที่อ้าง แตกประเด็นไปลิงคค์นี้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11559796/Y11559796.html#1 จากคุณ : สัมมาทิฏฐิ เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 55 11:36:21