ขอแบ่งประสบการณ์แบบส่วนตัวนะครับ
ข้อ 1 ผมศึกษาพระพุทธศาสนามาประมาณ 20 กว่าปี มุ่งเป้าหมายที่นิพพาน ไม่ขอ กลับมาเกิดอีก เริ่มต้นที่ฝึกกสิณไฟ เตโชกสิณ ในกรรมฐาน 40 ไม่ประสบความสำเร็จ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ลดลง แสดงว่าไม่ถูกกับนิสัย
ข้อ 2 ต่อมาศึกษาพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้น เปลี่ยนมาเป็นพิจารณา อริยสัจ 4 คือพิจารณา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พิจารณา ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณา อาณาปาณสติ เป็นหลัก พอไปได้นะครับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก โลภะ โทสะ โมหะ ลดลงน้อยมาก การเรียกและใช้สติดีขึ้นกว่าข้อ 1 ก็ยอมรับ สงสัยว่า ตัวเองคงไม่ได้เรื่อง
ข้อ 3 มีอยู่วันหนึ่งผมพบผู้ชายกลางคนค่อนไปทางมีอายุแล้ว เดินขายของข้างถนน มองดูหน้า ดูนัยน์ตา ดูท่าทาง เศร้าหมอง หดหู่ กับชีวิต รู้เลยครับวันนี้ยังขายไม่ได้สักชิ้น ได้ทานข้าวเช้าหรือยังก็ไม่รู้ ของที่เค้าขาย ผมก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร (บางครั้งพบคนขาย ยังพิการอีก) ตัดสินใจให้เงินเค้าหนึ่งร้อยบาท บอกผมไม่ซื้อของนะให้เงินไปทานข้าว สำหรับวันนี้นะครับ
ข้อ 4 เมื่อผมให้เงินเค้าหนึ่งร้อยบาท นัยต์ตา และ ท่าทาง ของเค้าเปลี่ยนไปทันที เหมือนกับว่าโลกนี้ยังมีความหวัง มีแสงสว่างของชีวิตเหลืออยู่ ผมเดินจากมาร้องไห้เลย คิดว่าชีวิตนี้มีปัญญาทำได้แค่นี้เองหรือ สำหรับเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เฉพาะที่มองเห็นมีมากมาย ที่มองไม่เห็นมีอีกเท่าไรไม่รู้
ข้อ 5 ผมเริ่มทบทวนเรื่องราวในข้อ 3 และ ข้อ 4 และคิดว่า นิพพาน คือการดับทุกข์ ของเรา ทุกข์ของสัคว์โลกล่ะ คิดว่าตนเองจะมีความสุขเพราะเดินเข้า นิพพาน และทิ้ง สัตว์โลกที่เหลือให้ทุกข์ต่อไป นั่นคือความปรารถนาที่แท้จริงหรือ
ข้อ 6 หลังจากข้อ 5 ผมค้นพบตนเองว่า ผมไม่ต้องการนิพพานแบบนั้น ผมต้องการ อยู่ในธรรมแห่งความเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล แต่เมื่อพิจารณาสภาพฐานะทางสังคม หน้าที่ การงาน รู้เลยครับว่าชาตินี้ไม่มีทาง รู้สึกหดหู่และจิตตกเลย
ข้อ 7 ต่อมาได้อ่านเรื่องราวของพระมหาชนก รู้สึกประทับใจมาก ร้องไห้เลย ขอยกเป็นบางส่วนนะครับ
ครั้งกระนั้น พระมหาชนก เพื่อกระทำ วิริยะบารมี มุ่งสู่การตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้กระทำความเพียรว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรอยู่ 7 วัน
ครั้งนั้น นางมณีเมขลา เทพธิดา ได้มาปรากฏกายเบื้องหน้าพระองค์ ได้กล่าวพระคาถา ดังนี้
- ใครนี่เมื่อมองไม่เห็นฝั่ง ก็ยังกระทำความเพียรว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นัก
- ดูกรเทวดา เราพิจารณาเห็นวัตรของโลก และอานิสงค์แห่งความพยายาม เพราะฉะนั้น ถึงจะไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร - ฝั่งมหาสมุทรอันลึกประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏ ความพยายามอย่าง ลูกผู้ชายของท่าน ย่อมเปล่าประโยชน์ ท่านยังไม่ทันจะถึงฝั่งก็จักต้องตายเป็นแน่
- บุคคลผู้กระทำความเพียรอยู่ แม้จะตาย ก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ คือไม่ถูกติเตียน ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดาและพรหมทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลเมื่อกระทำกิจของบุรุษอยู่ ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง การงานอันใดยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้น ก็ไร้ผล.......ถ้าผู้นั้นพึงละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้านนั้น - ดูกรเทวดา บุคคลอื่น พากันจมลงในมหาสมุทร เราคนเดียวเท่านั้นพยายาม ว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้เรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำ ความเพียรที่บุรุษพึงกระทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร
ข้อ 8 หลังจากข้อ 7 ผมได้คิดเลยว่า บุคคลเมื่อมีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่น มีความแน่วแน่ ที่จะประกอบธรรมกุศลใด เมื่อเราทำจนสุดกำลังแล้ว ไม่สำเร็จ ในปัจจุบัน หากมีความตั้งใจ ก็ต้องมี ความเพียร ที่จะกระทำให้สำเร็จในอนาคตให้จงได้
ข้อ 9 หลังจาก ข้อ 8 ผมจะตั้งจิตอธิษฐานในการประกอบธรรมกุศลทุกครั้ง เช่น สวดมนต์ ตักบาตร เลี้ยงภัตตาหารพระที่วัดทั้งวัด ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร ยา แก่พระสงฆ์อาพาธ ถวายผ้าห่อศพ ถวายโลงศพ หรือทำบุญให้แก่ศพไม่มีญาติตามโรงพยาบาล ให้เงินเด็กขายพวงมาลัยข้างถนน ฯลฯ โดยจะอธิษฐาน ดังนี้ ทุกครั้ง
ชาตินี้เกิดมามีกำลังน้อย ไม่สามารถเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล แก่สัตว์โลก ชาติหน้าขอเกิดอีกครั้ง เราจะเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล แก่สัตว์โลกที่ตั้งอยู่ในทิศทั้งสี่
ข้อ 10 ในการประกอบธรรมกุศลตามข้อ 9 เมื่อเสร็จกิจในแต่ละวัน หรือเมื่อมีเวลาว่าง ผมจะระลึกถึงธรรมกุศล ที่ผมได้กระทำแล้ว เพื่ออบรมอินทรีย์ อบรมพละ ให้เจริญขึ้น
ข้อ 11 ผมจะปฏิบัติตามข้อ 10 ซ้ำอยู่อย่างนั้นเป็นประจำทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ สั่งสมทุกวันไปเรื่อย ๆ เพื่อเข้าสู่ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตามลำดับ
ขอให้เจริญในธรรมนะครับ
จากคุณ |
:
สัมมาทิฏฐิ
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ม.ค. 55 07:53:08
|
|
|
|