Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ปฏิบัติธรรมวัดป่าที่เมลเบิร์น 2 ติดต่อทีมงาน

============================
ปฎิบัติธรรมวัดป่าที่เมลเบอร์น 2
============================
หกโมงสี่สิบ ....ในที่สุดผมพาสังขาร ( ธาตุ 4 + ขันธ์ 5...ถ้าจะเอาให้ครบ ) มาถึงวัดป่าโพธิวันจนได้

บรรยากาศยามเย็นอันสงบ ร่มเย็น เช่นนี้  พาเอาใจที่เจือด้วยโทสะเมื่อครู่ผม  พลอยสงบเย็นลงไปด้วย

....ผมเดินสะพายเป้ไปตามทางเดินที่ตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง  หากเป็นเมืองไทยนี่ก็คงจะเป็น 'ศาลาการเปรียญ'
ระหว่างทางมีป้าคนหนึ่ง(น่าจะเป็นคนมาเลย์)เข้ามาทักว่า ...ไอ้หนุ่ม  หลงทางเรอะ (ภาษาปะกิดนะครับ)    ผมตอบเป็นภาษาไทย  เนื่องจากคิดว่าเป็นคนไทยว่า  " ผมมาปฏิบัติธรรมครับ  จะไปพบหลวงพ่อ "  แต่ป้าแกคงไม่เข้าใจเลย แกเลยพาผมเข้าไปหากลุ่มคนไทยที่อยู่ในศาลา  

ที่ระเบียงนอกศาลา   มีผู้คนนั่งอยู่เต็มไปหมด ทั้งไทยเทศแขกฝรั่ง  พอผมเดินเข้าไปทุกคนสายตาต่างก็จับจ้องมาที่ผมด้วยความสงสัยว่า.....อายยนี่  เปน ครายยย    มาทาม อารายย ที่ นี่     ผมก็ไม่แคร์สื่อครับ  (จริงๆก็เขินเหมือนกันแหละ แต่ต้องทำฟอร์มไว้ก่อน) เดินตรงเข้าไปในศาลา  เห็นคนสองคนยืนคุยกันอยู่  กำลังจะทักแต่พี่ผู้ชายหันมาทักผมก่อนว่า " คุณเอกใช้มั้ยครับ "  .....ผมรู้ได้ทันทีเลยว่านี่คือคุณตี๋  เพราะหน้าพี่เค้าบ่งบอกยี่ห้อมากๆ (อิอิ ^^")  

ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมคุณตี๋   พี่คนหนึ่งในกลุ่มคนไทยแถวนั้นถามผมว่า ....มายังไงล่ะเนี่ย  พอผมบอกว่ามารถเมล์  เค้าก็ฮือฮากันใหญ่  บอกอนุโมทนาบุญด้วยนะ   แล้วคุณตี๋ก็ถามผมว่า มีที่พักรึยัง  ผมตอบว่า  เห็นว่าหลวงพ่อ(ท่านเจ้าอาวาส) ท่านให้พักกุฏิ ....คุณตี๋แกก็บอกว่า คุณโชคดีมากเลย ขออนุโมทนาด้วย  

ว่าแล้วคุณตี๋แกเค้าก็พาผมไปยัง Cabin ของพระ  ไปพบกับหลวงพี่รูปหนี่ง เป็นพระฝรั่ง สูง ผอม หน้าตาใจดี   ท่านแนะนำตัวด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดว่าท่านชื่อจิตปุญโญ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบนี้รึเปล่า?) แล้วก็ถามผมว่ามีเต๊นมามั้ย  ผมตอบไปว่าไม่มีครับ เห็นหลวงพ่อบอกให้พักกุฏิแต่ว่าต้องรอถามหลวงพ่อก่อนว่าให้ไปอยู่หลังไหน  แล้วท่านก็บอกผมให้เอาสัมภาระไปวางไว้ที่มุมหนึ่งก่อน  เพราะเดี๋ยวทุ่มนึงจะต้องไปทำวัตรเย็นกันแล้ว  ผมก็เลยกล่าวขอบคุณหลวงพี่แล้วเดินออกมา   แล้วก็ไม่รอช้าล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็เดินตรงไปที่อุโบสถเลย

สำหรับอุโบสถที่นี่อยู่บนเขาครับ  ต้องเดินตามทางลาดขึ้นเขาไป  ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับวัดป่าอัมพวันที่ผมเคยไปบวชมาก   จะแตกต่างหน่อยตรงที่อุโบสถวัดป่าอัมพวันเป็นไม้  แต่ที่นี่ก่อด้วยอิฐและปูนฉาบ  ตามความนิยมของบ้านทั่วไปในเมลเบิร์น   สถาปัตยกรรมก็จะออกเป็นแนวไทยประยุกตร์แบบร่วมสมัย  (เรียกผิดเรียกถูกไม่รู้นะครับ เพราะผมไม่ใช่สถาปนิก  ^^")  

ผมเดินเข้าไปในอุโบสถ ซึ่งตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย (น่าจะเป็นพวกที่มาปฎิบัติธรรมเก้าวันซะส่วนใหญ่เพราะเห็นใส่เสื้อแบบเดียวกัน)  กำลังนั่งสมาธิภาวนากันอย่างสงบ  ผมจึงค่อยๆย่องไปมุมห้องด้านหลังเพื่อไปหยิบอาสนะมาปูนั่งแถวหลัง   หลังจากกราบครูบาอาจารย์สามหนตามธรรมเนียมแล้วผมก็เริ่มนั่งสมาธิ

นั่งไปซักพักใหญ่ (ใหญ่จริงๆครับ ประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ) ก็ได้ยินเสียงแก๊งๆ เป็นสัญญาณเริ่มสวดทำวัตรเย็น     ผมก็เลยลุกขึ้นมานั่งคุกเข่า แล้วมองหาหนังสือสวดมนตร์ เห็นคนอื่นเค้ามี ไม่รู้จะไปเอามาจากไหน ก็เลยถามพี่คนข้างๆ(เดาว่าน่าจะเป็นคนไทย)  พี่เค้าก็ใจดีครับ ให้ผมมาเล่มนึง (เค้ามีสองเล่ม อีกเล่มคงจะเก็บไว้ให้ลูก)
สวดมนตร์ที่นี่เค้าก็แปลกดีครับ  คือสวดบาลี  และบางบทจะมีสวดแปลเป็นภาษาอังกฤษ  ( ซึ่งอย่าว่าอย่างงู้นอย่างงี้เลยครับ  บางบทนั้นผมว่าเข้าใจง่ายกว่าแปลไทยเป็นไทยอีกครับ  เพราะคำไทยบางคำนั้นเก่าแก่มาก จนผมไม่เข้าใจความหมาย )  ซึ่งผมก็สวดเฉพาะบทบาลี พอถึงบทแปลผมก็หยุดแล้ว ฟังเอาอย่างเดียว เนื่องจากผมหนังสือสวดมนต์เล่มนั้นเป็นภาษาไทย   พอสวดเสร็จแล้วก็ได้เวลาแสดงธรรม

วันนี้หลวงพ่อกัลยาโณท่านเทศน์ตอบปัญหาธรรมะให้พวกฝรั่งและชาวไทย  โดยจะให้ผู้ปฏิบัติธรรมเขียนใส่กระดาษใส่ไว้ในกล่องหน้าอุโบสถ  แล้วท่านก็จะรวบรวมมาตอบ  ...  นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ฟังธรรมเป็นภาษาอังกฤษครับ  แต่ท่านก็เทศน์ฟังเข้าใจง่ายดีครับ  แต่ฟังแล้วก็แอบงงบ้างนิดหน่อยเพราะยังไม่ค่อยชินกับศัพท์ธรรมะภาษาอังกฤษ   มีบางคนเขียนเป็นภาษาไทยมา  ท่านก็อ่านได้นะครับ ( อะเมซิ่งมาก ตอนแรกนึกว่าท่านจะพูดไทยได้อย่างเดียว )  แล้วท่านก็ตอบเป็นภาษาไทยแล้วค่อยแปลเป็นอังกฤษให้ฝรั่งฟัง  (เทศแบบ Bilingual กันไปเลย)
พอเริ่มพลบค่ำ พระอาทิตย์เริ่มลับขุนเขา   อากาศที่ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อซึมอยู่เมื่อครู่ (ช่วงธันวาของออสเตรเลียเป็นหน้าร้อนครับ)  ก็เริ่มเย็นลง เย็นลง  และ...เผลอแฝล็บเดียวก็เย็นโคตร  มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นกลุ่มหมอกเริ่มปกคลุมผืนป่าบนเขา สวยงามมาก (แต่หนาวววว...)    ผมเห็นผู้ปฏิบัติหลายคนต่างก็หยิบเสื้อหนาวที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาสวมกันใหญ่  (ถึงว่าซี่  ตอนขึ้นมาแรกๆ  แอบงง  ว่าเอาเสื้อหนาวกันมาทำไม  อากาศร้อนขนาดนี้)  ผมซึ่งไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย(เป้อยู่ข้างล่าง) ก็เลยได้แต่นั่งดูเวทนา (ความไม่สบายกายเนื่องจากหนาว) ไปแทน  แถมยังต้องต่อสู้กับนิวรณ์ตัวร้าย (ความง่วง) ที่มาขัดขวางการฟังธรรมของผมอยู่ตลอดเวลา

หลังจากรบรากับนิวรณ์ผลัดแพ้ผลัดชนะอยู่หลายครา (แอบหลับเป็นระยะๆ) ในที่สุดหลวงพ่อก็เทศน์จบ (จริงๆยังไม่จบ แต่ท่านยกเอาไปตอบปัญหาต่อพรุ่งนี้)  และเชิญให้ผู้ปฎิบัติธรรมไปถ่ายรูปร่วมกัน  ไอ้ผม ผู้ปฏิบัติธรรมน้องใหม่ เพิ่งจะมาได้เมื่อกี๊  ก็แอบเนียนไปกับเค้าด้วย

พอถ่ายเสร็จก็เหม็น.....เอ้ย  ไม่ใช่ (โห...มุข??) ...ถ่ายเสร็จแล้วทุกคนก็ช่วยกันเก็บอาสนะเข้าที่  แล้วเดินกลับลงไปที่ศาลาการเปรียญเพื่อ ดื่มน้ำ ทำธุระส่วนตัว  ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน    หลวงพี่จิตปุญโญท่านก็เดินมาหาแล้วเอากุญแจกุฏิมาให้ (กุฏิเบอร์ 12) แล้วบอกให้ไปรอข้างล่างซักพักจะให้โยมเอาลงไปให้
ผมลงไปเอาสัมภาระ และไม่ลืมเอาเสื้อหนาวออกมาใส่   พอออกมาก็เจอกับฝรั่งคนหนึ่งเค้าแนะนำตัวว่าชื่อเบ็น  ผมก็แนะนำตัวไป  แล้วเค้าก็บอกจะพาผมไปกุฏิ  แต่ผมขอแวะไปกรอกน้ำใส่ขวดก่อน   ว่าแล้วผมก็เดินไปกรอกที่ตู้กดน้ำ  ระหว่างกรอกน้ำ ผมก็เจอกับคุณพี่ที่ตอนนั่งทำวัตรเย็นเค้าให้หนังสือสวดมนต์ผมมา  ก็เลยกล่าวทักทายปราศรัย (พี่เค้าชื่อนีมั้ง  ถ้าจำไม่ผิด)  เค้าก็ถามผมคืนนี้ว่าพักที่ไหน ผมตอบไปว่าพักกุฎิ   เค้าก็ถามผมต่อว่า แล้วมีไฟฉายแล้วเหรอ  มันมืดนะ   ผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมเอาไฟฉายมานี่หว่า  แต่เอ้อไม่เป็นไรมือถืออีกเครื่องผมมีไฟฉาย (โนเกีย 700กว่าบาท )นี่นา  ก็เลยหยิบมาโชว์  พี่เค้าก็บอกของพี่ไปเหอะ (แกคงจะสงสาร - -") ว่าแล้วก็หยิบมไฟฉายอันกะทัดรัดมาให้

แล้วเรา(ผมกับเบ็น)ก็ออกเดินทางไปกุฏิกัน   เราเดินกลับไปทางโบสถ์  เลยออกไปทางด้านหลัง จะมีทางเดินเส้นเล็กๆตรงเข้าไปในป่า  เบ็นบอกผมว่า เดินไปจากนี่ 15 นาทีก็ถึง  (ผมก็แอบพึมพำในใจ  หา มันไกลขนาดนั้นเลยเรอะ??)  แล้วแกก็เดินนำไป

ป่าที่เราเดินเข้าไปนั่นมันเป็นป่าจริงๆเลยครับ  ไม่ใช่ป่าเล่นๆ  สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สูงจนแหงนคอตั้งบ่าขึ้นเต็มไปหมด  แถมมืดมากซะด้วย  โชคยังดีที่ผมมีไฟฉายของพี่นีซึ่งแม้จะอันเล็กๆ แต่ส่องสว่างดีมาก หยั่งกะไฟหน้ารถ  จึงพอจะแหวกความมืดเห็นทางข้างหน้าได้   เบนถามผมว่าร่างกายฟิต รึเปล่า เพราะทางหลังๆมันจะชันนะ  ผมก็ตอบไปว่าโอ๊ย  สบายมาก

ผมมองเฉพาะทางเดินเบื้องหน้าที่แสงไฟส่องไปถึง  เพราะสองข้างทางมันมืดมากจริงๆครับ (บรรยากาศประมาณ Blair witch project กันเลยทีเดียว)  พอเอาไฟฉายส่องออกไปดูก็แอบเสียวว่าจะไปจ๊ะเอ๋อะไรเข้า  ...ก็เลยต้องคุมสติไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไป    ถามเบนว่าที่นี่มีงูมั้ย  เค้าก็ตอบว่ามีเฉพาะตอนกลางวัน  ส่วนตัวกลางคืนจะเจอตัววอมแบทซะมากกว่า(เฮ้อ  ค่อยโล่งอกหน่อย)  

ระหว่างทางเราก็คุยกันไปเรื่อย  จะได้ไม่เงียบวังเวงจนเกินไป  เค้าบอกว่า เค้าเป็นนักตัดไม้ ทำงานแถววัดเนี่ยแหละ  ถ้าว่างๆเค้าก็จะมาปฎิบัติธรรมที่นี่บ่อยๆ  ปีหน้าเค้าคิดเอาไว้จะลองไปเป็น  อนาคาริกา (เดาว่า น่าจะเป็นปะขาวหรือผ้าขาว)ที่วัดหนองป่าพง  จากนั้นก็จะเป็นสามเณรที่วัดหนึ่งปี ก่อนจะได้บวชเป็นพระสมใจ   ผมก็บอกอนุโมทนาด้วย

เราเดินไปตามทางเดินที่ปูเอาไว้ไปเรื่อย  เลี้ยวแยกนู้น  แยกนี้  (ถึงว่าหลวงพี่ท่านถึงต้องให้เบนนำทางมาให้  ไม่งั้นผมหลงชัวร์)  บางแยกพาไปสู่กุฎิหลังอื่น  บางแยกเป็นทางเดินไปต่อ   ซึ่งเบ็นแกก็เดินอย่างชำนาญเส้นทาง   ทางเดินช่วงหลังๆไม่มีอะไรปูที่พื้น   มีแต่ทางเส้นเล็กๆที่ตัดเข้าไปในป่า  ยิ่งเดินก็ยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ แถมสัมภาระที่หลังก็หนักอีกต่างหาก    จากอากาศหนาวๆเมื่อครู่ก็ชักเริ่มเหงื่อซึมจนอยากถอดเสื้อนอกออก (แต่ติดสัมภาระที่สะพายมา)  มิน่าล่ะ เบ็นเค้าถึงถามว่าร่างกายฟิตรึเปล่า  มันโหดอย่างนี้นี่เอง   ผมล่ะทึ่งเลยครับ ที่พระท่านเดินไปกลับกุฎิทุกวัน  แถมวันนึงหลายๆรอบ   แต่ก็คงเป็นเหมือนกับเป็นเครื่องทดสอบไปในตัวนั่นแหละครับ    เพราะถ้าไม่มีศรัทธาอันแรงกล้าและความเพียรอันมุ่งมั่นแล้วล่ะก็....คงถอดใจไปนานแล้ว

ในที่สุด หลังจากเราไต่เขามาได้ร่วมๆ 15 นาที  เราก็มาถึงกุฏิหมายเลข 12 แล้ว   ที่ด้านข้างมีทางสำหรับเดินจงกรมอันคุ้นเคย (ถือเป็นเอกลักษณ์ของสายหลวงปู่ชาเลยทีเดียว) และกุฎิหลังเล็กๆที่ยกพื้นสูงจากพื้น เกือบเมตร(คาดว่าน่าจะเอาไว้ป้องกันภัยจากสัตว์และน้ำป่า)

เบนเดินนำเข้าไป   ที่หน้ากุฎิ  มีแมงมุมป่าตัวบักเอ้กเกาะหราอยู่เป็นพนักงานต้อนรับ  พอส่องไฟไปก็เห็นว่ามีสองตัวเกาะกัน (เบนบอก สงสัยคงจะ mating (ผสมพันธุ์)กันอยู่)  ผมเอากุญแจออกมาไขประตูกุฏิเข้าไป  ....ข้างในกุฎิปูด้วยพื้นไม้ลงแว๊กเป็นมัน  มีโต๊ะเก้าอี้  และเตียงไม้เล็กๆ พร้อมทั้งหมอนและผ้าห่มเสร็จสรรพ ( อืมนะ.. ไอ้ผมก็อุตส่าห์แบกถุงนอนมาจากบ้าน - -"  )  มีฮีทเตอร์built-in ขนาดย่อม แบบใช้แก๊สอยู่ข้างๆเตียง ( บางคนอาจมองว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกรึเปล่า?  แต่ผมว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับที่นี่นะ  เพราะพอถึงหน้าหนาว มันหนาวจับจิตจริงๆ)   เหนือโต๊ะไม้  มีหิ้งพระและข้างบนก็มีตะเกียง เชิงเทียน และพระพุทธรูปตั้งอยู่  

เบนลากลับไปกุฎิของเค้า  ก่อนจะกลับเค้าบอกทางไปห้องน้ำให้ผมก่อน   แล้วแกก็เดินจากไป...  ปล่อยให้ผมเผชิญกับความมืดมิดวังเวงกลางป่าตามลำพัง  
ถามว่ากลัวมั้ย?  ตอนนั้นผมก็กลัวเหมือนกันนะ  แหม...ก็บรรยากาศมันช่างเงียบและมืดมิดซะขนาดนี้  (มืดขนาดที่ว่า ดับไฟแล้วมองอะไรไม่เห็นเลยอะครับ)  แถมมีพี่
แมงมุมยักษ์อยู่หน้าบ้าน ....ไอ้ผมก็มีเสียวๆมั่งแหละ     แต่ก็นับว่าโชคดีที่ผมเคยได้มีโอกาสไปอยู่กุฎิวัดป่าเมื่อสมัยบวชมาแล้ว  ก็เลยเข้าใจดีว่าอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ที่สำคัญที่สุด ก็คือสติครับ  หากมีสติเป็นฐานที่ตั้ง  คอยระวังไม่ให้จิตไปเที่ยวเสาะแสวงอะไรๆมาปรุงแต่ง  เพียงแค่นี้เราก็อยู่ได้แล้วครับ    

ผมฉายไฟอย่างกล้าๆกลัวๆไปทั่วห้อง  เผื่อว่าจะมีอาคันตุกะ....ไม่สิ เจ้าของบ้าน แอบอยู่  แต่นับว่าโชคดีครับที่ไม่มีตัวอะไร (หรือใคร?) ซ่อนอยู่เลย (หรือมีแต่ไม่ปรากฏตัว..)    และสิ่งแรกที่ผมทำคือไหว้พระครับ   ผมก้มลงกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่พึ่งอันเกษมของผม .... และบอกท่าน(...หมายถึงเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา) ว่า ผมตั้งใจมาปฎิบัติธรรมที่นี่  ขอให้ท่านทั้งหลายคุ้มครองผมด้วย        

พอได้ไหว้พระแล้วผมก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง   หยิบตะเกียงบนชั้นมาดู   ปรากฏว่าเป็นตะเกียงแบบใช้ถ่านครับ  ก็ดีเลยครับ  จะได้ไม่ต้องจุดเทียน  ผมก็เลยดับไฟฉายแล้วใช้ตะเกียงแทน       จากนั้นผมก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับแปรงฟัน   แล้วเดินไปสำรวจห้องน้ำ
ห้องน้ำนั้นอยู่ห่างจากกุฏิผมไปไม่ไกล  (น่าจะซัก 300 เมตร)   เปิดเข้าไปแล้วก็ถึงกับอึ้งไปเลยครับ    เพราะแม้จะดูเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็สะอาดมากราวกับห้องน้ำโรงแรมไม่มีผิด   ต่างกันหน่อยก็ตรงไม่มีไฟนี่แหละ     พอผมทำภารกิจต่างๆเสร็จ(โดยเอาไฟฉายแขวนเอาไว้) ก็กลับกุฏิ  แล้วก็สวดมนต์นั่งสมาธิอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทางเสร็จแล้วก็นอน

......คืนนั้นผมนอนหลับสบายดีครับ  จะมีบ้างที่ตื่นมาแล้วมองลอดหน้าต่างออกไปข้างนอก  เห็นเงาต้นไม้ไหวๆ  แล้วก็แอบหวั่นๆบ้างนิดหน่อย (จิตเค้าก็ปรุงไปเรื่อยแหละครับ)   ซึ่งผมก็แก้ด้วยการหันหน้าเข้าหาผนังแทน   อากาศในป่า ถึงแม้จะหนาวไปบ้าง  แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวสั่นจนนอนไม่หลับ

ผมตื่นมาตอน ตีสี่ยี่สิบ  ...ก็รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน  และ เข้าห้องน้ำ   แล้วก็รอเบ็น ซักพักแกก็มา
วันนี้เบ็นสะพายเป้ใบใหญ่มาด้วย  เค้าบอกวันนี้จะกลับแล้ว (เค้ามาปฏิบัติได้ 3-4 วันแล้ว)  แล้วก็พาเดินลงไป  ซึ่งทางเดินขาลงนี่เป็นอีกทางหนึ่ง  ทางเดินค่อนข้างกว้าง (คิดว่าน่าจะเอารถขึ้นมาได้) แต่จะค่อนข้างอ้อมซัก
หน่อย  เราใช้เวลาเดินลงมาประมาณ 20 นาทีก็ถึงอุโบสถ
ผมเข้าไปสวดทำวัตรเช้าพร้อมกับผู้ปฏิบัติธรรมท่านอื่นๆ ส่วนเบ็นขอเอาเป้ไปเก็บก่อน    คราวนี้ผมได้หนังสือสวดมนต์แบบภาษาอังกฤษมาครับก็เลยได้สวดแปลกับเค้าซะที   สวดไปสวดมา ก็เริ่มสังเกตุเห็นว่า  บาลีแปลเป็นอังกฤษจะอ่านต่างจาก บาลีแปลไทยนิดหน่อยครับ  อย่างคำที่ลงท้ายด้วย m จริงๆแล้วต้องอ่านเป็น ng  เช่น  Saranam  ต้องอ่านว่า  สะระนัง   แต่ด้วยความที่เคยสวดบ่อยๆ ตอนบวช  สวดไปไม่นานก็เริ่มชินครับ      
พอทำวัตรเสร็จเรียบร้อย  เห็นเค้าเดินไปที่ศาลาการเปรียญกัน  ผมก็เดินตามเค้าไป  ปรากฏว่ามีอาหารเช้าครับ (ตอนแรกนึกว่ากินมื้อเดียวแบบพระ) เป็นซุปฟักทอง(คิดว่านะ) ใส่เส้นมักกะโรนี  แล้วก็หนมปังปิ้งทาเนยหรือแยม   ผมตักมาถ้วยหนึ่งแล้วไปนั่งกินที่มุมห้อง  ซุปอร่อยดีครับ หอมดี  กินเสร็จก็ลุกไปตักอีกรอบ ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าเค้าจะมีกินตอนเที่ยงอีกรึเปล่าหรือว่า  อันนี้มื้อเดียวไปเลย   ก็เลยต้องกินให้อิ่มซะหน่อย

พอกินอิ่มพอประมาณแล้ว  ก็ได้เวลาไปปฏิบัติภาวนาต่อ    ...และด้วยความเคยชินกับที่หลวงปู่ชาสอนเอาไว้ว่า   การทำความสะอาดวัดก็คือการภาวนาที่ดีอย่างหนึ่ง       ผมก็เลยเดินขึ้นไปยังอุโบสถเพื่อหางานอะไรทำครับ

พอขึ้นไปก็เห็นมีป้าๆน้าๆ มาช่วยกันกวาดพื้นกันอย่างขยันขันแข็ง   ผมก็ไปถามเค้าว่าจะไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ไหน  เค้าก็บอกให้ไปดูหลังวัดนู่น  ...ผมก็เลยเดินไป เห็นมีห้องเก็บอุปกรณ์อยู่ก็เลยคว้าไม้กวาดมากวาดพื้นกับเค้าบ้าง
กวาดไปกวาดมา  คนชักเริ่มเยอะครับ   ทั้งไทย มาเลย์ ศรีลังกา ฝรั่ง   ...ต่างคนต่างก็ร่วมมือร่วมใจกันมาทำความสะอาดกันอย่างแข็งขัน  ไม่มีเกี่ยง ไม่มีแบ่งแยกเชื้อชาติครับ   ต่างคนต่างช่วยกันเช็ดกระจก  กวาดพื้น  ขัดพื้น  จัดอาสนะ กันอย่างแข็งขัน  เดี๋ยวก็มีฝรั่งมาถามผมว่าจะให้ ชั้นช่วยทำอะไรมั้ย?   เดี๋ยวก็มีป้ามาเลย์มาบอกผมว่า ไอ้หนุ่มไปช่วยป้าถูพื้นตรงนู้นให้หน่อยได้มั้ย  .....ผมเห็นแล้วก็อดปลื้มใจไม่ได้ครับ  ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่   ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักเห็นหน้าค่ากันมาก่อนเลยแท้ๆ    .....กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็มาร่วมด้วยช่วยกัน      

ผมทั้งกวาด  ทั้งถู  ทำนู่นทำนี่สารพัด   ตอน ....แต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยซักนิดครับ   ทำไปก็ภาวนาดูจิต ตามไป ดูร่างกายขยับ  ดูจิตไปคิด  ดูอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในปัจจุบันขณะ อย่างมีสติรู้ตัว  ....  บางขณะก็เกิดปีติครับ   เนื่องเพราะ 'เหตุ'แห่งกรรมดีที่ได้กระทำ  ส่ง 'ผล' ให้เห็นได้ทันตา  เสร็จแล้วผมก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญเหล่านี้ให้กับสรรพสัตว์         .... นี่คือการทำบุญอย่างง่ายๆ  ที่ไม่ต้องเสียตังค์ซักบาท  (ซึ่งคนสมัยนี้มักหลงลืมไป)  ....เราก็ได้ภาวนา  แถมวัดก็สะอาด    เหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวทีเดียวครับ  

ตอนสายๆ ผมก็เดินจงกรมขึ้นไปยังกุฎิ   ( การเดินจงกรม คนชอบเข้าใจผิดว่าเป็นการเดินกลับไปกลับมา  ขอแค่เดินอย่างมีสติก็ถือเป็นการ เดินจงกรมแล้วครับ )  แอบหลงทางไปบ้างนิดหน่อยแต่ก็ยังถึง (ขนาดตอนกลางวันนะเนี่ย ตอนกลางคืนคงแย่)  แต่กว่าจะขึ้นไปถึงก็เล่นเอาเหงื่อแตกพลั่กเหมือนกันครับ   ไหนๆก็ไหนๆ เลยถือโอกาสอาบน้ำไปซะเลย    เตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่เอาไว้แต่นึกขึ้นได้ว่า อ้าว ลืมผ้าเช็ดตัวนี่นา  แต่ไม่เป็นไรครับ เรามาปฏิบัติธรรมต้องกินอยู่อย่างเรียบง่าย  ผมก็เลยใช้เสื้อที่ใส่ตัวเก่าเนี่ยแหละ เอาตรงที่คิดว่าไม่ค่อยสกปรกเช็ดตัวไป

หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว  ผมก็เดินกลับลงมาข้างล่าง  อากาศในป่าช่วงนี้ดีมากครับ แดดอุ่นลมเย็นเอื่อยๆ ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป  เดินเพลินๆไม่นานก็ถึงข้างล่าง
มาถึงศาลาการเปรียญตอนประมาณ 10 โมงสี่สิบ เห็นญาติโยมกำลังทยอยกันไปตักข้าวกันแล้ว   สงสัยผมคงจะพลาดชาวงตักบาตร   ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยมาทันกินมื้อเที่ยงก็ยังดี  (ทำไงได้ครับ  ถ้าพลาดมื้อนี้กว่าจะได้กินอีกก็นู่น  พรุ่งนี้เช้าเงยนะครับ )  ผมก็เลยทะยอยตามเค้าไปตักอาหารกัน

อาหารส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารไทยกับศรีลังกาครับ (ที่นี่คนศรีลังกามาทำบุญเยอะมาก)  แต่ที่เห็นๆนั้นส่วนใหญ่จะเป็นมังสวิรัติครับ   ผมมาทราบทีหลังว่าหลวงพ่อท่านชอบฉันมังสวิรัติ    ผมซึ่งไม่ค่อยได้กินอาหารไทยมาซักระยะ (เนื่องจากขี้เกียจทำ) ก็เลยได้ลาภปากไป  แถมได้ลองลิ้มชิมรสอาหารศรีลังกาอีกต่างหาก

พอกินอิ่มก็ได้เวลาปฏิบัติกิจ(ทำความสะอาดวัด)กันต่อครับ  หลังจากช่วยกันเช็ดถูทำความสะอาดบริเวณที่รับประทานอาหารซักพัก    คนอื่นเค้าก็ไปนั่งพักผ่อน พูดคุยกันบ้าง   ส่วนผมยังครับ... ผมถือว่าตัวเองมีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดไม่นาน  เพราะฉะนั้นผมต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด     ผมก็เลยเก็บขยะไปทิ้งครับ  เก็บอยู่ซักพัก   ผมก็พอดีไปเห็นหลวงพี่จิตปุญโญ เข็นเอาถังขยะหลายใบออกมา  สงสัยคงจะมาล้าง  ผมก็เลยอาสาไปช่วยล้างถังขยะให้ครับ  ไอ้งานแบบนี้ล่ะผมชอบนักแหละ  ได้สู้กับกิเลสตัวเอง  กิเลสมันบอกว่า เฮ้ย จะไปทำทำไม สกปรกจะตาย ....   ซึ่งผมก็ขี้เกียจไปต่อล้อต่อเถียงกับมัน  ลงมือทำเลยดีกว่า

ผมปลุกปล้ำกับถังขยะหลายใบ  ทั้งฉีดน้ำ  ทั้งยก  ทั้งเท ทั้งคว่ำ  โดยมีหลวงพี่คอยหาอุปกรณ์ให้ และ  พี่อาท พี่คนไทยอีกคนมาช่วยเอาแปรงมาขัด (พวกคราบเกรอะกรังที่ติดในถัง)   บางทีเทแล้วมีเศษอาหารอะไรออกมาด้วย    ผมก็ดูเป็นอสุภะไปครับ  ว่าไอ้เนี่ยแหละน้า  ก็คือ ที่เรากินเข้าไปเมื่อกี๊อะแหละ  กิเลสต่างหากที่คอยปรุงไปว่า ไอ้นี่มันขยะแขยงนะ    จริงๆมันก็คือธาตุ 4 เหมือนกันอะและ
เสร็จจากล้างถังขยะแล้ว  ผมก็มุ่งตรงไปเข้าห้องน้ำ   ไม่ได้ไปฉี่นะครับ .....แต่มาขัดห้องน้ำ     ....ไอ้การขัดห้องน้ำวัดนี่  เป็นความฝันของผมเลยครับ     ว่าแล้วผมก็ไปหาอุปกรณ์   ซึ่งของที่วัดนี้หาไม่ยากเลยครับ  เปิดตู้ในห้องน้ำปุ๊บก็มีครบครัน ทั้งน้ำยาหลากชนิด  สก๊อตไบร์ท  ถุงมือ     พอจัดการสวมถุงมือเรียบร้อยแล้ว  ผมก็ลงมือเลยครับ  ขัดชักโครกทุกซอกทุกมุมด้วยสก๊อตไบร์ท  ไอ้ที่เข้าถึงยากๆหน่อยก็ใช้แปรงขัด   ขัดส้วมเสร็จแล้วก็ไปขัดโถปัสสาวะต่อ    แต่น่าเสียดายอย่างครับที่นี่มีห้องน้ำห้องเดียวเอง  ขัดยังไม่ทันหายมันส์เลย เสร็จซะแล้ว    

ทีนี้ผมนึกขึ้นได้ว่ามันมีห้องน้ำอีกที่ตรงใกล้ๆลานจอดรถนี่นา ซึ่งอันนั้นน่าจะเป็นห้องน้ำหลักของที่นี่    ว่าแล้วผมก็เลยเดินตรงดิ่งข้ามลานจอดรถไปที่ห้องน้ำนั่นพร้อมอุปกรณ์ทำความสะอาด   แต่พอไปถึง ปรากฏว่าห้องน้ำนั้นมันสะอาดเอี่ยมอ่องทุกห้องเลยครับ   สงสัยตอนเช้าคงจะมีคนทำแล้ว  ผมก็เลยเดินกลับแล้วเอาอุปกรณ์ไปเก็บที่เดิม

(อ้อ   คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าผมขยันอะไรเลยนะครับ   คือ ตอนอยู่บ้าน   นานน้านนน ...ถึงผมจะลุกขึ้นมาขัดห้อง
น้ำที     แต่ไม่เป็นอะไรครับ  พอมาอยู่วัดแล้วมันคันไม้คันมือบอกไม่ถูก  อยู่เฉยๆไม่ได้ )

หลังจากทำความสะอาดวัดจนสาแก่ใจแล้ว   ผมก็เดินจงกรมกลับกุฎิอีกครั้ง  เพื่อไปทำความสะอาดบริเวณนั้น   เดินไปหนนี้ไม่ค่อยเหนื่อยมากนัก (สงสัยจะชิน)  ขึ้นไปถึงก็จ๊ะเอ๋กับแมงมุมเจ้าบ้านอีกครั้ง  คราวนี้มันไม่ได้ขี่กันอยู่  แต่เหมือนตัวนึงจะตาย แต่อีกตัวนึงใช้ขาข้างหนึ่งจับเอาไว้อยู่  ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   แต่ก็ช่างเถอะครับ  (ใครพอจะเข้าใจพฤติกรรมแมงมุมช่วยอธิบายด้วย)  ผมก็เข้าไปกวาดกุฎิ   แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคืนนี้มีสวดมนต์ข้ามปี  ผมตั้งใจจะอยู่เนสัชชิก(ปฏิบัติธรรมข้ามวันโดยไม่นอน )นี่นา   ก็เลยคิดว่าจะนอนซักประมาณชั่วโมงนึง ^^"   ...ว่าแล้วตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนสามโมง(จริงๆน่าจะเรียกมือถือปลุกมากกว่า) และก็นอนซะเลย

ตื่นขึ้นมาตอนเกือบสี่โมง  อะจ๊าก  ทำไมนาฬิกาไม่ปลุกวะเนี่ย.....เหลือบดูนาฬิกา  ปรากฏว่าตั้งเป็น AM .....เซ็ง - -"  
แต่ไม่เป็นไร  ตื่นมาผมก็รีบไปกวาดลานวัด (ตรงที่เดินจงกรม) แล้วก็เก็บข้าวของสัมภาระ (และถุงนอนที่ยังไม่ได้ใช้ - -") เพื่อเอาลงไปเก็บข้างล่าง     ถือเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง  ว่ายังไงคืนนี้ก็จะไม่นอน   (เพราะถ้าหากอยากนอนแล้วต้องแบกสัมภาระขึ้นมาบนกุฏิ ก็คงตาสว่างก่อนพอดี)   กราบพระพุทธรูป  ล็อคประตูกุฎิให้เรียบร้อยแล้วก็เดินลงไป

เดินมาถึงข้างล่างก็เอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่ cabin  แล้วมาดื่มน้ำปานะ  เสร็จแล้วก็ไปเดินจงกรมที่โบสถ์  เดินไปได้ซักพักก็มีหลวงพี่ท่านหนึ่งมาขอแรงให้ไปช่วยขนฟูกเอาไปปูที่ศาลาการเปรียญ เผื่อว่าให้อุบาสิกาที่มาสวดมนต์คืนนี้จะได้มานอนพักได้  หลวงพี่ท่านมากับน้องคนไทยอีกคนชื่อนะโม   ท่านเดินนำไปยังหลังโบสถ์ที่เป็นห้องอุปกรณ์ เข้าไปอีกชั้นจะเป็นห้องสมุด    แล้วท่านก็เอากุญแจไขๆบนเพดาน   แล้วก็ดึงบันไดพับข้างบนลงมา  ปรากฏว่าข้างบนเป็น  attic หรือห้องเก็บของใต้หลังคาขนาดใหญ่ทีเดียวครับ  ท่านปีนขึ้นไปแล้วก็ค่อยๆทะยอยส่งของลงมา     เราช่วยกันลำเลียงฟูกจากโบสถ์ไปๆกลับๆอยู่สองรอบก็เสร็จ  

เอ้า  เขียนไปเขียนมาสี่หน้าเข้าไปแล้วนั่น  .....สงสัยคงต้องขอต่ออีกตอนนึงแล้วกันนะครับ
ขออภัยผู้อ่านอีกครั้งนะครับ  ไม่ได้ตั้งใจจะยืดเยื้อ....ตอนหน้าจะพยายามเอาให้จบให้ได้นะครับ   - -"  



ปล.  ข้อมูลเพิ่มเติมของวัดป่าโพธิวันครับ

สมภารองค์แรกของวัดคือพระอาจารย์กัลยาโณนั้น ได้บวชเป็นพระภิกษุที่วัดหนองป่าพงของหลวงพ่อชาในปี ๒๕๒๘ หลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง
และวัดป่านานาชาติเป็นเวลา ๖ ปีแล้วจึงได้ย้ายไปปฏิบัติต่อที่วัดมาบจันทร์ ภายใต้การควบคุมดูแลของพระอาจารย์อนันต์อีก๑๐ ปี

วัดโพธิวันตั้งอยู่ในเขตแม่น้ำยาร์รา (Yarra River Valley)ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านของอีส วอร์เบอร์ตัน (East Warburton)ห่างจากเมลเบิร์นปราณ ๘๐ กิโลเมตร ในอาณาบริเวณประมาณ ๗๖ เอเคอร์ (๒๐๐ไร่)
ซึ่งอยู่ชายป่าของวนอุทยานยาร์รา สเตท (Yarra State Forest) นี้เป็นพื้นที่เนินเขาสลับซับซ้อนงดงามและยังคงไว้ซึ่งสภาวะแวดล้อมธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยพืชพื้นเมืองและสัตว์ป่านานาชนิด
(ข้อมูลจาก  http://wadthai.info/bodhivana.htm)

ปล.2  อยากจะโพสท์รูปอะครับ แต่โพสท์ไม่เป็น  ใครก็ได้ช่วยแนะนำหน่อยครับ

แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 55 16:23:59

แก้ไขเมื่อ 13 ม.ค. 55 16:22:03

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 13 ม.ค. 55 11:15:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com