Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ปฎิบัติธรรมที่วัดป่าเมลเบิร์น (ตอนจบ) ติดต่อทีมงาน

========================
ปฎิบัติธรรมที่วัดป่าเมลเบิร์น (ตอนจบ)
========================

แล้วก็ถึงเวลาทำวัตรเย็น  ผมก็ขึ้นอุโบสถ (คราวนี้ไม่ลืมเอาดสื้อหนาวไปด้วย)   คนมากันเยอะทีเดียวครับ    มาแล้วก็ต้องไปนั่งหลังๆ  ไม่ก็ไปนั่งแทรกตามช่องว่างระหว่างอาสนะที่ปูไว้ประมาณหนึ่งช่วงตัว     พอถึงเวลา หลวงพ่อท่านก็นำสวดทำวัตรเย็น  

ระหว่างสวดไป....  เนื่องจากทำวัตรเย็นนั้นค่อนข้างยาว  ผมก็ได้สังเกตุเห็นอากัปกิริยาของอุบาสกอุบาสิกาฝรั่งที่จะ ยุกๆยิกๆ เปลี่ยนท่าตลอด  บ้างก็เอาหมอนหนุน(ที่นี่เค้าจะมีหมอนรองกลมๆเอาไว้ให้รองนั่งครับ) ไปรองใต้ขา  บ้างก็นั่งยืดขา ออกไปตรงๆ  (อันนี้คนไทยบางคนเค้าถือ ว่าไม่สมควรทำ เพราะเหมือนเอาเท้าชี้ไปที่พระพุทธรูป )  ซึ่ง ผมมองแล้วก็ไม่ได้ขีดหูขัดตาอะไรหรอกครับ   ผมเข้าใจเค้าครับ   คือ ฝรั่งบางคนนี่เค้าแทบจะไม่เคยนั่งพื้นเลยครับ  อย่าว่าแต่ขัดสมาธิเลย   (บางคนนั่งไม่ได้ด้วยซ้ำไป)  พอมานั่งแบบนี้นานๆก็ต้องปวดเมื่อยบ้างเป็นธรรมดา   มองแล้วก็พลอยรู้สึกถึงความตั้งใจและความศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนา   เห็นแบบนี้แล้วก็ชื่นใจครับ
พอทำวัตรเสร็จ   หลวงพ่อท่านก็ตอบปัญหาธรรมะต่อ     ระหว่างนั้นผู้คนก็ทยอยกันมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย  จนแทบจะไม่มีที่นั่งกันเลยทีเดียว   ผมซึ่งเว้นที่ให้พี่ผมนั่งโดยเอาเสื้อหนาวไปวางไว้   พอเห็นคนเยอะๆ ก็คิดได้ว่ามันจะเป็นการเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า  ที่ก็ของวัดไม่ใช่ของเรา  ผมก็เลยเอาเสื้อหนาวออก  แล้วเขยิบที่ให้คนอื่นได้นั่ง  

ขณะที่ตอบปัญหาธรรมะ  หลวงพ่อกัลญาโณท่านก็จะเทศน์แถมให้ไปในตัวด้วย   ผมฟังแล้วก็ซาบซึ้งครับ   ท่านเทศน์ได้น่าฟังเหลือเกิน   แถมไม่ใช่ธรรมะพื้นๆ แบบสอนให้ทำดี ละเว้นชั่ว  ทำจิตใจให้บริสุทธิ์แค่นั้นนะครับ   ท่านเทศน์เรื่องไตรลักษณ์ ... (ที่ฝรั่งมักถามบ่อยๆคือ  Not self  หรือ อนัตตา)  ธาตุ 4  สติปัฎฐาน 4  สมมุติ,วิมุติ (Level of truth)  .... ฯลฯ   นี่คือ ธรรมะเพื่อการหลุดพ้นทั้งนั้นเลยครับ .....   สมกับเป็นธรรมะของพระป่าจริงๆ  

ท่านเทศน์ไปจนเกือบสามทุ่ม ก็บอกให้ไปพักผ่อน ดื่มน้ำท่า พักยกกันไป    แล้วกลับมาสวดมนต์อีกครั้ง  ซึ่งหนนี้จะเป็นการสวดมนต์ข้ามปีของจริง

ผมจำได้ว่า พี่ผมเค้าsmsมาบอกว่าจะมาถึงตอนสามทุ่มครึ่งกว่าๆนี่หว่า  (ที่นี่หาคลื่นโทรศัพท์ยากมาก เราเลยติดต่อกันทาง sms ซะส่วนใหญ่) ....ก็กะว่าเดินออกหน้าวัดเพื่อไปรับ  เพราะรู้ว่าถ้าเจ๊แกเชื่อ GPS ล่ะก็ ...หลงชัวร์  ยิ่งมืดๆแบบนี้อีกต่างหาก      ผมเดินหาที่จอดรถให้แกก่อน  เนื่องจากรถมากันเยอะมาก  และก็อย่างที่คาดไว้เลยครับ ...ที่จอดรถเต็ม  เดินดูไปเรื่อยๆก็เห็นลานหญ้าว่างๆ ข้างที่กางเต๊น  ก็เลยคิดว่าตรงนี้น่าจะเอารถมาจอดได้มั้ง   พอดีมีรถคันนึงขับวนหาที่จอดรถอยู่  ผมก็เลยไปบอกเค้าว่า ที่จอดรถเต็มครับ  ไปจอดตรงนู้นก็ได้

สามทุ่มยี่สิบกว่าๆ ผมก็เดินออกไปหน้าวัด    เดินฉายไฟไปตามทางเรื่อยๆ  (เนื่องจากวัดมีเนื้อที่เยอะ หนทางไปหน้าวัดเลยค่อนข้างยาวไกล)  ก็เห็นแสงไฟรถกำลังจะเลี้ยวเข้ามา  ผมก็คิดว่าต้องเป็นรถพี่ผมชัวร์  พอรถแล่นมาใกล้  เค้าก็ชะลอลง ผมมองดูรางๆก็น่าจะใช่นะ  ผมก็เลยเดินไปเปิดประตูรถ  ปรากฏเป็นใครก็ไม่รู้  (อ่าว  หน้าแตกเลยตรู - -") เค้าก็ถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่าที่วัดตอนนี้ยังเข้าไปได้อยู่เปล่า ผมก็บอกว่าได้  แล้วก็รีบปิดประตูไป  (เขินๆ)   เดินไปข้างหน้าอีกหน่อยก็มีรถอีกคันแล่นมา  คราวนี้ผมไม่เดินไปเปิดประตูแล้ว  ดูให้ดีก่อน แต่คิดว่าน่าจะใช่  ก็เดินไปแอบด้อมๆมองๆพี่เค้าก็เปิดประตูให้  แล้วเรียกผมขึ้นรถ  ผมก็เลยขึ้นไป

ขึ้นรถไปแล้วเจ๊แกก็บ่นให้ฟังว่า  ขับมาทางมื๊ด มืด น่ากลัว   แล้วพอดีมาเจอรถคันนี้เข้า (คันข้างหน้าที่ผมทักผิดอะครับ) ก็เลยขับตามกันมา   ปรากฏว่าเลยครับ .....  ต้องไปกลับรถข้างหน้า  แล้ววนมาใหม่ (เดาว่าเค้าคงจะเห็นไฟสว่างจากโบสถ์)  เจ๊แกก็ขับตามมา เห็นเค้าเลี้ยวตรงนี้     เจ๊แกก็ยังสับสนจะตามดีมั้ยว้า  ดีที่เห็นไฟจากไฟฉายผมเลยกล้าเลี้ยวเข้ามา    ....แล้วผมก็บอกทางให้เจ๊ขับไปจอดตรงลานหญ้าที่ผมดูเอาไว้ให้

พอจอดรถเสร็จสรรพ  เราก็เดินไปยังศาลาการเปรียญเพื่อไปดื่มน้ำ ดื่มกาแฟ   แต่ผมไม่ชอบกินกาแฟก็เลยชงไมโลกินแทน  ถ้าเกิดง่วงจริงๆค่อยลงมากินกาแฟ   ( ป้าคนที่อยู่ข้างหลังเห็นผมพูดไทย เค้าก็ทักว่า   อ้าวคนไทยเหรอเนี่ย  เห็นสวดมนต์เก๊งเก่ง  เคยบวชมาก่อนเหรอ   ผมก็ตอบครับ )    แล้วก็ไปนั่งกิน นั่งพัก เข้าห้องน้ำ    ก่อนจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมต่อที่อุโบสถ

เราขึ้นไปบนอุโบสถประมาณ  สี่ทุ่มกว่าๆ  แล้วไปหยิบเอาอาสนะมาปู  บางคนที่ยังไม่ขึ้นมาก็มีเอาข้าวของมาวางจองที่บ้าง  ซึ่งผมเห็นว่า ไม่ค่อยสมควรนัก เพราะเราผู้มาปฏิบัติธรรมควรมาฝึกที่จะละวาง  ไม่ใช่ยึดเอา  ซึ่งผมมองเสร็จแล้วก็วางอุเบกขาไปครับ      

ยิ่งนานเข้าผู้คนก็เริ่มทะยอยกันมามากขึ้นทุกที  ทำเอาอุโบสถที่ใหญ่โต ดูแน่นขนัดลงไปเลยทีเดียว  คราวนี้ก็เลยไม่ต้องมีเว้นที่ระหว่างอาสนะแล้วครับ  นั่งติดๆกันไปเลยเพราะที่จะไม่พอเอา   ... สำหรับคนที่มาก็หลายชาติหลายภาษาเหลือเกินครับ  บางคนมากับเพื่อนฝูง   บางคนมากับครอบครัว  พาพ่อแก่แม่เฒ่า อุ้มลูกจูงหลานกันมา  น่ารักดีครับ   แต่ที่ผมทึ่งที่สุดเห็นจะเป็น   คู่วัยรุ่นฝรั่งสองคนที่นั่งเยื้องไปข้างหน้าผม  เค้าแต่งตัวแบบฮาร์ดร็อค เฮฟวี่เมท่อล (ผมเรียกไม่ค่อยถูกเหมือนกัน) มาเลยครับ  ใส่เสื้อหนังสีดำ  ย้อมผมตั้งๆ เจาะหูเจาะจมูกมา .......... แล้วมานั่งพนมมือสวดมนต์ - -"    

...คือมันค่อนข้างจะตัดกัน (contrast) อย่างสุดขั้วเลยใช่มั้ยครับ      แต่นี่แหละครับ  แสดงให้เห็นถึงความร่มเงาแห่งบวรพุทธศาสนาของเรา  ที่ไม่ว่าจะแผ่ขยายไปยังที่ใด  ที่แห่งนั้นก็จะร่มเย็นเป็นสุขถ้วนทั่วกันทุกคน     ทั้งนี้ก็ต้องขอบพระคุณครูบาอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาอย่างหลวงปู่ชาที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาของเราออกไปยังต่างประเทศ

แล้วเราก็นั่งสมาธิภาวนากันไป   พอถึงเวลาประมาณ ห้าทุ่มครึ่ง  หลวงพ่อท่านก็กล่าวนำสวดมนต์    โดยสวดครั้งนี้เป็นการสวดชุดใหญ่คอมโบ้ต่อเนื่องข้ามไปสู่ปี 2012       ผมเองก็สวดบ้างดำน้ำไปบ้าง เพราะไม่ได้ดูหนังสือ  เนื่องจากหนังสือสวดมนต์ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้มาสวด    และถึงมีหนังสือก็ใช่ว่าจะสวดได้  ....เพราะอย่างที่ผมว่า  นี่เป็นการสวดคอมโบ้ต่อเนื่องรวดเดียวจบ โดยไม่บอกบท บอกหน้า  ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้เท่านั้นครับถึงจะสวดได้หมด   ถึงกระนั้นคุณลุงชาวศรีลังกาข้างหน้า  และป้าชาวมาเลย์แถวนั้น (ฟังจากสำเนียงเอา) ก็ยังสามารถสวดตามไปได้เกือบทุกบทครับ  สุดยอดจริงๆ            

ขอนอกเรื่องนิดนึงครับ  ผมขอเล่าถึงชาวพุทธในมาเลย์และศรีลังกาให้ฟังคร่าวๆนะครับ   สองประเทศนี้คล้ายกันตรงที่ว่า ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์  ศาสนาพุทธในประเทศพวกเขาถูกคุกคามจากศาสนาหรือลัทธิอื่นๆ  จนเกือบจะหมดไป  แต่ประเทศของเราก็ได้ส่งพระสงฆ์ของไทยเราไปช่วยดันทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้ยังดำรงอยู่ต่อไป    ในประเทศศรีลังกาตอนนี้ พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก  จนแทบจะหลอมรวมเข้าไปในวิถีชีวิตของผู้คน   และผมก็ยอมรับเลยครับ ว่าชาวศรีลังกาเป็นพุทธแท้ๆ  ไม่ใช่แค่ 'พุทธตามทะเบียน'   (ผมมีเพื่อนชาวศรีลังกาคนนึงเค้าบอกว่า เค้ามองศาสนาพุทธไม่ใช่แค่เพียงศาสนา  แต่เป็น way of living )  และพวกนี้เค้าจะรู้จักและเคารพนับถือครูบาอาจารย์สายวัดป่าของเรามาก      

ส่วนในประเทศมาเลเซียตอนนี้  ศาสนาพุทธก็ยังเป็นที่นับถือกันในหมู่ชาวมาเลย์เชื้อสายไทย จีน  โดยเป็นนิกายเดียวกับที่ไทย มีพระสังฆราชองค์เดียวกัน    ด้วยความที่เป็นชนกลุ่มน้อย ในบางพื้นที่นั้น  ชาวพุทธจึงต้องรวมกลุ่มกันอย่างเข้มแข็งเพื่อที่จะอยู่รอด

สังเกตุมั้ยครับว่า ...ในขณะที่เรามีพุทธศาสนามายาวนาน
ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มอารยธรรม  และก็เป็นศาสนาประจำชาติเรามาโดยตลอด   ส่วนบางประเทศนั้น  กว่าจะให้ได้มาซึ่งพระพุทธศาสนานั้น  ต้องผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน  แต่คนของเขากลับเข้าถึงวิถีแห่งพุทธะ ได้มากกว่าเรา      ....นั่นเพราะเขาเข้าใจ 'แก่น' ของพุทธศาสนา  ไม่ใช่แค่เปลือก ...แค่พิธีกรรม  เข้าวัดไหว้พระ เพียงเพื่อขอเครื่องลางของขลัง ขอให้รวย  ขอให้ถูกหวย แบบคนไทย(ผู้หลงผิด)บางคน  

เรา...ควรจะหันมามองพุทธศาสนา  ศาสนาประจำชาติของเราด้วยมุมมองที่ถูกต้องซะที  ว่ามั้ยครับ?

(....จะเห็นได้ว่าบทความของผมจะพูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ  หากคุณผู้อ่านรำคาญ ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ )

เอ้าๆ  กลับเข้าเรื่องต่อ  อย่าเพิ่งเครียดๆ  (ไหนบอกว่านอกเรื่อง'นิดนึง'ไง??)   การสวดมนต์ที่นี่  แม้เสียงจะไม่ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วฮอล  เนื่องจากพระที่นี่มีน้อย  แค่สี่ห้ารูปเท่านั้น    และคนต่างชาติเยอะ  สวดไม่ค่อยเป็นกัน  (คนไทยยังตามไม่ค่อยทันเลย)  แต่ก็รู้สึกได้ถึงความตั้งใจจริงของพุทธบริษัททุกคน   ไม่มีใครพูด ไม่มีใครบ่น   บางคนปวดขาก็ยังอุตส่าห์นั่งทนสวดไปอย่างนั้น ไม่ลุกเดินให้เกะกะคนอื่น    และรับรู้ได้ถึงกระแสแห่ง 'เมตตา' ที่ทุกคนต่างปรารถนาให้โลกของเราสงบสุขในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

....แล้วการสวดมนต์ก็จบลงเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ... 30 นาทีแรกของปีใหม่ แห่งความสงบร่มเย็น  
หลวงพ่อท่านก็กล่าวให้พรกับบรรดาญาติโยมที่มาร่วมงาน  ใครอยากจะอยู่ปฏิบัติธรรมก็อยู่ได้  ใครอยากกลับ ก็ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ   แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป

ไม่ต้องมีจุดพลุ...ไม่ต้องมีงานเฉลิมฉลอง....ไม่มีแม้กระทั่งพิธีรีตรอง      มีเพียงแต่ความเรียบง่ายสไตล์วัดป่า   ทว่าผมเชื่อว่า   ทุกคนที่มาร่วมงานต่างก็ได้ความอิ่มอกอิ่มใจ    และได้เริ่มต้นปีใหม่อย่างมี 'สติ' อีกปีหนึ่ง  
แม้ว่าหลวงพ่อจะบอกให้กลับกันไปได้แล้ว   ทว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็ยังอยู่นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมกันต่อ  (สงสัยจะยัง'อิน'อยู่) ผมถามพี่ว่า  เจ๊จะไปนอนยัง  ผมจะได้ไปส่ง (พี่เค้าไม่รู้ว่าต้องไปตรงไหน)  พี่เค้าก็บอกว่าจะนั่งสมาธิต่อไปซักหน่อย  ออกไปตอนนี้อายเค้า  (อ้าว...ซะงั้น?)  
เรานั่งอยู่ซักพัก  พี่เค้าก็สะกิดให้ผมพาไปส่งที่โรงนอน  ผมก็พาเจ๊แกไป   แล้วก็แวะดื่มชาอุ่นๆซักถ้วยก่อนจะมาปฏิบัติธรรมต่อ

คืนนั้นผมนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรมเป็นระยะๆ  คือนั่งไปซักพัก พอง่วงๆก็ลุกมาเดิน  เดินพอให้ตาสว่างก็มานั่งใหม่  ปกติพอนั่งสมาธิจนจิตสงบ (ลมหายใจแผ่วเบา)  แล้วผมมักจะชอบไปดูเวทนา(คือความปวดเมื่อยแขนขา) เป็นหลัก  แต่คราวนี้ผมลองไปดูอย่างอื่นมั่ง  (กาย เวทนา จิต ธรรม ..ใครไม่เข้าใจให้ไปศึกษาสติปัฎฐานดูนะครับ )  คือดูเวทนาไปซักพัก  พอเวลาปวดขามากๆเข้าก็ขยับบ้าง  แล้วดูกายที่ขยับแทน  ซึ่งการดูแบบนี้ก็ดีตรงไม่ต้องทนเจ็บปวดมากครับ  แต่ข้อเสียก็คือ...พอร่างกายเราสบาย  ทีนี้ไอ้ความง่วงมันก็เข้าแทรกได้ง่าย  (ยังไม่ต้องถึงกับธาตุไฟเข้าแทรกหรอกครับ  เสร็จธาตุ'ง่วง'ซะก่อน)   ทำให้ผมเข้าใจเลยครับว่าทำไมพระป่าเค้าถึงชอบสอนให้ดูเวทนากัน  (ดูเวทนาแล้วสติเกิดบ่อยมาก)

ยิ่งดึก ยิ่งดื่น คนก็ยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ  อากาศก็เริ่มเย็นลงๆ  แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวมากนะครับ  ...แค่เย็นๆเหมาะแก่การนอน   ฝรั่งข้างหน้าผมเริ่มเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งสมาธิเฉยๆ  เป็นนั่งพิงกำแพง  ....พอผมลืมตามาอีกครั้งพี่แกเรื่อมเลื้อยครับ   เบาะอาสนะจากที่เคยใช้ปูนั่ง  เริ่มมีการเอามาเสริมเป็นที่นอน  ......มองแล้ว กิเลสก็มาเยือนสิครับ  กวักมือหยอยๆชวนให้ไปนอนได้แล้ว

มีอยู่ช่วงหนึ่งผมง่วงมากๆ  คอพับคออยู่อ่อนหลายครา   เห็นท่าจะไม่สู้ดี  ผมก็เลยตัดสินใจลุกขึ้นยืน คว้าไฟฉายแล้วเดินออกมาข้างนอก  

....ผมจะไปเดินป่าครับ.....

เดินมันทั้งมืดๆ อย่างนี้แหละครับ    มันจะได้เลิกง่วง
ว่าแล้ว...  ผมก็เดินดุ่มๆ  ตรงไปยังทางเข้าป่า   แล้วเปิดไฟฉายเดินฝ่าความมืดเข้าไป  

โอ้โห  พอเดินเข้าไปแค่ก้าวสองเก้าเท่านั้นแหละครับ  สติตื่นเต็มตัวเลย   จากที่ง่วงๆซึมๆ  ก็ตาสว่างขึ้นมาทันที  ....มันกลัวครับ  สองข้างทางมืดมิดไปหมด  ไม่มีเสียงอะไรแม้แต่ใบไม้ขยับ  ....ผมเดินภาวนาพุทโธๆ ไปเรื่อย  ให้จิตเคล้าเคลียอยู่กับคำบริกรรม  ไม่วอกแวกส่งออกไปยังความมืดรอบข้าง  จะได้ไม่ปรุงแต่งอะไรมาหลอกหลอนผมขณะเดิน

หากคุณผู้มีอ่านโอกาส  อยากให้ลองดูจริงๆครับ   เดินเข้าไปในป่าคนเดียวตอนมืดๆ (แต่ต้องดูความปลอดภัยก่อนนะครับ) โดยมีไฟฉายติดตัวไปอย่างเดียวกับสมาธิที่แน่วแน่    ... ได้ผลจริงๆ  จิตสงบนิ่งมาก  แม้จะวอกแวกบ้างก็จะ แวบไปแค่แป๊บเดียว  เดี๋ยวก็กลับมา

ผมเดินจนหายง่วงแล้วก็เดินกลับมานั่งสมาธิต่อ ...   มองไปด้านหน้า  ยังเห็นพระสี่ห้ารูปยังคงนั่งนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ที่เดิม (มีเพียงสามเณรรูปเดียวที่ไม่อยู่)  เห็นแล้วก็ทั้งทึ่งและปลื้มใจครับ    ท่านทั้งหลายช่างมีความเพียร  เป็นแบบอย่างการภาวนาที่ดีให้แก่ญาติโยม  ...เห็นแล้วก็อนุโมทนาครับ

ดูนาฬิกาแล้วปรากฏว่าตีสามเข้าไปแล้ว  อีกชั่วโมงเดียวก็ได้เวลาทำวัตรเช้าแล้ว  ก็เลยนั่งสมาธิไปเรื่อย  
ที่ผมนั่งสมาธิวันนี้  แม้จะไม่สงบเท่าใดนัก   แต่ก็เค้าก็แสดงให้ผมได้เห็นถึงอนิจจัง หรือ ความไม่เที่ยงครับ   เราไม่สามารถบังคับให้อะไรๆเป็นไปอย่างที่เราต้องการได้เลย   แม้แต่จิตของเราเองก็ตาม  
เสียงระฆังแก๊งๆ  บอกเวลาทำวัตรเช้า  ผมค่อยๆลืมตาแล้วคลายออกจากสมาธิ   ขณะนี้คนเข้ามานั่งกันเยอะแล้ว  คู่วัยรุ่นขาร็อคเมื่อคืนก็มาด้วย     ผมล่ะแอบทึ่งกับคู่นี้จริงๆครับ  แทนที่พวกเค้าจะไปฉลองเย้วๆกันตามผับตามบาร์อย่างวัยรุ่นออสซี่ทั่วไป   ใครจะไปนึกว่าแต่งตัวซะแนวแบบนี้จะมาสวดมนต์รับปีใหม่ที่วัด  ......ฝรั่งเค้าถึงว่า  ' อย่าตัดสินหนังสือเพียงแค่ปก'   (  ....แต่พี่ผมทำไมมันไม่มาหว่า?? )    

หลังจากสวดมนต์เสร็จเรียบร้อย  เราก็ทยอยกันลงไปที่ศาลาการเปรียญกัน   อากาศยามเช้าวันนี้ น้าวหนาว  หนาวกว่าเมื่อคืนอีก  จนผมต้องไปหาชาร้อนๆดื่ม   แล้วก็ไปต่อแถวรับอาหารเช้า  เป็น scone  เป็นขนมปังก้อนกลมๆจืดๆ  (ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน)  เหมาะแก่การทาเนย ทาแยม กินแกล้มกับกาแฟ   ผมกินไปแล้วก็มองหาพี่  แอบสงสัยว่า  เจ๊เค้าจะไปไหนได้น้า   ห้องนอนเข้าก็เก็บกันหมดแล้ว  (ต้องเปลี่ยนเป็นที่วางอาหารช่วงเพล)  เอ หรือว่าจะไปอาบน้ำ    รอไปรอมาซักพัก ก็มีคนเอาข้าวต้มมาช่วยกันหลายคน  ใส่ถาดใส่หม้อเอาไว้ให้คนตัก  บางคนก็ช่วยทำกับเป็นไข่เจียวบ้าง ผัดผักบ้างตามถนัด  ผมก็ลุกขึ้นไปตักมากิน  ด้วยความที่ยังไม่เช้าอยู่ ไม่ค่อยสว่างนัก  ผมก็เลยไปตักเอาข้าวต้มอะไรก็ไม่รู้ใส่กล้วยเละๆ กับผลไม้อะไรซักอย่าง   กินเข้าไป  เอ่อ...ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยหรอกครับ  แต่ผมกินไม่เป็นมากกว่า เหมือนกินอาหารเด็กทารก  (จำได้ด้วยเรอะ?) แต่ก็พยายามฝืนกินจนหมด  เพราะผมถือว่าของที่คนนำมาถวายวัดจะกินทิ้งกินขว้างไม่ได้  เค้าทำมาด้วยความตั้งใจ  หากเราทิ้งไปมันจะบาปเปล่าๆ  

กินเสร็จเรียบร้อย  ผมก็ไปเดินหาพี่ผม  แอบห่วงว่าหายไปไหนว๊า  คนอี่นเค้ามากินข้าวกันหมดแล้ว  เดินไปดูที่รถ... เจอเลยครับ  เจ๊แกนอนห่มผ้าห่มอยู่ตรงที่นั่งคนขับ  ผมเลยไปทัก  แกบอกว่าเมื่อคืน มีคนมาปลุกที่ห้องนอน(ชั่วคราว)ตอนตีสามให้ขึ้นไปทำวัตรเช้า  ส่วนเจ๊เกก็งัวเงียลากผ้าห่มมานอนต่อที่รถ  ....ผมละเซ็งเป็ดกับเจ๊แกจริงๆ  ชวนมาปฏิบัติธรรมก็ดั๊นมาเข้าเฝ้าพระอินทร์ซะนี่   แต่ก็เข้าใจว่าอาจจะเหนื่อย  ไหนจะทำงานทั้งวัน  ไหนจะต้องขับรถมาอีก    ผมก็เลยปล่อยให้เจ๊แกนอนอืดต่อไป   ส่วนผมก็ไปทำหน้าที่ชาวพุทธที่ดีต่อ...

ผมก็เดินขึ้นไปที่อุโบสถเพื่อหางานทำ    ไปถึงปรากฏว่ายังมีคนมาทำไม่กี่คน  ผมก็เลยไปเอาน้ำยาเช็ดกระจกกับผ้า(จริงๆอยากใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มี)ไปเดินเช็ดหน้าต่างรอบอุโบสถ พร้อมกับภาวนาดูจิตไปด้วย  ทำไปซักพักก็มีไอ้หนุ่มศรีลังกาคนหนึ่งมาถามว่าให้ช่วยอะไรมั้ย  ผมก็พาแกไปห้องอุปกรณ์แล้วหยิบผ้ากับน้ำยาเช็ดกระจกให้เค้าอีกชุด  แล้วบอกให้เค้าไปเช็ดหน้าต่างอีกฝั่ง   คนที่มาวัดนี่น่ารักทุกคนเลยครับ   ช่วยเหลือกันขยันขันแข็ง ไม่มีบ่นซักนิด   แต่เนื่องจากหน้าต่างอุโบสถนั้นค่อนข้างเยอะ  แถมเราเช็ดทั้งข้างนอกข้างใน  กว่าจะเสร็จก็ช่วงสายๆอะครับ  

พอเสร็จงานแล้วผมก็ลงไปที่ศาลาการเปรียญ   พี่ผมเค้าก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว   ผมแซวแกไปว่า  ตกลงเจ๊มาปิคนิค หรือมาปฎิบัติธรรมเนี่ย     แล้วก็เลยพาเจ๊แกไปเดินจงกรมนั่งสมาธิที่อุโบสถ  อุตส่าห์มาถึงวัดป่า  ให้มันได้อะไรกลับไปมั่งสิน่า  

เราปฎิบัติธรรมบนอุโบสถกันซักพัก  ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ต้องเอาไฟฉายไปคืนให้คุณพี่นีนี่นา  พี่เค้าบอกให้ผมเอาไปฝากไว้ที่หลวงพี่จิตปุญโญ  และผมก็จะได้เอากุญแจกุฎิไปคืนท่านด้วย    ว่าแล้วผมก็เดินไปยัง cabin ของพระ ก็เจอท่านจิตปุญโญ  เลยฝากท่านไว้   แล้วก็คุยอะไรกันซักพัก  คุยไปคุยมา พอท่านทราบว่าผมเป็นวิศวกรโครงสร้าง  ท่านก็เลยไปเอาแบบ drawing มาให้ผมดู  

ท่านบอกทางวัดจะสร้างเรือนรับรองครูบาอาจารย์  ตอนนี้มีแบบ architect จาก สถาปนิกอาสาคนนึง  ท่านบอกว่าดีเลยที่ได้รู้จักกับวิศวกรโครงสร้างด้วย  เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ถาม    ผมเองก็ดีใจครับ   ก็แหมนานๆทีจะได้มีโอกาสใช้วิชาความรู้ทางโลกที่ร่ำเรียนมา ในการช่วยทำนุบำรุงพุทธศาสนาที่ผมรัก  ผมก็เลยให้เบอร์กับหลวงพี่ไป  บอกว่ามีอะไรโทรถามได้  หากจะให้เขียนแบบ หรือแก้ไขอะไรเพิ่มเติมผมยินดีช่วยเต็มที่ ( ยกเว้นเซ็นแบบ  เพราะผมยังไม่สามารถ.. )  ว่าแล้วก็เลยขอแบบ drawing ท่านมาชุดนึง

จากนั้นผมก็กลับไปยังอุโบสถเพื่อปฏิบัติภาวนาซักพัก พอถึงสิบโมงครึ่งก็ลงมาเตรียมตักบาตรปีใหม่

สำหรับธรรมเนียมการตักบาตรที่นี่ก็คล้ายๆที่เมืองไทยแหละครับ  เพียงแต่ว่าที่นี่เค้าจะมีชามข้าวพลาสติคให้เราคนละใบ  เราก็ถือไว้แล้วมาต่อคิวเรียงกันสองข้างทาง  เพื่อตักข้าวใส่ในบาตรพระสงฆ์    ส่วนกับข้าวคาวหวานนั้น  เราต้องไปเตรียมเอาใส่จานใส่ภาชนะต่างๆ  แล้วไปวางไว้ที่โต๊ะที่เค้าจัดให้ในศาลาการเปรียญ(ที่เดียวกับที่พี่ผมนอนเมื่อคืน)   แล้วหลังจากพระสงฆ์รับบิณทบาตข้าวจากญาติโยมแล้ว  ท่านก็จะเดินไปตักกับข้าวแล้วเดินไปฉันที่อุโบสถ  ซึ่งญาติโยมพอตักบาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะทยอยกันขึ้นไปนั่งรอกรวดน้ำ รับพรกันที่อุโบสถ  ใครจะถวายสังฆทานก็ถวายกันได้ตอนนี้  (ผมก็เตรียมของสังฆทานติดรถเจ๊ มาถวายด้วย )   จากนั้นถึงคราวของญาติโยมกลับลงไปตักอาหารกินกันตามอัธยาศัย

วันนี้ที่ครัว  ของกินเยอะมาก ทั้งอาหารไทย จีน ลาว ศรีลังกา อินเดีย ฝรั่ง  ... ซึ่งคนก็เยอะมากเช่นกัน   กว่าผมจะได้ไปตัก  กับบางอย่างก็เกือบจะหมดแล้ว  แต่ไม่เป็นไรครับ เรามาทำบุญร่วมกัน  กินก็ต้องแบ่งกันกินครับ  
พอตักเสร็จก็มานั่งกินข้างนอก  ....ถึงแม้กับข้าวจะค่อนข้างมิกซ์กันไปมา  แต่ก็ยังอร่อยได้อยู่ครับ   กินแล้วก็นึกถึงตอนสมัยบวชที่วัดป่าอัมพวัน  ตอนนั้นก็กินแบบรวมมิตรอย่างนี้เหมือนกัน  แถมมื้อเดียวซะด้วย  ไม่รู้อยู่ไปได้ยังไง

หลังจากกินอิ่มแล้ว  ผมก็ชวนพี่มาช่วยกันเก็บกวาด  ผมก็ช่วยงานที่ต้องอาศัยแรงงาน  อย่างเก็บโต๊ะให้เข้าที่  ขนของสังฆทานเข้าไปเก็บในห้องเก็บของ   ส่วนเจ๊แกก็ช่วยกวาดพื้น ถูพื้นไป    ทำอยู่ซักพักใหญ่  เจ๊ก็ชวนผมขึ้นไปฟังหลวงพ่อเทศน์บนอุโบสถ
พอขึ้นไปข้างบน เห็นคนเต็มศาลา  ก็เลยนั่งฟังอยู่ข้างนอก  โดยมีชาวศรีลังกาอีกกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ    

เพิ่งกินมาอิ่มๆ  แถมลมก็พัดเอื่อยๆ   บรรยากาศมันชวนให้งีบเสียนี่กระไร  ผมเองเมื่อคืนก็ไม่ได้นอนเสียด้วยสิ  ก็เลยเกือบเคลิ้มๆไปเหมือนกัน  หันไปมองเจ๊ที่นั่งข้างๆ  ปรากฏว่าเจ๊แกล่วงหน้าไปก่อนแล้ว  (เฮ่ยย  ได้ข่าวว่านอนเยอะกว่าชาวบ้านเค้าเลยไม่ใช่เรอะ!!)  พอดีมีพระเดินผ่านมา  ผมหันไปยกมือไหว้เจ๊แกเลยตื่น    ซักพักพระก็เดินผ่านกลุ่มชาวศรีลังกาที่นั่งคุยกันอยู่  พวกเค้าก็หยุดคุย  เปลี่ยนมานั่งคุกเข่า  แล้วก้มลงกราบลงกับพื้น  .....เค้านอบน้อมจริงๆครับ คนศรีลังกานี่

พอหลวงพ่อกัลยาโณท่านเทศน์จบ  ก็มีคนค่อยๆทยอยไปกราบลาท่าน  ผมเองยืนกล้าๆกลัวๆอยู่ซักพัก  ก็ตัดสินใจไปกราบลาท่านบ้าง  ท่านก็กล่าวทักทายผมสองสามคำ   ....ซึ่งแค่นี้ผมก็โคตรปลื้มแล้วครับ      ได้คุยกับท่านแม้จะแค่น้อยนิดแต่ก็พอรู้สึกได้ถึงเมตตาบารมีของท่านที่แผ่มาถึง    (แม้ท่านจะอายุมากแล้ว  แต่หน้าท่านยังใสปิ๊งอยู่เลยครับ  แถมยังแข็งแรงขนาดเดินขึ้นลงกุฏิบนเขาได้ อีกต่างหาก  )

หลังจากฟังเทศน์ เสร็จแล้ว ผมก็ขึ้นรถพี่กลับบ้าน   ใจจริงอยากจะอยู่ช่วยทำความสะอาด  ขัดห้องน้ำวัดต่ออีกซักนิด   แต่เกรงใจพี่เค้าก็เลยต้องกลับก่อน  โดยไปปฎิบัติธรรม  ถือศีลแปดต่อที่บ้านจนครบวัน

....ก็เป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ของผมแต่เพียงเท่านี้      และผมก็ขอเอาบุญมาแบ่งให้กับผู้อ่านโดยทั่วกัน    

หากมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมในครั้งต่อๆไป หรือ พบเจอเรื่องราวที่น่าจะเป็นสาระประโยชน์ต่อคุณผู้อ่าน  ผมก็จะเอามาเล่าสู่กันฟังกันอีกในโอกาสต่อไป

ธรรมรักษาครับ
ซงย้ง

ปล.   ก่อนกลับผมได้แจกหนังสือที่ผมเขียนให้กับคุณตี๋ไปเล่มนึง  แต่ไม่มีโอกาสได้ให้พี่นี  กัลญาณมิตรอีกท่านของผม  (เพราะเอาติดมาเล่มเดียว)  หากผู้อ่านท่านใดรู้จักกับพี่นี  รบกวนช่วยบอกผมหน่อยนะครับ

จากคุณ : ซงย้ง
เขียนเมื่อ : 15 ม.ค. 55 18:32:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com