|
ผู้หมดความโกรธ เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาจนกระทั่งถึงวัดป่าซึ่งตั้งอยู่ในเขต ป่าช้า (เป็นที่พักสงฆ์) อยู่ในเขตจังหวัดนครพนม เป็นเวลาจวนจะเข้าพรรษาอยู่แล้วหลวงพ่อจึงขอพักกับหัวหน้าสงฆ์ มีนามว่า หลวงตาปุ้ม ได้สนทนาธรรมกันนานพอสมควร ได้ยินหลวงตา รูปนั้นพูดว่า ท่านหมดความโกรธแล้ว จึงเป็นเหตุให้หลวงพ่อนึกแปลกใจ เพราะคำพูดเช่นนี้ท่านไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อน จึงคิดว่าพระองค์นี้จะดีแต่พูด หรือว่าดีเหมือนพูด เราจะต้องพิสูจน์ให้รู้ จึงตัดสินใจขออยู่เพื่อการศึกษาธรรมะ แต่เนื่องจากหลวงพ่อไปรูปเดียว ทั้งอัฏฐบริขารก็เก่าเต็มที เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเพราะไม่มีใครรับรอง ถึงแม้จะขอจำพรรษาอยู่ด้วย ท่านเหล่านั้นก็ไม่ยอมเลยตกลงกันว่า จะให้ไปอยู่ที่ป่าช้าคนจีนซึ่งอยู่นอกเขตวัดไม่ไกลนัก หลวงพ่อก็ยินดีจะไปอยู่ที่นั่นแต่พอถึงวันเข้า พรรษาหลวงตาปุ้มและคณะจึงอนุญาตให้จำพรรษาในวัดได้
ตอนหลังๆ ได้ทราบว่าหลวงตาปุ้มเกิดความลังเลใจ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้จำพรรษาอยู่นอกวัดหรือในวัด จึงไปปรึกษาท่านอาจารย์บุญมา ได้ทราบว่าอาจารย์บุญมาได้แนะว่า พระที่มีอายุพรรษามาก มารูปเดียวอย่างนี้จะให้จำพรรษานอกวัดดูจะ ไม่เหมาะ บางทีท่านอาจจะมีดีของท่านอยู่ ควรให้จำพรรษาในวัดนั่นแหละ
ดังนั้นหลวงตาปุ้มและคณะจึงอนุญาตให้อยู่จำพรรษา ในวัดได้ แต่ต้องทำตามข้อกติกาดังนี้
๑.ไม่ให้รับประเคนของจากโยม เป็นแต่เพียงคอยรับจากพระรูปอื่นที่ส่งให้
๒.ไม่ให้ร่วมสังฆกรรม (อุโบสถ) เป็นแต่เพียงให้บอกบริสุทธิ์
๓.เวลาเข้าที่ฉันให้นั่งท้ายแถวของพระต่อกับสามเณร
หลวงพ่อยินดีทำตามทุกอย่าง แม้ท่านจะมีพรรษาได้ ๑๐ พรรษาก็ตาม ท่านกลับภูมิใจและเตือนตนเองว่า จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก เหมือนเพชรนิลจินดา จะวางไว้ที่ไหนก็มีราคาเท่าเดิม และจะได้เป็นการลดทิฏฐิมานะให้น้อยลงด้วย เมื่อปลงตกเสียอย่างนี้ จึงอยู่ได้ด้วยความสงบสุข หลวงพ่อเล่าว่าเมื่อเราเป็นคนพูดน้อย คอยฟัง คนอื่นเขาพูดแล้วนำมาพิจารณาดู ไม่แสดงอาการที่ไม่เหมาะ ไม่ควร คอยสังเกตจริยาวัตรของท่านเหล่านั้นย่อมทำให้ได้ บทเรียนหลายๆอย่าง ภิกษุสามเณรเหล่านั้นก็คอยสังเกตความบกพร่องของหลวงพ่ออยู่ เขายังไม่ไว้ใจ เพราะเพิ่งมาอยู่ร่วมกันเป็นพรรษาแรก
เมื่อการอยู่จำพรรษาได้ผ่านไปประมาณครึ่งเดือน ทั้งๆ ที่ท่านทราบว่า ภิกษุสามเณรยังระแวงสงสัยในตัวท่านอยู่ แต่หลวงพ่อก็วางเฉยเสีย มุ่งหน้าต่อการปฏิบัติธรรม ท่านนึกเสียว่าเขาช่วยระวังรักษาความบกพร่องให้เรานั้นดีแล้ว เปรียบเหมือนมีคนมาช่วยรักษาความสกปรกมิให้แปดเปื้อนจึงเป็นการดีเสียอีก...
ตามปกติหลังจากฉันเช้าเสร็จแล้ว ท่านนำบริขารกลับกุฏิ เมื่อเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อมักจะหลบไปพักเพื่อพิจารณาค้นหาธรรมในเขตป่าช้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัด ตรงกลางป่าช้าเขาปลูกศาลาเล็กไว้หลังหนึ่ง เมื่อมองจากศาลาย่อมมองเห็นหลุมฝังศพและฝังเถ้าถ่านกระดูกของเพื่อนมนุษย์เป็นหย่อมๆ ทำให้นึกถึงข้อธรรมะที่เคยพิจารณาว่า อธุวัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน, ธุวัง เมสมรณัง ความตายของเรายั่งยืน,สอนิยะตัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่เที่ยง, นิยะตัง เมสมะระณัง ความตายของเราเที่ยง, สักวันหนึ่งเราก็จะต้องทับถมดินเหมือนคนเหล่านั้น เราเกิดมาเพื่อถมดินให้สูงขึ้นหรือ? หรือเกิดมาทำไม...
อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ขณะที่หลวงพ่อกำลังพิจารณาธรรมชาติของต้นไม้ใบไม้ เถาวัลย์ต่างๆ อยู่ที่ศาลาเล็กกำลังสบายอารมณ์ มีกาตัวหนึ่งบินมาจับกิ่งไม้ใกล้ๆศาลา ส่งเสียงร้อง กา...กา... ท่านไม่สนใจเพราะนึกว่าคงร้องไปตามประสาสัตว์ แต่ที่ไหนได้ พอมันรู้ว่าเราไม่สนใจมันจึงลื่นลงมาจับที่พื้นตรงหน้าเรา ห่างกันเพียงประมาณ ๒ เมตร ปากมันคาบหญ้าแห้งคาบแล้ววางๆ พลางร้องว่ากวาวๆ...เหมือนมันจะยื่นหญ้าแห้งให้พอเราสนใจมองดู และรับทราบในใจว่า อื้อ...เจ้ามาบอกอะไรเล่า...กาก็บินหนีไป อยู่ต่อมาประมาณ ๓ วันมีเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๑๓-๑๔ ปี ป่วยเป็นไข้และตายไป เขาจึงนำมาเผาในป่าช้าไม่ไกลจากศาลา และหลังจากเขาสวดมนต์ทำบุญแล้วได้ ๓-๔ วัน ขณะที่หลวงพ่อกำลังนั่งพิจารณาธรรมอยู่ก็มีกาบินมาจับกิ่งไม้ข้างศาลาอีก เมื่อเราไม่สนใจมันก็บินลงมาจับดินและแสดงอาการเหมือนครั้งแรก พอหลวงพ่อมองดูมันและรับทราบ กาตัวนั้นก็บินหนีไป...อยู่ต่อมาอีกประมาณ ๓ วัน พี่ชายของเด็กที่ตายไปแล้วนั้น ซึ่งมีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปีเกิดป่วยเป็นไข้กะทันหันและก็ตายอีกพวกญาตินำมา เผาในป่าช้านั้นอีก หลังจากทำบุญตักบาตรแล้วประมาณ ๓-๔ วัน ขณะที่หลวงพ่อนั่งพักอยู่ในศาลากลางป่าช้า ก็มีกาบินมาเกาะ กิ่งไม้ ส่งเสียงร้องเหมือนเก่า เมื่อไม่สนใจมันก็บินลงมาจับพื้น คาบหญ้าแห้งเหมือนจะยื่นให้ คาบวางๆพอรับทราบว่า อะไร กันเล่าจะมาบอกอะไรอีก...กาตัวนั้นก็บินหนีไป หลวงพ่อจึงคิดว่า ๒ ครั้งก่อนมันทำอย่างนี้มีคนตาย ๒ คน แต่คราวนี้มันมาทำอีก ทำไมจะมีคนตายอีกหรือ อยู่ต่อมาอีก ๓-๔ วัน พี่สาวของเด็กพวกนั้นซึ่งมีอายุประมาณ ๑๘-๑๙ ปี ป่วยเป็นไข้และก็ได้ตาย ลงอีกและได้นำมาเผาที่ป่าช้านั้นอีก ความทุกข์เป็นอันมากดูเหมือน จะมารวมแผดเผาพ่อแม่และญาติของเด็กพวกนั้นให้เกรียมไหม้ร้องไห้จนแทบจะไม่มีน้ำตาออกชั่วระยะ เพียงครึ่งเดือนเขาต้อง สูญเสียลูกไปตั้ง ๓ คน หลวงพ่อได้มาเห็นภาพของคนเหล่านั้นผู้ได้รับความทุกข์โศก ยิ่งทำให้เกิดธรรมะเตือนตนมิให้ประมาท ในการทำความเพียร ความทุกข์ความโศกย่อมเกิดจากของที่เรารักเราหวงแหน ซึ่งเป็นความจริงที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นานแล้วและเป็นความจริงเสมอไป อาศัยศาลากลางป่าช้าและหลุมฝังศพเป็นที่มาแห่งธรรมะสอนใจมิให้ประมาทเป็นอย่างดี...
ในพรรษาที่อยู่วัดป่าแห่งนี้ จิตใจรู้สึกมีความหนักแน่นและเข้มแข็งพอสมควร การทำความเพียรก็เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และการเคารพต่อกฎกติกาที่ตั้งไว้ก็มิได้บกพร่องมีความสำรวม สระวังอยู่มิได้ประมาท พระพุทธองค์ตรัสว่า ศีลจะรู้ได้เพราะ อยู่ร่วมกันนานๆ ดังนั้นของสิ่งใดที่เห็นว่าไม่ถูกต้องตามพระวินัย หรือรับประเคนแต่ไม่ได้องค์แห่งการประเคน หลวงพ่อก็ไม่ฉัน จะพิจารณาฉันเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องตามพระวินัยเท่านั้น
ในพรรษานั้นหลวงพ่อทำความเพียรหนักยิ่งขึ้น แม้ฝน จะตกก็ยังเดินจงกรมอยู่ เพื่อค้นหาทางพ้นทุกข์มีเวลาจำวัดน้อย ที่สุด วันหนึ่งเกิดสุบินนิมิตว่า ได้ออกไปในที่แห่งหนึ่ง ไปพบคนแก่และป่วย ร้องครวญครางมีคนพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง หลวงพ่อพิจารณาดูแล้วก็เดินผ่านไป จึงไปพบคนเจ็บหนักจวนจะตาย มีร่างกายซูบผอม จะหายใจแต่ละครั้งทำให้มองเห็นกระดูกซี่โครงไล่กันเป็นแถวๆ ทำให้เกิดความสังเวชจึงเดินเลยไป จึงไปพบ คนตายนอนหงายอ้าปากยิ่งทำให้เกิดความลดใจมาก เมื่อ รู้สึกตัวก็ยังจำภาพในฝันนั้นได้ดีอยู่ จึงคิดหาทางพ้นทุกข์ รู้สึกเบื่อหน่ายต่อชีวิตคิดอยากจะปลีกตัวขึ้นไปอยู่บนยอดเขาประมาณ ๗ วัน ๑๕ วัน จึงจะลงมาบิณฑบาต แต่มีปัญหาเรื่องน้ำดื่มจะต้อง ดื่มทุกวัน จึงนึกถึงกบในฤดูแล้งมันอยู่ในรูอาศัยน้ำเยี่ยวมันเองมันก็มีชีวิตอยู่ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงตกลงจะฉันน้ำปัสสาวะของ ตัวเอง จึงทำการทดลองดูก่อน วันนั้นหลังจากฉันอาหารแล้ว จึง ดื่มน้ำบริสุทธิ์จนอิ่ม อยู่ได้ประมาณ ๓ ชั่วโมง รู้สึกปวดปัสสาวะเวลาปัสสาวะออกมาจึงเอาแก้วมารอง ไว้เสร็จแล้วจึงเทหน้าฝาออก นิดหนึ่ง จึงยกขึ้นดื่มรู้สึกว่ามีรส เค็ม ทีนี้อยู่ได้ประมาณ ๒ ชั่วโมง ก็ปวดปัสสาวะอีก เวลาปัสสาวะออกก็เอาแก้วมารองเสร็จแล้วก็ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ปวดปัสสาวะอีก เวลาถ่ายปัสสาวะก็เอาแก้วมารองไว้เสร็จแล้วก็ดื่มเข้าไปอีก ได้ประมาณ ๒๐ นาทีก็ปวดปัสสาวะ และก็ทำอย่างเก่า ดื่มเข้าไปอีก คราวนี้อยู่ได้ ๑๕ นาทีก็ปวดอีกถ่ายออกมาแล้วดื่มเข้าไปอีกและอยู่ได้ประมาณ ๕ นาที ปวดปัสสาวะ และถ่ายออกมาหาอะไรรองแล้วดื่มเข้าไปคราวนี้กะว่าพอตกถึงกระเพาะก็ไหลออกเป็นปัสสาวะ เลยมีสีขาวๆ จึงได้เกิดความรู้สึกว่า น้ำปัสสาวะเป็นเศษของน้ำแล้ว จะอาศัยดื่มอีกไม่ได้ จึงทอดอาลัยในการที่จะหาน้ำดื่มเช่นวิธีนั้น
นอกจากนั้นยังหัดปลงผมด้วยตนเอง เลยเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้ และเป็นแบบอย่างให้ศิษย์ทั้งหลายได้ทำตาม เมื่อคิดว่าไม่อาจไปอยู่บนยอดเขาได้ก็คิดหาวิธีใหม่ โดยทำการอดอาหารคือ ฉันวันเว้นวันลับกันไป ทำอยู่ประมาณ ๑๕ วัน และในระหว่างนี้ทำให้ร่างกายร้อนผิดปกติเหมือนถูกไฟเผามีอาการทุรนทุรายแทบจะทนไม่ไหว จิตใจก็ไม่สงบ จึงนึกได้ว่า มิใช่ทาง...ทำให้ นึกถึง อปัณณกปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติไม่ผิด ได้แก่ โภชะเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการฉันอาหารพอสมควร ไม่มาก ไม่น้อย สำรวม อินทรีย์ตื่นขึ้นทำความเพียรไม่เกียจคร้าน และเมื่อนึกได้ จึงหยุดวิธีทรมานนั้นเสีย กลับฉันอาหารเป็นปกติวันละครั้งดั่งเดิมบำเพ็ญสมณธรรมได้จิตใจก็
สงบดีเวลาเข้าสมาธิ สามารถถอดรูปร่างโดยมองเห็นรูปร่างของตนอีกร่างหนึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าด้วยความชัดเจน มิได้ง่วงนอนปราศจากนิวรณ์ทุกอย่าง รู้สึกว่าการปฏิบัติก็สะดวกดีจิตใจสงบเย็น...เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงตาปุ้มชวนข้ามไปตั้งสำนักกรรมฐานอยู่ทางฝั่งประเทศลาว หลวงพ่อไม่เห็นดีด้วย จึงไม่ยอมไป พอจวนจะสิ้นปีหลวงตาจึง พาลูกวัดย้ายหนีไปจากวัดนั้นได้ประมาณ ๗ วัน หลวงพ่อก็ได้ย้ายจากที่นั่นไปเช่นกัน
พ.ศ.๒๔๙๒ (พรรษาท ี่๑๑) เมื่อออกจากวัดป่าอำเภอศรีสงครามแล้ว หลวงพ่อก็เดินทาง ขึ้นสู่ภูลังกาซึ่งอยู่ในเขต อ.บ้านแพงจ.นครพนมได้ไปพักสนทนาธรรมกับอาจารย์วัน เป็นเวลา ๓ วัน จึงได้เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ นานพอสมควรจึงได้ลงจากภูลังกามากราบท่านอาจารย์กินรี วัดป่าหนองฮี อีกทีหนึ่ง ท่านอาจารย์กินรีได้เตือนติว่า ท่านชา...เอาล่ะการเที่ยวธุดงค์ก็พอสมควรแล้ว ควรจะหาที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่ราบๆ หลวงพ่อจึงเรียนท่านว่า กระผมจะกลับบ้าน ท่านอาจารย์กินรีจึงพูดว่า จะกลับบ้าน คิดถึงใคร ถ้าคิดถึงผู้ใด ผู้นั้นจะให้โทษแก่เรานะ หลวงพ่อชาจึงได้กราบลาท่านอาจารย์กินรีเดินทางต่อมาเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งได้มาถึงบ้านป่าตาว ต.คำเตย อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร (แต่สมัยนั้นขึ้นกับ จ.อุบลฯ) ได้พักอยู่ที่ป่าไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก ได้มีโอกาส เทศน์สั่งสอนประชาชนแนะแนวทางแห่งการปฏิบัติธรรมแก่คนในถิ่นนั้นจนเกิดความเลื่อมใสพอสมควร และได้พักอยู่เป็นเวลา ๒ เดือน จึงได้ลาญาติโยมเดินทางลงมาทางใต้ก่อนจะจากมาโยมได้มอบเด็กคนหนึ่งเป็นศิษย์ เมื่อเดินทางมาอำเภอวารินฯ แล้วหลวงพ่อจึงให้เด็กชายทองดีผู้เป็นศิษย์ บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดวารินทราราม เมื่อหลวงพ่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดแล้ว จึงได้ไปพักอยู่ที่ป่าช้าบ้านก่อ เป็นเวลา ๗ วัน มีโอกาส ได้เทศน์ให้ญาติโยมฟังพอรู้แนวทางบ้างเป็นบางคนแล้ว หลวงพ่อจึงได้ออกเดินทางไป อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษและได้ พักอยู่ในป่าใกล้บ้านสวนกล้วยและในพรรษาที่ ๑๑ นี้ก็ได้จำพรรษา อยู่ที่บ้านสวนกล้วย (ปัจจุบันสถานที่นั้นเขาสร้างเป็นวัดแล้ว) และในพรรษานี้ได้เกิดเหตุการณ์อันเป็นบุรพนิมิตดังต่อไปนี้...
๑.คืนวันหนึ่งเมื่อหลวงพ่อเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นเวลา พอสมควรแล้วจึงพักผ่อนจำวัด ได้เกิดสุบินนิมิตไปว่า... มีคนเอาไข่มาถวายหนึ่งฟอง พอหลวงพ่อรับแล้วจึงโยนไปข้างหน้า ไข่ฟองนั้นแตกเกิดเป็นลูกไก่สองตัววิ่งเข้ามาหาจึงยื่นมือทั้งสอง ออกไปรับข้างละตัว พอถูกมือก็กลายเป็นเด็กชายสองคน พร้อมกับได้ยินเสียงบอกว่า คนอยู่ทางขวามือชื่อ บุญธรรม คนที่อยู่ทางซ้ายมือชื่อ บุญธง ปรากฏว่าหลวงพ่อได้เลี้ยงเด็กสองคนนั้นไว้กำลังเติบโตน่ารักวิ่งเล่นได้แล้ว ต่อมาเด็กชายบุญธงป่วยเป็นโรคบิด อย่างแรงพยายามรักษาจนสุดความสามารถ แต่ก็ไม่หายจนกระทั่ง เด็กนั้นได้ตายอยู่ในมือ และได้ยินเสียงบอกว่าบุญธงตายแล้ว เหลือแต่บุญธรรมคนเดียว จึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงเกิดคำถามว่า นี่คืออะไร? มีคำตอบปรากฏขึ้นว่า นี่คือสภาวธรรมที่เป็นเอง จึงได้หายความสงสัย
๒.ในคืนต่อมาก็มีอาการอย่างเดียวกัน พอเคลิ้มจะหลับไปก็เกิดสุบินว่า หลวงพ่อชาได้ตั้งครรภ์ รู้สึกว่าไปมาลำบากเหมือน คนมีครรภ์จริงๆแต่ก็มีความรู้สึกในสุบินนั้นว่าตัวเองก็ยังเป็นพระอยู่ เมื่อครรภ์แก่เต็มที่ครรภ์จะคลอดจึงมีคนมานิมนต์ไปบิณฑบาต พอไปถึงที่ที่เขานิมนต์มองไปรอบๆ บริเวณเห็นลำธาร กระท่อมไม้ไผ่ขัดแตะกลางทุ่งนาและเห็นพระอยู่บนเรือน ๓ รูป ไม่ทราบว่ามาจากไหน...โยมเขาพากันถวายอาหารบิณฑบาตพระ ๓ รูปนั้น ฉันอยู่ข้างบนแต่หลวงพ่อชาปรากฏว่าท้องแก่จวนจะคลอดเขาจึงให้ฉันอยู่ข้างล่างพอพวกพระฉันจังหัน ท่านหลวงพ่อชาก็คลอดเด็กพอดีและเป็นเด็กชาย มีขนนุ่มนิ่มบนฝ่ามือและฝ่าเท้า มีอาการ ยิ้มแย้มแจ่มใส ท้องปรากฏว่าแฟบลง นึกว่าตัวเองคลอดจริงๆ จึง เอามือคลำดูแต่ก็ไม่มีสิ่งเปรอะเปื้อนใดๆ ทำให้นึกถึงพระพุทธองค์ ที่ทรงประสูติจากครรภ์พระมารดา คงจะไม่เปรอะเปื้อนมลทินใดๆ เช่นกัน และเวลาฉันจังหันพวกโยมพิจารณากันว่า ท่านคลอดบุตรใหม่จะเอาอะไรให้ฉัน เขาจึงเอาปลาหมอปิ้ง ๓ ตัวให้ฉัน รู้สึกว่าเหนื่อยอ่อนไม่อยากฉัน แต่ก็อดใจฉันไปเพื่อฉลองศรัทธา เขา เพราะมันไม่มีรส ชาติอะไร ก่อนจะฉันจึงส่งเด็กให้โยมอุ้มไว้ พอฉันเสร็จเขาจึงส่งเด็กคืนมาให้ พอถึงมือรับไว้เด็กพลัดตกหล่นจากมือแล้วจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น เกิดคำถามว่า นี่คืออะไร? มีคำตอบว่า นี่คือภาวะที่เป็นเองทั้งนั้น เลยหมดความสงสัย
๓.คืนที่สามต่อมาก็อยู่ในอาการดังกล่าวนั่นแหละพอพักผ่อนเคลิ้มหลับไปก็เกิดสุบิน ว่าได้รับนิมนต์ให้ขึ้นไปยอดเขากับ สามเณรรูปหนึ่ง ทางขึ้นเขานั้นเป็นทางเวียนขึ้นไปเหมือนก้นหอย วันนั้นเป็นวันเพ็ญ และภูเขาก็สูงมากพอขึ้นไปถึงแล้วรู้สึกว่าเป็นที่ร่มรื่นดีมีม่านปูพื้นและกั้น เพดานสวยงามมากจน หาที่เปรียบไม่ได้ แต่เวลาจะฉันเขาก็นิมนต์ลงมาที่ถ้ำข้างภูเขามีโยมแม่ (แม่พิมโยมมารดา) และน้ามีพร้อมญาติโยมเป็นบริวารจำนวนมากไปถวาย อาหาร อาหารที่ถวายนั้นโยมแม่ได้แตงและผลไม้อื่นๆ ส่วนน้ามีได้ไก่ย่าง เป็ดย่างมาถวาย หลวงพ่อจึงทักขึ้นว่า โยมมีอยู่เห็นจะมีความสุขนะ ได้ไก่ย่างเป็ดย่างมาถวายพระ โยมมีก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วได้เทศน์ให้เขาฟังนานพอสมควร เมื่อเทศน์จบจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้น
พ.ศ.๒๔๙๓ (พรรษาที่๑๒) ในระหว่างต้นปีได้รับจดหมายจากพระมหาบุญมี ซึ่งเคยเป็นเพื่อนปฏิบัติมาด้วยกัน แจ้งข่าวเรื่องการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญธนบุรี จึงได้เดินทางลงไป และได้พักอยู่กับพระมหาบุญมีที่วัดปากน้ำ ๗ วันได้มีโอกาส นมัสการหลวงพ่อเจ้าอาวาสได้สังเกตและพิจารณา ดูแล้วเห็นว่าเป็นไปเพื่อรักษาโรคภัยบางอย่าง ยังไม่ถูกนิสัย จึงได้เดินทางออกไปพักอยู่ที่วัดใหญ่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และได้ปฏิบัติธรรมอยู่ร่วมกับพระอาจารย์ฉลวย และหลวงตาแปลก และที่บริเวณใกล้ๆวัดมีสถานที่ลำธารและกระท่อมไม้ไผ่และสิ่งอื่นๆ เหมือนดังภาพที่ปรากฏในคราวฝันเห็นอยู่ที่บ้านสวนกล้วยจริงๆ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนั้น ๒ พรรษา การปฏิบัติธรรมร่วมกันนั้นเป็นไปโดยความสะดวกและสามัคคีเป็นอย่างดี
รักษาโรคด้วยธรรมโอสถครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๔๙๔ นั่นเอง หลวงพ่อป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับท้องมีอาการบวมขึ้นทางด้านซ้าย รู้สึกเจ็บปวดที่ท้องมาก และผมกับโรคหืดที่เคยเป็นอยู่แล้วก็ซ้ำเติมอีก หลวงพ่อชาพิจารณาว่า อันตัวเรานี้ก็อยู่ห่างไกล ญาติพี่น้อง ข้าวของเงินทองก็ไม่มี เมื่อป่วยขึ้นมาครั้นจะไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ขาดเงินทอง จะเป็นการทำความยุ่งยากแก่คนอื่น อย่ากระนั้นเลยเราจะรักษาด้วยธรรมโอสถโดยยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้ามันจะหายก็หาย ถ้าหากมันทนไม่ได้ก็ให้มันตายไปเสีย...จึงทอดธุระในสังขารของตนโดยการอดอาหารไม่ยอมฉันจะดื่ม เพียงแต่น้ำนิดๆหน่อยๆ เท่านั้น...ทั้งไม่ยอมหลับนอน จึงได้แต่เดินจงกรมและนั่งสมาธิลับกันไป เวลารุ่งเช้าเพื่อนๆเขาไปบิณฑบาต หลวงพ่อก็เดินจงกรม พอเพื่อนกลับมาก็ขึ้นกุฏิ นั่งสมาธิต่อไปมีอาการอ่อนเพลียทางร่างกาย แต่กำลังใจดีมาก ไม่ย่อท้อต่อสิ่งทั้งปวง หลวงพ่อเคยพูดเตือนว่า การอดอาหารนั้นสระวังให้ดี...บางทีจะทำให้เราหลง เพราะจิตคิดไปมองดูเพื่อนๆ เขาฉันอาหารนั้นเป็นการยุ่งยากมีภาระมากจริงๆ เลยคิดว่าเป็น การลำบากแก่ตัวเองอาจจะไม่ยอมฉันอาหารเลย เป็นทางให้ ตายได้ง่ายๆเสียด้วย เมื่อหลวงพ่ออดอาหารมาได้ครบ ๘ วัน ท่านอาจารย์ฉลวยจึงขอร้องให้กลับฉันดังเดิม โรคในกายปรากฏว่า หายไป ทั้งโรคท้องและโรคหืดไม่เป็นอีก หลวงพ่อจึงกลับฉัน อาหารตามเดิมและได้ให้คำแนะนำไว้ว่าเมื่ออดอาหารหลายวัน เวลากลับฉัน สิ่งที่ควรระวังก็คือ อย่าเพิ่งฉันมากในวันแรก ถ้า ฉันมากอาจตายได้ ควรฉันวันละน้อยและเพิ่มขึ้นไปทุกวันจนเป็นปกติในระยะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดใหญ่นั้นหลวงพ่อมิได้ แสดงธรรมต่อใครอื่นมีแต่อบรมตัวเองโดยการปฏิบัติและพิจารณาเตือนตนอยู่ตลอดเวลา เมื่อออกพรรษาแล้วได้เดินทางไปพักอยู่เกาะสีชัง เพื่อหาความสงบเป็นเวลาหนึ่งเดือน และถือคติเตือนตนเองว่า ชาวเกาะเขาได้อาศัยพื้นดินที่มีน้ำทะเลล้อมรอบ ที่ที่เขาอาศัย อยู่ได้ต้องพ้นน้ำจึงจะเป็นที่พึ่งได้ เกาะสีชังเป็นที่พึ่งทางนอก ของส่วนร่างกาย เรามาอาศัยอยู่ที่เกาะนี้คือที่พึ่งทางในซึ่งเป็นที่อันน้ำ คือกิเลสตัณหาท่วมไม่ถึง แม้เราจะอยู่บนเกาะสีชังแต่ก็ยังค้นหาเกาะภายในอีกต่อไป ผู้ที่ท่านได้พบ และอาศัยเกาะอยู่ได้นั้นท่านย่อมอยู่เป็นสุข ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในทะเล คือความทุกข์ซึ่งมีหวังจมน้ำตาย ทะเลภายนอกมีฉลามและสัตว์ ร้ายอื่นๆ แต่ทะเลภายในยิ่งร้ายกว่านั้นหลายเท่า เมื่อได้ธรรมะจากทะเล และเกาะสีชังพอสมควร ซึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วจึงออกจากเกาะสีชังเดินทางกลับวัดใหญ่ จ.อยุธยา และพักอยู่ที่วัดใหญ่เป็นเวลานานพอสมควรจึงได้เดินทางกลับ มาบ้าน และได้มาพักที่ป่าช้าบ้านก่อตามเคยมีโอกาส เทศน์โปรดโยมแม่และพี่ชาย(ผู้ใหญ่ลา) และญาติพี่น้องหลายคน จนเป็นเหตุให้งดทำปาณาติบาต และเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น พักอยู่ที่ป่าช้าบ้านก่อเป็นเวลา ๑๕ วัน จึงเดินทางต่อไป
พ.ศ.๒๔๙๕ (เป็นพรรษาที่๑๔) ในระหว่างต้นปีนี้ หลวงพ่อจึงได้เดินธุดงค์ขึ้นไปจนถึงบ้านป่าตาว อ. เลิงนกทา จ.ยโสธร ซึ่งเป็นสถานที่เคยอยู่มาก่อน คราวนี้ไม่ไปอยู่ที่เก่า ไปอยู่จำพรรษาในป่าห่างจากหมู่บ้าน ๒ กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่พักสงฆ์บำเพ็ญธรรม หลวงพ่อได้มีโอกาส เทศน์สั่งสอนประชาชนจนเต็มความสามารถ ทำให้เขาเข้าใจในหลักคำสอน ในศาสนาดียิ่งขึ้น และเกิดความเลื่อมใสการรับแขกและการพบปะสนทนาธรรมมีมากและบ่อยครั้งยิ่งขึ้น
สถานที่พักแห่งนั้นเรียกว่า วัดถ้ำหินแตก เป็นลานหินดาด ทางด้านทิศเหนือของที่พักนั้นเป็นแอ่งน้ำมีปลาชุมทางทิศตะวันออก ของแอ่งน้ำเป็นคันหินสูงนิดหน่อย ต่อจากคันหินไปทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่ลาดลงไปเวลาน้ำล้นแอ่งก็ไหลไปตามที่ลาดลงสู่เบื้องล่างโดยมาก มีพวกปลาดุกพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาตามน้ำ บางตัวก็ข้ามคันหินไปถึงแอ่งน้ำ บางตัวก็ข้ามไปไม่รอดจึงนอนอยู่บนคันหิน หลวงพ่อเคยสังเกตเห็นตอนเช้าๆท่านจะเดินไปดู เมื่อเห็นปลานอนอยู่บนคันดินจึงจับมันปล่อยลงไปในแอ่งน้ำ แล้วจึงกลับมาเอาบาตรไปบิณฑบาต
จากคุณ |
:
คุณหมูน้อยตัวขาว
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ม.ค. 55 18:42:53
|
|
|
|
|