๔ โปตลิยสูตร
เรื่องโปตลิยคฤหบดี
[๓๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในอังคุตตราปชนบท
ในนิคม ของชาวอังคุตตราปะ ชื่อว่าอาปณะ......
[๓๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
ดูกร คฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์ เชิญนั่งเถิด.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า
พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดี แล้วได้นิ่งเสีย.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีครั้งที่ ๒ ว่า
ดูกรคฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์เชิญนั่งเถิด.
โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า
พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดีได้นิ่งเสียเป็นครั้งที่ ๒.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะโปตลิยคฤหบดีเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
ดูกรคฤหบดี อาสนะมีอยู่ ถ้าท่านประสงค์ เชิญนั่งเถิด.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โปตลิยคฤหบดีโกรธ น้อยใจว่า
พระสมณโคดมตรัสเรียกเราด้วยคำว่า คฤหบดี
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม
พระดำรัสที่พระองค์ตรัสเรียกข้าพเจ้าด้วยคำว่า คฤหบดีนั้น ไม่เหมาะ ไม่ควรเลย.
พ. ดูกรคฤหบดี ก็อาการของท่าน เพศของท่าน เครื่องหมายของท่านเหล่านั้น เหมือนคฤหบดีทั้งนั้น.
โป. จริงเช่นนั้น ท่านพระโคดม ก็แต่ว่าการงานทั้งปวง ข้าพเจ้าห้ามเสียแล้ว โวหารทั้งปวง ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว.
ดูกรคฤหบดี ก็การงานทั้งปวง ท่านห้ามเสียแล้ว โวหารทั้งปวง ท่านตัดขาดแล้วอย่างไรเล่า?
ท่านพระโคดม ขอประทานโอกาส สิ่งใดของข้าพเจ้าที่มี เป็นทรัพย์ก็ดี เป็นข้าวเปลือกก็ดี เป็นเงินก็ดี เป็นทองก็ดี สิ่งนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้ามอบให้เป็นมฤดกแก่บุตรทั้งหลาย
ข้าพเจ้ามิได้สอน มิได้ว่าเขาในสิ่งนั้นๆ
ข้าพเจ้ามีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างยิ่งอยู่
ท่านพระโคดม การงานทั้งปวงข้าพเจ้าห้ามเสียแล้ว
โวหารทั้งปวง ข้าพเจ้าตัดขาดแล้ว ด้วยประการอย่างนี้แล.
ดูกรคฤหบดี ท่านกล่าวการตัดขาดโวหาร เป็นอย่างหนึ่ง
ส่วนการตัดขาดโวหารในวินัย ของพระอริยะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะอย่างไรเล่า
ดีละ พระองค์ผู้เจริญ การตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ มีอยู่ ด้วยประการใด
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ด้วยประการนั้นเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
โปตลิยคฤหบดีทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
เครื่องตัดโวหาร ๘ ประการ
[๓๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ ๘ ประการเป็นไฉน? คือ
ปาณาติบาต พึงละได้เพราะอาศัยการไม่ฆ่าสัตว์
อทินนาทาน พึงละได้เพราะอาศัยการถือเอาแต่ของที่เขาให้
มุสาวาท พึงละได้เพราะอาศัยวาจาสัตย์
ปิสุณาวาจา พึงละได้เพราะอาศัยวาจาไม่ส่อเสียด
ความโลภด้วยสามารถความกำหนัด
พึงละได้เพราะอาศัยความไม่โลภด้วยสามารถความกำหนัด
ความโกรธด้วยสามารถ แห่งการนินทา
พึงละได้เพราะความไม่โกรธ ด้วยสามารถแห่งการนินทา
ความคับแค้นด้วยความสามารถแห่งความโกรธ
พึงละได้เพราะอาศัยความไม่คับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
ความดูหมิ่น ท่านพึงละได้เพราะอาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการนี้แล เรากล่าวโดยย่อ
ยังมิได้จำแนกโดยพิสดาร ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม ๘ ประการนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อ มิได้ทรงจำแนก โดยพิสดาร
ย่อมเป็นไปเพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะ
ดีละ พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค
ทรงอาศัยความกรุณาจำแนกธรรม ๘ ประการนี้ โดยพิสดารแก่ข้าพเจ้าเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
โปตลิยคฤหบดีทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๓๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรคฤหบดี ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ปาณาติบาตพึงละได้เพราะอาศัยการไม่ฆ่าสัตว์ เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร?
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ....
.
[๔๐] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า
อทินนาทานพึงละได้ เพราะ...
.
[๔๑] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า มุสาวาทพึงละได้ เพราะอาศัยวาจาสัตย์ ..... [๔๒] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ปิสุณาวาจาพึงละได้
เพราะอาศัยวาจาไม่ส่อเสียด เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร?
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เราพึงกล่าววาจาส่อเสียด เพราะเหตุแห่งสังโยชน์เหล่าใด
เราปฏิบัติเพื่อละ เพื่อตัดสังโยชน์เหล่านั้น
อนึ่ง เราพึงกล่าววาจาส่อเสียด แม้ตนเองพึงติเตียนตนได้
เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย วิญญูชนพิจารณาแล้ว พึงติเตียนได้
เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย เมื่อตายไป ทุคติ เป็นอันหวังได้
เพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
ปิสุณาวาจานี้นั่นแหละ เป็นตัวสังโยชน์ เป็นตัวนิวรณ์
อนึ่ง อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่าใด
พึงเกิดขึ้นเพราะวาจาส่อเสียดเป็นปัจจัย
เมื่อบุคคลงดเว้นจากวาจาส่อเสียดแล้ว
อาสวะที่เป็นเหตุคับแค้นและกระวนกระวายเหล่านั้น ย่อมไม่มี
คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ปิสุณาวาจาพึงละได้ เพราะอาศัยวาจา
ไม่ส่อเสียด เรากล่าวเพราะอาศัยข้อนี้.
[๔๓] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ความโลภด้วยสามารถความกำหนัด พึงละได้ เพราะ....
[๔๔] ก็คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ความโกรธด้วยความสามารถแห่งการนินทา พึงละได้ เพราะ.....
[๔๕] คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า
ความคับแค้นด้วยสามารถความโกรธ พึงละได้
เพราะอาศัยความไม่คับแค้นด้วยสามารถความโกรธ
เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร?... ..
[๔๖] คำที่เรากล่าวดังนี้ว่า ความดูหมิ่นท่าน พึงละได้
เพราะอาศัยความไม่ดูหมิ่นท่าน เรากล่าวเพราะอาศัยอะไร? ....
ความดูหมิ่นท่านนี้นั่นแหละ เป็นตัวสังโยชน์ เป็นตัวนิวรณ์
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๘ ประการที่เรากล่าวโดยย่อ ไม่ได้จำแนกโดยพิสดาร
ย่อมเป็นไปเพื่อละ เพื่อตัดขาดโวหารในวินัยของพระอริยะนั้น เหล่านี้แล
ดูกรคฤหบดี แต่เพียงเท่านี้จะได้ชื่อว่าเป็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ หามิได้.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส
ก็อย่างไรเล่า จึงจะได้ชื่อว่าเป็นการตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็การตัดขาดโวหารทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวง ในวินัยของพระอริยะ มีด้วยประการใด
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า ด้วยประการนั้นเถิด.
ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
โปตลิยคฤหบดีทูลรับ พระผู้มีพระภาคแล้ว.
อุปมากาม ๗ ข้อ
[๔๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกรคฤหบดี
เปรียบเหมือนสุนัข อันความเพลียเพราะความหิวเบียดเบียนแล้ว
พึงเข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของนายโคฆาต
นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผู้ฉลาด
พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อแล้ว
เปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
สุนัขนั้นแทะร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจดหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด
จะพึงบำบัดความเพลียเพราะความหิวได้บ้างหรือ?
ไม่ได้เลยพระองค์ผู้เจริญ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะเป็นร่างกระดูกที่เชือดชำแหละออกจนหมดเนื้อ เปื้อนแต่เลือด
และสุนัขนั้นพึงมีแต่ส่วนแห่งความเหน็ดเหนื่อยคับแค้นเท่านั้น.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยร่างกระดูก
มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ
อาศัยความเป็นต่างๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว
อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว
อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิสโดยประการทั้งปวง หาส่วนเหลือมิได้.
[๔๘] ดูกรคฤหบดี
เปรียบเหมือนแร้งก็ดี นกตะกรุมก็ดี เหยี่ยวก็ดี พาชิ้นเนื้อบินไป.....
[๔๙] ดูกรคฤหบดี
เปรียบเหมือนบุรุษพึงถือคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วแล้ว เดินทวนลมไป ฉันใด....
[๕๐] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง
เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน
บุรุษผู้รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา
บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน
ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง ฉันใด
ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นจะพึงน้อมกายเข้าไปด้วยคิดเห็นว่า อย่างนี้ๆ บ้างหรือ?......
[๕๑] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์
ป่าอันน่ารื่นรมย์ ภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์
บุรุษนั้นตื่นขึ้นแล้ว ไม่พึงเห็นอะไร ฉันใด
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า เปรียบด้วยความฝัน มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง
ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว
ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขา ที่มีความเป็นต่างๆ ....
[๕๒] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงยืมโภคสมบัติ ......
[๕๓] ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนราวป่าใหญ่ ในที่ไม่ไกลบ้านหรือนิคม
ต้นไม้ในราวป่านั้น พึงมีผลรสอร่อย ทั้งมีผลดก
แต่ไม่มีผลหล่นลง ณ ภาคพื้นสักผลเดียว
บุรุษผู้ต้องการผลไม้ พึงเที่ยวมาเสาะแสวงหาผลไม้
เขาแวะยังราวป่านั้น เห็นต้นไม้อันมีผลรสอร่อย มีผลดกนั้น
เขาพึงคิดอย่างนี้ว่า .....
วิชชา ๓
[๕๔] ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์
ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่านี้
.......ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.
จบ โปตลิยสูตร ที่ ๔.
-----------------------------------------