Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อานาปานุสติกรรมฐาน โดยพระราชพรหมยาน ติดต่อทีมงาน

อานาปานุสสติกรรมฐาน

โดยพระราชพรหมยาน

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และท่านสหธรรมิกทั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว สำหรับวันนี้จะขอนำอานาปานุสสติกรรมฐานมาพูดกับท่านทั้งหลายอีกเพราะว่า อานาปานุสสติกรรมฐานนี่ เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเจริญพระกรรมฐานกองใดถ้าหากว่าไม่ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นบาทแล้ว ผลแห่งการเจริญพระกรรมฐานกองนั้นจะไม่มีผลสำหรับท่าน วันนี้ก็จะขอพูดต่อไปจากอาการของขณิกสมาธิ


อุปสรรคของอานาปานุสสติ

เมื่อวันก่อนได้พูดไปในรูปของขณิกสมาธิ แต่ทว่าสำหรับวันนี้จะพูดไปถึงอุปจารสมาธิ แต่ก่อนที่จะนำเรื่องนั้นขึ้นมาพูด ก็จะขอนำเอาอุปสรรคของ    อานาปานุสสติกรรมฐานมาพูดเสียก่อน คือว่าอุปสรรคของอานาปานุสสติกรรมฐานนี่มีมากด้วยว่าเป็นกรรมฐานที่มีความละเอียด

ฉะนั้นจะต้องต่อสู้กันหนัก ถ้าเราสามารถต่อสู้กับอานาปานุสสติกรรมฐานได้ กรรมฐานกองอื่นๆ ก็ไม่มีความสำคัญ เราสามารถจะทำกรรมฐานอีก 39 กองได้ภายในกองละ 7 วันเป็นอย่างช้าอุปสรรคอันดับแรกก็คือว่า การทรงอารมณ์ไม่ละเอียดพอ นั่นก็คือลมหยาบอานาปานุสสติกรรมฐานนี่อาศัยลมเป็นสำคัญ ถ้าวันใดปรากฏว่าลมหายใจของท่านหยาบ วันนั้นจะปรากฏว่าอาการคุมสติสัมปชัญญะ คือการทรงสมาธิไม่ดีตามสมควรจะมีอาการอึดอัด

บางครั้งจะรู้สึกว่ามีอาการอึดอัดเกิดขึ้น ถ้าอาการอย่างนี้มีแก่ท่านทั้งหลาย หรือว่าเกรงว่าอาการอย่างนี้จะมี เมื่อเวลาเริ่มต้นที่จะเจริญพระกรรมฐานคือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ให้ท่านทั้งหลายชักลมหายใจยาวๆ สัก 3-4ครั้ง คือหายใจยาวๆ หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ สัก 3-4 ครั้ง เพื่อเป็นการระบายลมหยาบให้หมดไป จากนั้นก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก

แต่ว่าอย่าลืมการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกนี่อย่าบังคับ ให้หายใจเข้าออกหนักๆ หรือว่าเบาๆ อย่าบังคับให้ยาวหรือสั้น ด้วยอาการที่ตั้งใจทำอย่างนั้น ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ ไม่ถูก ทว่าการเจริญอานาปานุสติกรรมฐาน ต้องการสติสัมปชัญญะเป็นใหญ่ ฉะนั้นลมหายใจของเราจะหนักก็ดี จะเบาก็ดี จะสั้นก็ตาม จะยาวก็ตาม ปล่อยไปตามสภาพของร่างกายที่ต้องการ

แต่ทว่าเราเอาจิตเข้าไปรู้ไว้เท่านั้น หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก หายใจเข้ายาวหรือสั้นก็รู้อยู่ นี่เป็นแบบหนึ่งและอีกแบบหนึ่งในกรรมฐาน 40 ท่าน ให้กำหนดฐาน 3 ฐานคือเวลาหายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือ เวลาหายใจออกลมกระทบจมูกหรือว่าริมฝีปาก ถ้าคนริมฝีปากเชิดจะกระทบริมฝีปาก ถ้าริมฝีปากงุ้มจะกระทบจมูกเป็นความรู้สึก แต่ว่าเมื่อความรู้สึกอย่างนี้

ขอท่านทั้งหลายจงอย่าบังคับลมหายใจให้แรง ปล่อยไปตามปกติ แต่เอาจิตตามนึกถึงเท่านั้น ขอให้ทำอย่างนี้จะมีผลข้อสังเกต ถ้าเวลาเราหายใจเข้าหายใจออก ความรู้สึกมีแต่เพียงว่ากระทบจมูกอย่างเดียวและสามารถจะจับความรู้สึกอย่างนี้ได้นานๆ สักหน่อย ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏพึงทราบว่า นั้นจิตของท่านทรงได้แค่ ขณิกสมาธิ

ถ้าสามารถรู้การสัมผัส 2 ฐาน คือหายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก และหายใจอออกรู้ กระทบหน้าอก กระทบจมูก 2 จุดนี่ อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงอุปจารสมาธิ ถ้ารู้ถึง 3 ฐาน คือหายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบศูนย์เหนือสะดือแล้วก็เวลาหายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบริมฝีปากหรือจมูก รู้ได้ชัดเจนอย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌาน นี่เป็นอาการสังเกต

ถ้าหากว่าอารมณ์จิตของท่านละเอียดยิ่งไปกว่านั้น หรือว่าเป็นปฐมฌานละเอียด หรือว่าเป็นฌานที่ 2 ฌานที่ 3อย่างนี้ท่านจะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกมันไหลไปเหมือนกับกระแสน้ำ ไหลกระทบไปตลอดสาย ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าถึงปฐมฌานละเอียด หรือว่าฌานที่ 2 หรือว่าฌานที่ 3สำหรับปฐมฌานลมยังหยาบอยู่ แต่ทว่าลมรู้สึกว่าจะเบากว่าอุปจารสมาธิ พอไปถึงฌานที่ 2 จะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงอีก ไปถึงฌานที่ 3 ลมหายใจที่กระทบรู้สำว่าจะเบามาก เกือบไม่มีความรู้สึก

ถ้าเข้าถึงฌานที่ 4 ท่านจะมีความรู้สึกว่าไม่หายใจเลย แต่ความจริงร่างกายหายใจเป็นปกติ ที่ความรู้สึกน้อยลง ไปก็เพราะว่าจิตกับประสาทห่างกันออกมา ตั้งแต่ปฐมฌานจิตก็ห่างจากประสาทไปนิดหนึ่ง มาถึงฌานที่ 2 จิตก็ห่างจากประสาทมากไปหน่อยหนึ่ง พอถึงฌานที่ 3 ห่างไปมากเกือบจะไม่มีการสัมผัสกันเลย ถึงฌานที่ 4 จิตปล่อยประสาท ไม่รับรู้การกระทบกระทั่งทางประสาททั้งหมด จึงไม่รู้สึกว่าเราหายใจ ข้อนี้เป็นข้อสังเกตอุปจารสมาธิ?และ?อาการของปิติ ทีนี้ต่อมาก็จะพูดถึงอาการที่จะเข้าถึงอุปจารสมาธิ

เมื่อท่านกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออกจิตจะมีความสงบสงัดดีขึ้น ดีกว่าอุปจารสมาธิ จะมีความชุ่มชื่น มีความสบาย แต่ทว่าจะทรงอยู่นานก็หาไม่ อาจจะทรงอยู่ได้สัก 1 นาที 2 นาที 3 นาที ในระยะต้นๆ แต่บางวันก็ทรงอยู่ได้ตั้งครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ เป็นอันว่าเมื่อจิตของท่านเริ่มมีความสุข มีความรื่นเริง จิตชุ่มชื่นหรรษา อาการของปีติมี 5 อย่างที่จะเรียกว่า อุปจารสมาธิ จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิก็คือ จิตมีปิติ แล้วก็จิตเข้าถึงสุข ถ้าเข้าถึงสุขก็เรียกว่าเต็มอุปจารสมาธิ อาการของปีติที่ควรแก่การพิจารณาควรจะทราบ นั่นก็คือ

อาการปีติที่ 1 (ขุททกาปปีติ) มีขนลุกซู่ซ่า ที่เรียกว่าขนพองสยองเหล้า ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นก็จงอย่าสนใจกับร่างกาย ขนมันจะลุก ขนมันจะพอง ขนมันจะตั้งขึ้นสูง ขนมันจะต่ำก็ช่างมัน ไม่สนใจกับอาการทางร่างกายทั้งหมด พยายามสนใจกับอารมณ์ที่เราหวังไว้ ความจริงอาการอย่างนี้ผมพูดก็พูด เขียนก็เขียนมาแล้ว แต่ก็ยังมีนักปฏิบัติมากท่าน เมื่อกระทบกระทั่งกับเรื่องทางกายเกิดขึ้น มักจะมาถามกันบ่อยๆ แต่ว่าไม่ใช่คนในสำนักเป็นคนนอกสำนัก เป็นเหตุให้รู้สำว่ารำคาญ เพราะว่าสันดานของบุคคลที่จะเอาดี เขาฟังกันครั้งเดียวหรือว่าดูครั้งเดียว อ่านครั้งเดียวเท่านี้พอ ไม่ต้องมานั่งจ้ำจี้จ้ำไชอะไรกัน

อาการปีติที่ 1(ขณิกกาปีติ) เมื่อมีอาการขนลุกขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้นจิตจะเป็นสุขตอนนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย มีความเข้าใจว่าจิตเราเริ่มเข้าอุปจารสมาธิคือปีติ บางท่านอาการอย่างนี้ไม่ปรากฏ แต่ปรากฏอีกอย่างหนึ่งคือน้ำตาไหล เวลาเริ่มทำสมาธิ น้ำตาไหล บางทีใครพูดอะไรเป็นที่ชอบใจ ชื่นใจ ปลื้มใจ น้ำตาก็ไหลมันไหลจนกระทั่งบังคับไม่อยู่ นี่เป็นอาการของปีติที่ 2

อาการของปีติที่ 3 (โอกกันติกาปีติ) เวลาจิตเริ่มเป็นสมาธิ คำว่าเริ่มเป็นสมาธินี่เอาแน่อะไรไม่ได้ ถ้าคนที่มีอารมณ์คล่อง บางทีทำงานอยู่นึกขึ้นมาอาการมันก็เกิดทันที เรียกว่าจิตเข้าถึงสมาธิเร็ว อาการที่ 3 ของปีติก็คือร่างกายโยกไปโยกมาโยกข้างหน้า โยกข้างหลัง อย่างนี้เป็นอาการของปีติที่ 3

อาการของปีติที่ 4 (อุพเพงคาปีติ) มีอาการตัวสั่นเทิ้มคล้ายปลุกพระ แล้วมีบางครั้งตัวลอยพ้นพื้นที่ ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏ ก็อย่าพึงนึกว่านั่นอาการของการเหาะมันจะมีขึ้น ยังไม่ใช่การเหาะ เป็นเรื่องของปีติ

อาการของปีติที่ 5 (ผรณาปีติ) จะมีอาการซาบซ่าน ซู่ซ่าทางกายคล้ายๆ กับของในกายมันไหลออกไปหมด ตัวกายเบาโปร่ง จะมีความรู้สึกเหมือนกับตัวใหญ่ขึ้น หน้าใหญ่ขึ้น ตัวสูงขึ้นรู้สึกว่ามันซู่ซ่าแต่อารมณ์จิตสบาย อาการอย่างนี้เป็นอาการของปีติที่ 5 เมื่ออาการของปีติที่ 5 เกิดขึ้นตอนนั้น อารมณ์จิตจะเป็นสุขความสุขที่มีขึ้นเราจะบอกไม่ถูกว่า ความสุขนั้นมันจะมีอย่างไร อธิบายไม่ได้ ขึ้นชื่อว่าความสุขประเภทนี้ ในชีวิตของเราจะไม่ปรากฏมีมาเลย มันเป็นความสุขสดชื่นปราศจากอามิสที่คิดถึง หมายความว่าไม่ใช่มีความชื่นใจเพราะได้ของมา อย่างนี้เขาเรียกว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากนิรามิสสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส มันเป็นความสุข ผ่องใสสดชื่น มีความสบายเปรียบเทียบไม่ได้

ถ้าอาการอย่างนี้มีขึ้น แสดงว่าของท่านเข้าถึงอุปจารสมาธิอันดับที่สุด เป็นการเต็มในชั้นกามาวจรสวรรค์อย่าลืมว่า ขณิกสมาธิ เป็นปัจจัยให้เกิดในกามาวจรสวรรค์ แล้วก็ถึงอุปจารสมาธิเต็ม เป็นการเต็มที่จะขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ได้ทุกชั้นตามอัธยาศัย เรียกว่าเต็มกามาวจรสวรรค์ ถ้าเลยไปจากนี้เป็นอาการของพรหม ขอถอยหลังมาอีกนิดหนึ่งขณะที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ อาจจะเป็นอุปจารต้นอุปจารกลาง หรืออุปจารปลายก็ตาม อุปจารต้นที่เรียกว่าขนพองสยองเกล้าหรือว่าน้ำตาไหลร่างกายโยกโคลง นี่เป็นอุปจารสมาธิขั้นต้น

อุปจารสมาธิขั้นกลางก็ได้แก่กายสั้นเทิ้ม คล้ายๆ ปลุกพระ หรือว่ามีร่างกายลอยขึ้น มีอาการซาบซ่า ซู่ซ่า ตัวเบา ร่างกายใหญ่ หน้าตาโต มีจิตสบายอย่างนี้เรียกว่าอุปจารขั้นกลาง ถ้ามีถึงขั้นอารมณ์ใจเป็นสุข บอกไม่ถูก นี่เป็นอุปจารสมาธิขั้นสูงสุดจะเป็นอุปจารสมาธิอันดับใดก็ตาม ในขณะนี้จะมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น นั่นก็คือบางครั้ง เราจะเห็นแสงและสีต่างๆ ปรากฏ บางครั้งก็เห็น สีเขียว สีขาว สีแดง สีเหลือง บางครั้งมีอาการคล้ายๆ กับ

ใครเขาฉายไฟเข้ามาที่หน้า บางครั้งจะรู้สึกว่ามีแสงสว่างทั่วไปทั้งร่างกาย มีทั้งข้างหน้าและข้างหลังถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น ขอท่านทั้งหลายพึงทราบว่า นั่นเป็นนิมิตของอานาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าบางทีก็อาจจะมีภาพคน ภาพอาคารสถานที่หรือภาพอะไรก็ตามเกิดขึ้น แต่อาการอย่างนี้จะเกิดขึ้นชั่วขณะเดียวแล้วก็หายไปมาในตอนนี้ขอท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า

จงอย่าสนใจกับแสงสีใดใดทั้งหมดอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ทำความรู้สึกไว้เสมอว่าเราเจริญกรรมฐาน ต้องการอารมณ์จิตเป็นสุข ต้องการอารมณ์เป็นสมาธิคือจับอารมณ์เติมเข้าไว้ แต่ทว่าเรื่องภาพ แสงสีนี่ก็รู้สึกว่าเป็นที่น่าหนักใจอยู่นิดหนึ่งด้วยว่าเป็นของแปลก เป็นของใหม่สำหรับผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นภาพเข้าอดตกใจไม่ได้ พอเอาจิตไปจับภาพและแสงสีนั้นจิตก็เคลื่อน ภาพหาย ฉะนั้นการเห็นภาพและแสงสีในอันดับนี้ ตามเกณฑ์แห่งการปฏิบัติท่านยังไม่ถือว่าเป็นของดีแต่ก็มีหลายท่าอาจจะเป็นหลายสำนักก็ได้

เพราะมีลูกศิษย์ลูกหาของบรรดาท่านทั้งหลายเคยมาถามเสมอๆ ว่าขอท่านได้โปรดพิจารณากรรมฐาน ที่ฉันได้ว่ามันเสื่อมไปแล้วหรือยัง ก็ได้ถามว่าทำไมจึงถามอย่างนั้น ท่านบอกว่าขณะที่ท่าเจริญกับอาจารย์ของท่าน อาจารย์ขอท่านบอกว่าจบกิจในการปฏิบัติแล้ว ได้ถามว่าการจบกิจแห่งการปฏิบัติมีอะไรเกิดขึ้นกับใจ ท่านก็บอกว่าเห็นภาพแสงสีต่างๆ เห็นเป็นภาพคนบ้าง แสงสว่างบ้าง สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง อย่างนี้อาจารย์บอกว่าจบแล้วกรรมฐานมีเท่านี้นี่ท่านทั้งหลายผมเสียดายความดีของท่านผู้ปฏิบัติ ความจริงภาพแสงสีต่างๆ ที่เห็นบางคนก็เข้าใจว่า

อาการอย่างนั้นเป็นเรื่องของทิพจักขุญาณ ถ้าความรู้สึกมีอย่างนี้ก็น่าเสียดายอีก เพราะภาพที่ปรากฏ แสงสีที่ปรากฏ ไม่ใช่ทิพจักขุญาณเป็นเรื่องของอารมณ์จิตที่เข้าถึงอุปจารสมาธิ จิตมีสภาพเป็นทิพย์เล็กน้อยเท่นั้น ยังใช้อะไรไม่ได้ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงอย่าสนใจกับภาพและแสงสีต่างๆถ้าหากว่าอาการอย่างนี้ปรากฏ จงทำความรู้สึกว่าเรายังดีไม่พอ อารมณ์จิตของเรายังเข้าไม่ถึงปฐมฌาน

ขอท่านทั้งหลายโปรดจำ และอีกประการหนึ่ง เท่าที่พูดมาถ้าหากว่าอาการของจิตของท่านเข้าถึงปีติส่วนใดส่วนหนึ่งก็ตม เช่น ขนพองสยองเกล้าน้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง กายสั้นหรือกายลอย มีอาการซ่าบซ่าน มีจิตเป็นสุขอาการอย่างใดอย่างหนึ่งทีปรากฏกับท่าน ขอท่านทั้งหลาย เวลาทำงานทำการก็ดีเดินไปไหน ทำกิจธุระใดใดก็ดี ขณะเมื่อมันเหนื่อย เวลาที่เหนื่อยรู้สึกว่าใจสั่นมันเหนื่อยหนักนั่งพัก พอนั่งพักเริ่มจับลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกมันที ทำแบบสบายจิตจะมีความเป็นสุข แล้วอาการเหนื่อยจะหายโดยรวดเร็วเพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นการระงับทุกขเวทนาทางกาย นี้จุดหนึ่งและอีกจุดหนึ่งขณะที่เราเหนื่อยๆ

สมมุติว่าวันนี้ผมไปเห็นพระดายหญ้าทำงานกันหลายอย่างขณะที่ทำงานกันแบบนั้นถ้ามันเหนื่อย หาที่นั่งพัก ที่นั่งพักจะมีเสียงเอะอะโวยวายอะไรก็ช่าง พอนั่งพักลงมาแล้วจับลามหายใจเข้าออกทันที พอจับปั๊บอาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอาการของปีติ มันจะเกิดขึ้น อย่างนี้แสดงว่าจิตของท่านเข้าสมาธิได้รวดเร็ว อาการอย่างนี้ควรจะฝึกไว้เสมอๆ เพราะมันเป็นประโยชน์มาก ทำให้เราคล่องในการทรงสมาธิ เวลาที่จิตถึงฌานสมาบัติเราสามารถจะเข้าฌานได้ตามอัธยาศัย อาการเข้าฌานนี่ ถ้าท่านที่เข้าฌานยังต้องากรเวลาหมายความว่าต้องการจะรู้อะไรต้องการจะสงบจิต เราก็ต้องใช้เวลานิดหน่อยนิดหนึ่งหรือนานหน่อย หลับตาภาวนาอยู่นาน แล้วฌานจึงจะเกิด อย่างนี้ต้องถือว่ายังใช้ไม่ได้ การทรงสมาธิต้องคล่อง ที่ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า จิตเข้าถึงวลีคำว่าวสี คือการคล่องในการเข้าฌานและออกฌาน

ฉะนั้น การฝึกสมาธิของท่านผมจึงบอกว่า จงอย่าหาเวลาแน่นอนหมายความว่าเดินไปก็ดีทำงานอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดูหนังสือ จะฟังเทปก็ตาม จิตจับลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว เวลาเดินบิณฑบาตกว่าจะกลับ มีโอกาสสำหรับเรามาก ขณะที่ไปบิณฑบาตก้าวไปบิณฑบาตตั้งแต่ก้าวแรกหรือก่อนจะไปจนกระทั่งกว่าจะถึงเวลากลับ จงอย่าปล่อยจิตของท่านให้ว่างจากสมาธิให้จิตของท่านทรงสมาธิอยู่ตลอดเวลา และก็จงอย่าเข้าใจผิดว่า

ถ้าจิตเป็นสมาธิจะยืนแข็งโด่ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้น จิตเป็นสมาธิก็ใช้การกำหนดการก้าวของเท้า ก้าวเท้าซ้าย หรือก้าวเท้าขวาก็รู้อยู่ หายใจเข้าก้าวเท้าซ้าย หายใจออกก้าวเท้าขวา หรือก้าวเท้าไปรู้ด้วยรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย ถ้าจะใช้พุทธานุสสติควบก็ดีเวลาก้าวเท้าไปหนึ่งก็ พุท ก้าวไปอีกทีก็ โธ ก้าวไปอีกทีก็

พุท ก้าวไปอีกทีก็ โธ ทำอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นอันว่าท่านเป็นผู้ไม่ว่างจากอารมณ์ของสมาธิ เวลาจะกลับมาฉันอาหาร จะทำอะไรก็ตามอย่าว่างจากอารมณ์ของสมาธิ เวลาจะกินข้าวจะฉันข้าว เวลานี้เราตักข้าวเวลานี้เราตักกับข้าว เวลานี้เอาข้าวเข้าปาก เวลานี้เราเคี้ยว มีความรู้สึกไปด้วย เวลานี้เราอาจจะไม่รู้ลมหายเข้าออก แต่รู้อาการที่ทำ อย่างนี้ก็ใช้ได้ เป็นการทรงอารมณ์สมาธิ หรือว่าเวลาที่กำลังฉันข้าว เรารู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย จะช่วยให้เกิดสมาธิได้ง่าย

และก็เป็นการทรงฌานได้ดีทีนี้การที่จะเจริญพระกรรมฐานให้ดีน่ะ เขาจะไม่ยอมให้เวลาว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานอนก่อนจะหลับ ให้จับอานาปานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว ท่านจะหลับง่าย และให้หลับไปกับอานาปานุสสติกรรมฐาน เวลาหลับจะมีความสุข ขณะที่หลับจะถือว่าเป็นผู้ทรงฌานอยู่ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกจนหลับ ขณะที่หลับจิตจะต้องเข้าถึงปฐมฌานหรือฌานสูงกว่านั้นจึงจะหลับ และเมื่อขณะที่หลับอยู่ก็ถือว่าหลับอยู่ในฌาน ถ้าตายระหว่างนั้นท่านเป็นพรหมเวลาที่ตื่นมาใหม่ๆ ท่าจะลุกจากที่นอนก็ตาม หรือไม่ลุกก็ได้ จะนอนอยู่อย่างนั้นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หรือว่าอยากจะนั่งก็ได้

แต่ระวังให้ดีการลุกขึ้นมานั่งต้องคุมสติสัมปชัญญะให้ดีเมื่อตื่นนอนเข้ามาแล้วต้องจับลมหายใจเข้าออกทันที เพื่อทรงสมาธิจิตให้ทรงตัว ตอนตื่นเช้ามืดพยายามทำให้สงบสงัดให้มากที่สุดเป็นการรวบรวมกำลังใจสูงสุด เพื่อประโยชน์แก่การบิณฑบาตเมื่อเวลาไปบิณฑบาตอย่าคุยกัน และเวลาเดินไปบิณฑบาตเว้นระยะห่างกันพอคนรอดได้สำหรับพระองค์หน้าเคยเดินไปยืนตรงไหนยืนตรงนั้น เวลาเขาใส่บาตร ถ้าองค์ท้ายยังรับบาตรไม่เสร็จองค์หน้าอย่าเพิ่งก้าวไป มิฉะนั้นจะทำให้องค์ท้ายลำบาก ต้องเดินตามเร็วและก็เหนื่อย มันเป็นการดูไม่งามสำหรับชาวบ้าน

เรื่องนี้ก็เป็นสติสัมปชัญญะหรือก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ไว้และจำเข้าไว้เพื่อความดีของท่าน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจิตทรงสมาธิไว้แต่ตอนกลางคืน แล้วก็ตอนเช้ามืดและเวลาที่เดินไปบิณฑบาต ถ้าจิตของท่านทั้งหลายทรงสมาธิอยู่ สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า คนที่เขาใส่บาตรท่านเขาจะมีบุญมาก ได้บุญมากมีความสุขในปัจจุบัน ดีกว่าท่านที่ปล่อยให้ใจลอย จิตน้อมไปในกามารมณ์หรือโลกีย์วิสัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะจิตน้อมไปในโลกีย์เป็นจิตที่เต็มไปด้วยความสกปรก เมื่อจิตของเราสกปรกท่านผู้ให้ก็ได้ของสกปรกไป ถ้าจิตของเราทรงสมาธิเข้าไว้แสดงว่าจิตของเราสะอาดจากบาปอกุศล

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่สงเคราะห์ก็ดีเอาละเวลาท่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้เวลานี้หมดเวลาเสียแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 55 09:42:16

จากคุณ : คนรักน้ำมัน
เขียนเมื่อ : 20 ม.ค. 55 08:40:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com