|
สวัสดีค่ะ จขกท. อาจารย์ดิจิฯ เข้ามาแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ เพราะดิฉันมีเพื่อนที่ต้อง มนต์สะกดการเมือง เยอะมาก
ปกติดิฉันจะใช้หลักธรรมมาแลกเปลี่ยนกับพวกเขาค่ะ
1 ในแง่ตนเอง ใช้ธรรมรักษาตน คือไตรสิกขา คือ ทาน ศีล ภาวนา และฆราวาสธรรม คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
2 ในแง่สัมพันธ์กับผู้อื่น จะใช้ พรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
เพื่อนของดิฉันมีอยู่ในทั้งสองฝั่ง ซึ่งดิฉันได้ประยุกต์หลักธรรมกับความขัดแย้งในสังคมไทย ดังนี้ 1.เปิดใจ 2.ใฝ่รู้ 3.ดูตน 4.ก้าวข้ามพ้นอคติ
แต่ข้อสรุป 4 ประการนี้ ใช้เรียกร้องตนเองเท่านั้นนะคะ
1. เปิดใจ :
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน เพราะต้องพูดกับเพื่อนทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งที่เป็นเอ็นจีโอก่อรูปเป็นพันธมิตรฯ อีกฝ่ายเป็นพวกทำงานให้คุณทักษิณซึ่งสมัยนั้นเป็นรัฐบาล ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม และไม่เข้ากับรัฐบาล จึงถูกด่าหรืออย่างเบาก็ถูกกระแนะกระแหนจากทั้งสองฝ่าย อาศัยเปิดใจรับฟังทั้งสองฝ่าย ยืนยันความเป็นตัวของตัวเอง ก็ข้ามผ่านมาได้
2.ใฝรู้ :
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ หลังจากเพื่อนทั้งสองฝ่ายเลิกดึงดิฉันเป็นพวก ดิฉันก็เริ่มไม่ค่อยรู้อะไรวงในอีก เพราะไม่มีใครมาบอกเล่าอะไรให้ฟัง ดิฉันเองก็ไม่ถามใครถึงข่าววงใน จึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง ซึ่งพบว่า เดี๋ยวนี้แหล่งข่าวต่างๆ เปิดกว้างมาก อ่านไม่หวาดไม่ไหว เพียงแต่ทำใจเป็นกลาง คัดกรองเอาแต่เนื้อหาสาระออกมา สอบทานกัน เราก็พอจะรู้ได้ว่า อะไรกำลังเป็นอะไรอยู่ และแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้ แม้จะไม่รู้เรื่องวงใน
3.ดูตน :
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสพย์ข่าวสารมากๆ เข้า เนื่องจากต้องอ่านข่าวของทุกฝ่าย จึงต้องอ่านมาก จิตใจของเราก็จะเริ่มโอนเอียงไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง เพราะถึงอย่างไรข่าวก็เป็นแค่ข่าว ต่อให้เป็นข่าวที่มีคนรู้จักมาพูดกับเราเอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงของเขา เราจึงมักไม่ค่อยรู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ถึงตรงนี้ ถ้าไม่เบื่อหน่ายปวดหัว ก็จะเริ่มหงุดหงิด จึงต้องอาศัยที่เคยปฏิบัติธรรมมา บอกให้ตนเองหยุดดูตนก่อน กลับมาสำรวจทาน ศีล ภาวนาก่อน เพื่อปรับใจให้นิ่ง เพราะน้ำขุ่นย่อมไม่เห็นเงาหน้าตน จิตมืดมนย่อมสร้างมายาภาพไปได้ต่างๆ เมื่อเห็นตนแล้วก็เลยเห็นคนอื่นได้ชัดขึ้น คัดกรองข่าวสารได้ดีขึ้น
4.ก้าวข้ามพ้นอคติ :
เริ่มแรกดิฉันเพียงแต่เห็นว่า ข้อเรียกร้องนี้เป็นจริงได้ก็แต่กับในระดับบุคคล คือ เป็นเรื่องของตัวเราเองเท่านั้น แต่เนื่องจากหลายปีมานี้ ผ่านการสนทนากับผู้คนมากมาย ประโยคที่ดิฉันมักเตือนคู่สนทนาว่า "อย่าไปว่าเขา ลองทำความเข้าใจเขา เอาแต่ประเด็นของเขามาพูดกันเถอะ" ไม่ว่ากับสีไหน ฝ่ายไหน ผู้ใด สถานะไหน จนคนใกล้ๆ ตัวที่เป็นเหลือง เป็นแดง ก็ค่อยๆ ถอยออกมา
หลักธรรมเหล่านี้ใช้ได้เรื่อยมาจนถึงปี 2553
แต่เมื่อเหตุการณ์บานปลายรุนแรง เป็นสงครามกลางเมือง เกิดการฆ่าคน วางเพลิง เผาบ้านเผาเมือง ดิฉันก็ได้พบว่า มนต์สะกดทางการเมือง นั้น เหมือนหลุมดำที่มีอำนาจดึงดูดสูงมาก และพร้อมที่จะดึงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในนั้น ไม่เว้นแม้แต่แสงสว่างทางปัญญา
ดิฉันคุยกับใครไม่ได้อีก เพื่อนคนหนึ่งโกรธมาก ที่เผาขนาดนี้แล้ว สหประชาชาติยังไม่ยอมแทรกแซง เพื่อนอีกคนก็โกรธมาก คิดว่าต้องกวาดล้างพวกเผาเมืองให้สิ้นซาก ดิฉันจึงเลิกคุยประเด็นทางการเมืองกับเพื่อนที่เลือกข้างทั้งหลายทั้งปวง ดิฉันเปิดใจให้กว้างขึ้นอีก ด้วยการเดินไปหาผู้คนที่ได้รับผลกระทบ เดินด้วยเท้า เดินไปทีละก้าวๆ นี่เอง เดินไปทุกสมรภูมิที่เขารบกัน เดินไปคุยกับผู้คนรอบๆ ซึ่งทรัพย์สินถูกเผาทำลาย เพียงพวกเขาอยู่ผิดที่ผิดทาง เพียงพวกเขาเล็กเกินกว่าจะได้รับการใยดี ดิฉันไปเดินพูดคุย ถามไถ่ ให้กำลังใจ ผู้คนเหล่านั้นหลายวัน ดิฉันได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจมากมาย จากผู้คนเหล่านั้น
ดิฉันเลยไปค้นหาความจริงต่อในหมู่พวกคนที่ทุกข์ยาก คนที่เป็นทั้งเหยื่อและกลไกของสงครามกลางเมือง ดิฉันอยากรู้ว่า มนต์สะกดทางการเมือง มีกระบวนการทำงานของมันอย่างไร จึงดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมได้มากมายนัก และจงรักภักดีอะไรขนาดนั้น
แล้วดิฉันก็ได้พบว่า ไม่มีอะไรมากมาย คนข้างบนเขาแย่งอำนาจกัน คนข้างล่างเขาต้องการความอยู่รอด ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกราญ คนข้างล่างบางส่วนจึงคิดว่า เป็นขาช้างก็ยังดีกว่าเป็นหญ้าแพรก
จึงกลับมามองพวกคนที่อยู่ตรงกลางๆ เริ่มตั้งแต่บรรดานักวิชาการที่ทำตัวเป็นบริกรรับใช้นักการเมืองและกลุ่มการเมือง จนถึงกลุ่มหลากหลายต่างๆ และคนชั้นกลางทั่วๆ ไป ที่ตัดสินใจเลือกขั้วข้างตาม มนต์สะกดทางการเมือง
ดิฉันจึงเห็นว่า มนต์สะกดทางการเมือง มีกระบวนการทำงาน ผ่าน ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ของแต่ละบุคคล แล้วแต่ว่า ด้านไหนของแต่ละคนจะโดดเด่นออกมามากกว่า กระบวนมนต์สะกดทางการเมืองก็จะครอบเข้าไปที่ตรงนั้นก่อน
การทำงานผ่านตัณหา คือการเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ คือการซื้อใจผ่านจุดอ่อนในจิตใจของคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบที่แนบเนียนมากๆ อยู่ในรูปการสนับสนุนโครงการดีๆ
การทำงานผ่านมานะ คือการส่งเสริมอัตตาตัวตน ทำให้คนเข้าร่วมรู้สึกมีบทบาท มีที่ยืน เป็น somebody ไม่ใช่ nobody ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่ตนแสดงออก ถูกต้อง เป็นจริง เป็นธรรม เลิศล้ำ ฯลฯ
การทำงานผ่าน ทิฏฐ เป็นการป้อนข้อมูล คือตัว สัญญา หรือความจำได้หมายรู้ผิดๆ เช่นจริงบ้างเท็จบ้าง หรือเป็นข้อมูลแบบตัดตอน ไม่ครบถ้วน แล้วเอามาเชื่อมโยงเป็นชุดความคิด ซึ่งเมื่อเกิด สัญญาวิปลาส ก็จะทำให้ ทิฏฐิวิปลาส เมื่อทิฏฐิวิปลาส ก็จะเกิดอาการ จิตวิปลาส ตามมาในที่สุด
เดี๋ยวนี้ดิฉันหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับเพื่อนที่ต้องมนต์สะกดทางการเมืองแล้ว แม้พวกเขาจะน่าสงสารมากก็ตาม เพราะยากมากที่จะดึงพวกเขาออกจากหลุมดำ และพวกเขาก็มักไม่คิดหาสัจจะจากความเป็นจริงผ่านการปฏิบัติธรรมกันด้วย
แต่ในกรณีที่พอคุยกันได้ ดิฉันจะสะกิดให้พวกเขาหันมาสนใจความจริงขั้นปฐมภูมิ ความจริงที่อยู่ใกล้ตัว ที่พวกเขาสัมผัสเองมาโดยตรง สะกิดให้พวกเขาหันเข้าไปมองภายในจิตใจของตนเอง บางทีก็ขอให้พวกเขาคิดย้อนกลับไป สมัยที่จิตใจยังปลอดโปร่งกว่านี้ ขอให้พวกเขาระลึกถึงความสุข เมื่อจิตใจปลอดจากความโกรธแค้นชิงชัง
ท้ายที่สุดนี้ ฝากกลอนบทหนึ่งให้อาจารย์ดิจิฯ ค่ะ
เป็นกลอนที่ดิฉันมักส่งให้เพื่อนๆ ทั้งสองฝ่าย เมื่อหลายปีก่อน
"ดี-เลว,แพ้-ชนะ คืออะไร"
หากแม้นมีเวลาให้ใจได้คิด หวนพินิจ "เหมือน"กับ"ต่าง"ห่างไฉน "ดี"กับ"เลว" "แพ้-ชนะ" คืออะไร ต่างเพียงอิงอาศัยกันและกัน
แม้นเรารัก "ความดี" เป็นที่สุด ลงมือกุดหัว "ความเลว" เหลวไหลนั่น ผลิตซ้ำย้ำขยี้แลกชีวัน ล้างเผ่าพันธุ์เพื่อสังคมอันสมใจ
จะได้เพียงอัตตาใหม่ที่ใหญ่ยิ่ง ซึ่งกลอกกลิ้งลวงตาว่าสวยใส บนฐานรากซากศพที่ทบไป "ดี"จึงใกล้กับ"เลว"เหลวเหมือนกัน
ถึงที่สุด ในความต่าง ห่างหรือชิด แค่ปรุงคิดกันไปในรูปขันธ์ ทั้งใน-นอก สุดสาวเท่ากัปกัลป์ ในอนันต์จึงไร้กาลไร้ถ้อยคำ
***********
ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขถ้วนหน้ากันนะคะ
จากคุณ |
:
oDaineo
|
เขียนเมื่อ |
:
24 ม.ค. 55 12:09:21
|
|
|
|
|