|
กรรมมันแก้กันได้ด้วยหรอ??
ไม่มีแก้กรรม มีแต่หยุดทำกรรมไม่ดีแล้วหันมาทำกรรมดี ท้ายที่สุดแล้วกรรมอะไรก็ตามไม่ว่าจะกรรมดี หรือ ไม่ดี มันต้องย้อนกลับมาหาตัวเราในที่สุด เพียงแต่จะช้าหรือไว ขึ้นอยู่กับว่ากรรมอะไรให้ผลก่อนหลัง
กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม ตามลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง
- ครุกกรรม หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรม (ฆ่าบิดา-ฆ่ามารดา-ฆ่าพระอรหันต์-ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ-ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์)
- พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม *** ขอขยายลำดับข้อนี้หน่อยเพราะพบได้บ่อยที่สุด อย่างข้อแรกถ้าไม่นรกส่งมาเกิดจริงๆ *** คงไม่มีใครทำกัน แต่อันนี้มันใกล้ตัวเราเลยจะเน้นๆ หน่อย อาจิณณกรรม หรือพหุลกรรม *** ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว และแม้แต่การกระทำซึ่งถึง แม้จะกระทำเพียงครั้งเดียว *** แต่การกระทำนั้นกินใจหรือประทับใจอย่างรุนแรง จึงทำให้ต้องนึกถึงอยู่บ่อยๆ และเมื่อนึกถึงก็ประหนึ่ง *** เหมือนพึ่งกระทำลงไป อย่างนี้ก็เป็น อาจิณณกรรม เหมือนกัน คนมีใจบาปหยาบช้า กระทำความไม่ดีต่างๆ *** ด้วยกายบ้าง วาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง แล้วตั้งหน้าตั้งตากระทำความไม่ดีนั้นอยู่เสมอ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นประจำ *** ทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เป็นประจำ พูดโกหกพกลม ด่าว่า พูดให้ร้ายผู้อื่นอยู่เป็นประจำ คิดพยาบาท *** อิจฉาริษยา โลภมากอยู่เป็นประจำ ทำให้กลายเป็นคนสันดานเสีย พอกพูนความไม่ดีไว้มากมาย *** วันไหนถ้าไม่ได้กระทำกรรมอันชั่วช้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ กรรมชั่วที่พอกพูนไว้เสมอเหล่านี้ เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว *** หรือผู้ที่กระทำความชั่วร้ายแรง โดยเมื่อแรกคิดว่าจะทำก็ทำด้วยความโกรธอย่างรุนแรง แล้วทำร้ายฆ่าฟันด้วยกำลังความแค้น *** กำลังความโกรธ และขนาดกระทำจนสมใจแล้วก็ยังไม่สิ้นโกรธสิ้นแค้น เวลาเลยไปนานแสนนานเพียงใรก็ยังไม่หายแค้น *** คิดขึ้นมาเมื่อไรก็ให้แค้นเมื่อนั้น ไม่หายโกรธ ไม่หายแค้น แล้วจิตก็มักคิดย้อนถึงการกระทำนี้อยู่บ่อยๆ ด้วยความคลั่งแค้นใจ *** นับว่าเป็นสิ่งกินใจที่ทำให้ขัดแค้นไม่รู้หมดรู้สิ้น อย่างที่เป็นข่าวโด่งดังในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่เยอะแยะ อย่างเช่นผู้ที่ชอบ *** กระแนะกระแหน ด่าว่าผู้อื่น ไม่มีใครดีในสายตาท่าน ยกเว้นตัวท่าน และคนที่เห็นด้วยกับท่าน *** *** คนที่มีใจเป็นบุญกุศล มักชอบทำความดี ทั้งกาย วาจา และใจ ชอบทำบุญสุนทาน ใส่บาตรพระทุกวัน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น *** เมื่อรับศีล 5 แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลไว้ไม่ให้ขาดหรือด่างพร้อย วันพระวันโกนก็ตั้งใจรับศีล 8 แล้วก็รักษาให้บริสุทธิ์ด้วยดี *** เมื่อเป็นชี เป็นพระสงฆ์ เป็นสามเณรก็พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอไม่ให้ขาด อีกทั้งหมั่นประกอบการกุศล *** ในการเจริญภาวนาฝึกสมาธิ และเจริญวิปัสสนา บำเพ็ญปฏิบัติไปตามความสามารถแห่งตน ตั้งหน้า ตั้งตาสร้างกุศลผลบุญอยู่เนืองนิตย์ *** ไม่ว่างเว้น กรรมดีที่พยายามสร้างพอกพูนไว้ในสันดานของตนอยู่เรื่อยๆ เหล่านี้เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายดี *** หรือกรรมที่ทำเป็นประจำฝ่ายดี สำหรับผู้ที่กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ หรือเป็นคนดีแต่เคยทำชั่วไว้อย่างหนึ่งจนไม่อาจลืมได้ *** เป็นสิ่งที่ฝังใจอยู่ตลอดเวลา คิดขึ้นมาก็เศร้าหมองใจทุกครั้งไป หรือเป็นคนชั่วแต่ก็เคยได้ทำบุญกุศลด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า *** ประทับใจมิรู้ลืม เมื่อจะไปเกิดใหม่ก็ขึ้นอยู่กับ แรงของอาจิณณกรรมของทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่วขณะใกล้ตาย จะชักนำไปทางไหน *** *** ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายดี มีกำลังแรงกล้ามากกว่า ก็จะไปสุคติ *** ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว มีกำลังแรงกว่า ก็จะไปทุคติ *** *** ยกตัวอย่างเช่น พระราชาที่ต้องรบทัพจับศึก ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทรัพย์สินและผู้คนก็ปล้นชิง ทำให้เกิดความ *** ลำบากความทุกข์แก่ฝ่ายตนและฝ่ายตรงข้ามมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงใฝ่ใจการกุศล ทำนุบำรุงช่วยเหลือประชาชน *** สมณะชีพราหมณ์อยู่เป็นประจำ หรือพระราชินีที่เป็นผู้มีเมตตา ทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ แต่ต้องส่งเสริมอาชีพให้ชาวประชาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม *** ซึ่งทำให้ชีวิตของตัวไหมต้องสูญสิ้นไป อย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่า อาจิณณกรรมฝ่ายไหนจะแรงกว่ากัน ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายดีมีพลังอำนาจแรงกว่า *** ก็ได้ไปสุคติ แต่ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายชั่วมีพลังแรงกว่าก็ได้ไปสู่ทุคติ *** *** (นำมาจาก http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2294:2010-05-28-22-32-38&catid=51:4 )
- อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย (จิตสุดท้ายก่อนตาย) คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
- กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม หมายถึง กรรมอื่นที่เคยทำไว้แล้ว นอกจากกรรม 3 อย่างข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมนี้ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป (กตตฺตา-สิ่งที่เคยทำไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม) กตัตตากรรมนี้ ในตำราทางพุทธศาสนาหลายแห่ง ได้บรรยายไว้ว่า หมายถึง กรรมสักแต่ว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วย เจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล
ฉะนั้น....เข้าใจเสียใหม่ กรรมมันแก้กันไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดก็แค่ยื้อเวลาเอาไว้ จะทำอะไรก็ให้มีสติไว้ดีกว่า คุมตัวเองให้มีสติก่อนทำกรรมใดๆ มันยังง่ายกว่ามานั่งนึกว่าจะแก้กรรมยังตอนทำกรรมไม่ดีไปแล้ว
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 10:18:36
จากคุณ |
:
IT Boys
|
เขียนเมื่อ |
:
27 ม.ค. 55 10:05:51
|
|
|
|
|