พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาความตาย ก็เพื่อมุ่งประสงค์จะให้ทุกคนยอมรับสภาพเป็นจริงว่า เราจะต้องตายจริง ๆ ที่เรากลัวตาย กลัวความแก่ กลัวภัยอะไรต่าง ๆ นี้ ที่เรากลัวก็เพราะว่า เรายังไม่รู้ซึ้งเห็นจริง ในเมื่อเราไม่รู้ซึ้งเห็นจริง เราก็ไม่ยอมรับสภาพ ความเป็นจริง เมื่อเราไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริง เราก็ยังปฏิเสธของจริงอยู่นั่นแหละ ตราบใดที่เรายังปฏิเสธของจริง เราก็เป็นทุกข์ วันยังค่ำ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมนี้ มีจุดมุ่งประสงค์ คือ
๑. เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ
๒. เพื่อให้เกิดสติ ปัญญา ซึ่งเกิดจากสมาธิ เรียกว่า สมาธิปัญญา
สมาธิปัญญานี้ คือปัญญาที่เกิดจากจิตสงบเป็นสมาธิ สามารถที่จะบันดาลให้จิตเกิดความรู้ ภูมิจิต ภูมิธรรม เป็นลำดับ ซึ่งสุดแล้วแต่สมรรถภาพของผู้บำเพ็ญนั้น จะสามารถทำให้เป็นไปแค่ไหน การทำสมาธิโดยทั่ว ๆ ไปเราไม่จำเป็นจะต้องมีศีลก็ได้ แต่สมาธิของผู้ไม่มีศีลนั้น ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้มรรค ผล นิพพาน เช่น สมาธิของนักไสยศาสตร์ เขาอาจจะบริกรรมคาถาของเขาแล้ว สามารถปล่อยตะปูหรือหนัง ทำให้คนเจ็บหรือตายได้ อันนี้ก็คืออำนาจสมาธิ ถ้าสมาธิไม่มีแล้ว หนังแผ่นโต ๆ เบ้อเริ่มจะทำให้เล็กได้อย่างไร ตะปูซึ่งมันไม่มีจิตมีใจ ไม่มีวิญญาณ แล้วจะไปปล่อยเข้าท้องเข้าไส้คนได้อย่างไร ถ้าไม่มีสมาธิ แต่สมาธิเป็นไปเพื่อความทำลายนี้ มุ่งที่จะทำลายนี้ เป็นมิจฉาสมาธิ
อย่างที่ญาติโยมทั้งหลายที่พากันทำสมาธิภาวนานี้ ก็ตั้งใจจะภาวนาลงไปแล้ว สาธุ ๆ ๆ ข้าพเจ้าภาวนาแล้วขอให้ถูกหวยเบอร์ อย่างนี้เป็นมิจฉาสมาธิ ขอให้ข้าพเจ้ามีคนนับถือมาก ๆ เป็นมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ มุ่งให้จิตตั้งมั่นให้รู้จริง เห็นจริง ภายในจิตใจของตนเอง อย่างน้อยก็ให้รู้ว่า ใจของเราจิตของเรามันเป็นอย่างไร มันเป็นคนขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง หรืออะไรก็แล้วแต่ อ่านตัวเองให้มันออก นี้คือจุดที่ต้องการรู้ รู้สิ่งภายนอกนั้นรู้มากมายก่ายกองประการใดก็ตาม ไม่เกิดประโยชน์สำหรับผู้รู้ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งยากนาน
ท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น ท่านได้ทดสอบดูแล้ว ความรู้ที่ท่านเคยทำมานั้น เช่น อย่างสมมติว่า ทำสมาธิได้ดีแล้ว เกิดมีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ ทำเครื่องรางของขลัง มันก็วิเศษ สามารถกระทั่งรู้จิตใจของคน และบางทีสามารถที่จะนึกภาวนาอยู่ที่กุฏิแล้ว จะนึกให้ใครเป็นอย่างไรๆ ก็ได้ แต่เสร็จแล้ว ยิ่งเก่ง ก็ยิ่งกิเลสตัวโตขึ้น ท่านจึงเห็นว่า มันไม่ถูกทาง เพราะฉะนั้น สมาธิซึ่งจัดว่าเป็น สัมมาสมาธินั้น คือ มุ่งตรงต่อ สุปฏิปันโน คือ ผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง สามีจิปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติชอบยิ่ง ตามแนวทางแห่งสังฆคุณ จึงจะได้ชื่อ สัมมาสมาธิ
ตอนที่อาตมากล่าวว่า การทำสมาธิไม่จำเป็นจะต้องมีศีล สมาธิที่ไม่มีศีลเป็นหลักประกันนั้น เป็นมิจฉาสมาธิ ผู้ภาวนาแล้ว มักจะเกิดเป็นสัญญาวิปลาส นักภาวนาที่ภาวนาเก่ง แล้วบางที เสียสติไปก็เพราะศีลไม่บริสุทธิ์ ถ้าหากมีศีลสะอาดบริสุทธิ์ดีแล้ว ภาวนาอย่างไรไม่เกิดความเห็นผิด สัญญาวิปลาสไม่มี เพราะศีลตัวเดียวเท่านั้น เป็นเครื่องประกันความบริสุทธิ์ ของผู้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น สาธุชนที่มุ่งที่จะบำเพ็ญเพียรทางจิต เพื่อให้บรรลุมรรคผลกันจริงจัง จะต้องมั่นใจ หรือจะต้องตั้งใจให้แน่วแน่ว่า เราจะต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ตามขั้นภูมิของตนเอง
เพราะความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้น เป็นการตัดผลเพิ่มของกรรม อย่างเมื่อวานนี้ เราอาจจะตบยุงอยู่หลายตัว แต่วันนี้เรามีศีล เราก็เลิกการฆ่าสัตว์ เมื่อเราเลิกการฆ่าสัตว์แล้ว ผลบาปที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ เป็นอันยุติตั้งแต่ที่เราสมาทานศีลมา เพราะฉะนั้นศีลนี้ นอกจากจะเป็นขอบเขต ของการใช้กิเลสของคนแล้ว ยังเป็นหลักประกันความบริสุทธิ์ เป็นการตัดผลเพิ่มของบาป
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 16:18:45