4. การทุ่มเทของนักวิชาการมุสลิมในการเผยแพร่และปกป้องซุนนะฮฺ
เป็นที่ทราบกันดีว่าบรรดาผู้ไม่หวังดีต่ออิสลามได้พยายามเสริมแต่ง ตัดต่อ และกุหะดีษปลอมมากมายโดยมีวัตถุประสงค์ต่างๆนานา ปรากฏการณ์เช่นนี้จึงไม่เป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด เพราะยังมีกลุ่มบุคคลที่จงใจกล่าวหาอัลลอฮฺด้วยการเพิ่มเติมและตัดต่ออัลกุรอานด้วยซ้ำไป
แต่ทุกอย่างก็ไม่คลาดสายตาของบรรดานักวิชาการมุสลิมที่พยายามตอบโต้ความเท็จเหล่านั้นด้วยการเผยแพร่ความจริงตามหลักวิชาการและศึกษาวิจัยอย่างถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ บรรดานักวิชาการมุสลิมได้วางกฎเกณฑ์และกติกาต่างๆอย่างละเอียดละออในการจดบันทึกแต่ละบทของหะดีษซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของประชาชาติใดที่มีความรอบคอบและพิถีพิถันในเรื่องดังกล่าวเสมือนกับกฎกติกาที่กำหนดโดยนักวิชาการมุสลิม
ส่วนที่มีคนกล่าวว่ามีการผสมผสานระหว่างหะดีษที่ถูกต้องกับหะดีษปลอม เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยากในการจำแนกแยกแยะนั้น นับเป็นข้อกล่าวหาของกลุ่มคนที่ไม่เคยศึกษาศาสตร์ที่ด้วยหะดีษ (อุลูมุลหะดีษ) ที่แท้จริง พวกเขาไม่เคยรับรู้ว่านักวิชาการมุสลิมได้ทุ่มเทด้วยความวิริยะอุตสาหะในการศึกษาประวัติและภูมิหลังของผู้รายงานหะดีษแต่ละคน
พวกเขาไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่าอุละมาอฺได้วางกฎกติกาที่ว่าด้วยศาสตร์การวิพากษ์และเงื่อนไขการยอมรับของกลุ่มผู้รายงานหะดีษอย่างละเอียดรอบคอบแค่ไหน และบางทีพวกเขาไม่เคยอ่านตำรับตำราที่เขียนโดยอุละมาอฺชั้นนำที่เกี่ยวข้องกับหะดีษเศาะฮีหฺ (หะดีษที่ถูกต้องและมีหลักฐานชัดเจน) หะดีษเฏาะอีฟ (หะดีษที่มีหลักฐานการรายงานที่อ่อนแอ) หะดีษเมาฎูอฺ (หะดีษปลอม) และหะดีษประเภทอื่นๆอีกมากมายตามปรากฏในศาสตร์ของอุลูมุลหะดีษ
การที่มีหะดีษที่แปลกปลอมไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องละทิ้งหะดีษที่ถูกต้อง มีใครสักคนที่เคยคิดว่าเราต้องทำลายธนบัตรและประกาศยกเลิกการใช้เงินตราในวงการตลาดและการซื้อขาย ด้วยเหตุผลว่ามีธนบัตรปลอมเข้ามาอย่างแพร่หลายในตลาดมืด มีคนที่มีความคิดพิเรนทร์เช่นนี้หรือไม่ ?
5. การไม่ยอมรับซุนนะฮฺเป็นความเชื่อที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน
กลุ่มที่ไม่ยอมรับซุนนะฮฺและจำกัดความเชื่อกับอัลกุรอานเพียงอย่างเดียว จริงๆแล้วพวกเขากำลังปฏิเสธอัลกุรอานโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ ในอัลกุรอานมีโองการหลายๆโองการที่กำชับให้มุสลิมเชื่อฟังรอซูลอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับการเชื่อฟังอัลลอฮฺตะอาลา ดังปรากฏในความหมายอัลกุรอานดังต่อไปนี้
ผู้ใดที่เชื่อฟังรอซูล เขาย่อมเชื่อฟังอัลลอฮฺ (อันนิสาอฺ:
แท้จริงบรรดาผู้ที่ให้สัตยาบันกับเจ้านั้นเสมือนกับว่าพวกเขาได้ให้ สัตยาบันกับอัลลอฮฺ (อัลฟัตฮฺ : 10)
และพวกเจ้าจงเชื่อฟังอัลลอฮฺและจงเชื่อฟังรอซูลเถิดและพึงระมัดระวัง มิให้ตกอยู่ในฐานะผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺและรอซูล (อัลมาอิดะหฺ : 92)
บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์เถิด และจงอย่าได้ผินหลังให้แก่เขา ขณะที่พวกเจ้าฟังอยู่ (อัลอัมฟาล : 20) ฯลฯ
ผู้ใดที่เชื่อว่าเป็นการเพียงพอที่เราต้องศรัทธาเฉพาะอัลกุรอานเท่านั้น แสดงว่าเขากำลังปฏิเสธโองการที่กล่าวข้างต้นด้วย - ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง-
6. ศาสนบัญญัติในอิสลามส่วนใหญ่แล้วมีแหล่งอ้างอิงที่มาจากซุนนะฮฺ
กล่าวกันว่าหากมีการปฏิเสธซุนนะฮฺก็เท่ากับว่าเราปฏิเสธศาสนบัญญัติในอิสลามโดยส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะหากมีการศึกษาค้นคว้าแหล่งอ้างอิงของศาสนบัญญัติในอิสลามที่ปรากฏในตำราฟิกฮฺแล้ว จะพบว่าแหล่งอ้างอิงของบรรดานักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่แล้วมาจากซุนนะฮฺ
ซึ่งหากเราไม่ยอมรับซุนนะฮฺเป็นหนึ่งในแหล่งอ้างอิงสำคัญแล้ว แน่นอนที่สุดว่าเราต้องลบล้างเนื้อหาต่างๆอันมากมายในตำราฟิกฮฺ และวิชาฟิกฮฺก็แทบไม่มีคุณค่าใดๆทางวิชาการ แต่นักวิชาการฟิกฮฺในทุกยุคทุกสมัยต่างก็ยอมรับซุนนะฮฺเป็นแหล่งอ้างอิงลำดับที่สองรองมาจากอัลกุรอาน
ดังนั้นซุนนะฮฺก็ยังยืนหยัดทำหน้าที่เป็นหลักฐานอันสำคัญในศานบัญญัติของอิสลามถึงแม้จะมีกลุ่มผู้ไร้การศึกษาพยายามบิดเบือนความสำคัญของซุนนะฮฺก็ตาม
7. การปฏิเสธซุนนะฮฺเป็นเหตุให้ความเป็นมุสลิมโมฆะ
มุสลิมทุกคนต้องกล่าวคำปฏิญาณตน(ชะฮาดะฮฺ) คือ
- ฉันขอปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่เคารพบูชาเว้นแต่อัลลอฮฺ
- และฉันขอปฏิญาณตนว่านบีมูฮำหมัดคือศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ
สองประโยคดังกล่าวเปรียบเสมือนสองด้านของเหรียญอันเดียวกัน หากขาดด้านใดด้านหนึ่ง เหรียญนั้นจะไร้คุณค่า เช่นเดียวกันกับหากเปรียบเทียบสองประโยคดังกล่าวกับชีวิตมุสลิม
คำกล่าวปฏิญาณท่อนแรกมีนัยของความภักดีต่ออัลลอฮฺด้วยความบริสุทธิ์ใจ และปราศจากการตั้งภาคีใดๆ ส่วนคำกล่าวปฏิญาณท่อนที่สองมีนัยของการปฏิบัติตามนบี มูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) โดยไม่มีการอุตริใดๆในศาสนา
การที่อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)มายังโลกนี้ ก็เพื่อให้ท่านเผยแพร่คำสอนของอัลลอฮฺแก่มนุษยชาติทั้งมวล และมนุษยชาติก็สามารถนำแบบอย่างของท่านนบีมาปฏิบัติเป็นวิถีชีวิตอย่างถูกต้องสมบูรณ์
พึงทราบว่าการปฏิเสธและการดูถูกดูหมิ่นท่านนบี ขอให้เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้หลงผิดที่อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาและถูกปิดผนึกไม่ให้รับทางนำของอัลลอฮฺตามที่เกิดขึ้นในแถบยุโรปหรือแม้แต่ในโลกอาหรับเอง
ดังกรณีล่าสุดที่มีการเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนนบีมูฮำหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ที่เผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศเดนมาร์ก ซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติหน้าที่อันโสมมดังกล่าวอย่างสุดความสามารถแล้ว ในฐานะมุสลิม จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องไปแย่งอาชีพของพวกเขาเว้นแต่มุสลิมคนนั้นต้องการเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา - ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง-
จึงใคร่วิงวอนและเชิญชวนทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการศึกษาตลอดจนเรียนรู้อิสลามจากผู้รู้ที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการ เพราะทุกศาสตร์และแขนงวิชาจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของมัน และเหนือของผู้รู้ย่อมมีผู้รู้ที่เหนือกว่า
พึงทราบว่าอิสลามคือศาสนาของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงปกป้องพิทักษ์รักษาจนถึงวันกิยามะฮฺ ไม่มีผู้ใดหรือกลุ่มใดที่มีอภิสิทธิ์ตีความสารัตถะของอิสลามได้ตามอำเภอใจของตน
ขอดุอาต่อเอกองค์อัลลอฮฺทรงประทานเตาฟิกและฮิดายะฮฺแก่ทุกฝ่ายด้วยเทอญ
โอ้อัลลอฮฺ ฉันได้เผยแพร่คำสอนของพระองค์แล้ว ขอได้โปรดเป็นพยานด้วยเถิด
اللّهُمَّ هَلْ بَلَّغْتُ اللَّهُمَّ فَاشْهَدْ
اللّهُمَّ اهْدِ قَوْمَنَا فَإِنَّهُمْ لا يَعْلَمُونَ
والله الموفق والهادي إلى سواء السبيل
وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين
سبحان ربك رب العزة عما يصفون وسلام على المرسلين والحمد لله رب العالمين
iqraforum.com
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 55 17:24:07