จากความเห็นที่ ๒๓ ที่บอกมาว่า
เรื่องมันเกิดขึ้น ก็ตอนหลังจาก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ คลอดออกมาใหม่ ๆ
ขออธิบายที่มาที่ไปนิดนึง คือคณะสงฆ์ไทยในช่วงนั้น
กำลังมีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายมหานิกาย และฝ่ายธรรมยุติ
จริง ๆ ไม่ได้ขัดแย้งเลยพรวดเดียว แต่ปมเรื่องนี้มันสั่งสมมายาวนาน
ฝ่ายธรรมยุติ ซึ่งมีน้อยกว่า และมาใหม่ กลายเป็น "เด็กเส้น"
อำนาจแทบทุกอย่าง กองอยู่กับฝ่ายธรรมยุติ
และฝ่ายมหานิกาย กลายเป็นผู้เสียประโยชน์หลัก
เมื่อมี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ ที่ได้ให้สิทธิในกิจการต่าง ๆ
กับคณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายโดยเสมอภาคกัน ไม่มีเรื่องเส้นอีกแล้ว
ก็เริ่มเกิดการแข่งขันเสรี ในระหว่างสงฆ์สองฝ่าย
ซึ่งฝ่ายมหานิกายในขณะนั้น ซึ่งมีเจ้าคุณ พระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถระ)
ที่ได้ดำรงตำแหน่ง สังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษา เป็นหลักอยู่
ก็เริ่มมีความตื่นตัวในเรื่องของ วิปัสสนากัมมัฏฐาน
ซึ่งเมื่อก่อนเรื่องนี้เป็นของ ฝ่ายธรรมยุติ โดยเฉพาะ
แล้วฝ่ายมหานิกาย ก็ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ไปมุ่งปริยัติซะมาก
ผลก็เลยเป็นว่า ฝ่ายธรรมยุติเรียกศรัทธาจากมหาชนได้มากกว่า
ถึงขนาดวัดมหานิกายหลายวัด ก็มีการแปรญัตติไปเป็นวัดธรรมยุติก็มี
ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม ในช่วงนั้นท่านก็สนใจ
ในการพระพุทธศาสนาของทางพม่าอยู่แล้ว
เห็นว่าแนวธรรมปฏิบัติของท่าน พระมหาสีสยาดอว์ ก็เข้าท่าเข้าทาง
น่าจะนำเข้าประเทศไทย มาเปิดสำนักสอน
จะได้เรียกศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนได้บ้าง
สุดท้ายก็เลยส่งท่าน เจ้าคุณโชดก ป.ธ.9
ไปร่ำเรียนแนวธรรมปฏิบัตินี้ที่พม่า แล้วให้เอามาสอน
ก็เลยตั้งขึ้นเป็นสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน ณ วัดมหาธาตุ
ก็มีผู้สนใจมาศึกษาปฏิบัติมากมาย
แต่ทว่า ก็ยังมีอีกสำนักหนึ่ง ที่มี power ไม่น้อยไปกว่ากัน
และอยู่ในคณะสงฆ์มหานิกายเหมือนกัน
นั่นก็คือ สำนักวัดปากน้ำ นั่นเอง
เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของมหาชนไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน
และ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้เป็นเจ้าสำนักเอง
ก็เป็นครูอาจารย์ผู้มีภูมิรู้ภูมิปฏิบัติอย่างยิ่งรูปหนึ่ง
ขนาดคณะสงฆ์ธรรมยุติ ส่งเจ้าคุณ พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส)
ผู้เป็นศิษย์ื พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ
มาทำการสืบปฏิปทาทั้งทางลับ และเปิดเผย
แต่สุดท้าย ท่านก็ยอมรับในปฏิปทาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
แต่ทว่า ราชสีห์สองตัว ไม่มีทางอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ ฉันใดก็ฉันนั้น
ผมไม่อาจทราบได้ว่าท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม และเจ้าคุณโชดก
คิดยังไง และคิดจะทำอะไรกับสำนักวิปัสสนา แห่งวัดปากน้ำนี้
แต่ว่า ท่านเจ้าคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
คือ เป้าหมายอันดับ 1 ที่ท่าน ๆ เหล่านี้คิดจะ "ยึด" อย่างแน่นอน
เริ่มแรกสุด หลวงพ่อวัดปากน้ำก็ถูก "ชักชวนแกมบังคับ"
จากท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม ให้มาเรียนกับท่านเจ้าคุณโชดก
ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านก็ไม่ได้สนใจ
ถ้าท่านสนใจ ท่านก็ไปหาเองถึงสำนักวัดมหาธาตุตั้งนานแล้ว
เพราะสำนักวัดมหาธาตุ และวัดปากน้ำ ก็ไม่ได้ไกลอะไรเลย
แต่ด้วยความที่เป็นผู้น้อย ก็เลยต้องรับ ๆ ไป แต่ก็รับด้วยข้อแม้อย่างหนึ่ง
คือท่านเจ้าคุณโชดก จะต้องมาสอนที่วัดปากน้ำ แทนที่จะให้ท่านไปหาเอง
ผมต้องยอมรับครับ ว่าถึงแม้หลวงพ่อวัดปากน้ำจะมีอำนาจต่อรองน้อย
แต่ก็ต่อรองได้อย่าง "มีชั้นเชิง" ไม่เสียเชิงให้พระผู้ใหญ่เสียทีเดียว
แล้วการสอนครั้งนั้น ก็เกิดขึ้นจนได้ในที่สุด แต่ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านเป็นนักปฏิบัติระดับครูอาจารย์
และไม่มีทางเสียเชิงครู ให้กับท่านเจ้าคุณโชดกแน่นอน
ระดับหลวงพ่อวัดปากน้ำ การดัก(ใจ)เจ้าคุณโชดกล่วงหน้า ก็ไม่ใช่ของยาก
การสอนในครั้งนั้น ก็คงเป็นไปแบบ win-win situation
เจ้าคุณโชดกก็ happy เพราะคงคิดว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่านอนสอนง่ายดี ไม่ดื้อ ไม่เถียง ให้ทำอะไร ทำหมด
แต่ลึก ๆ หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านก็คง happy ไม่น้อย
เพราะจริง ๆ ท่านก็ไม่ได้เลิกตามนั้นหรอกครับ
ท่านก็ยังยึดวิชชาธรรมกายอย่างมั่นคง จนกระทั่งท่านถึงแก่มรณภาพ
ข้างนอกของท่านที่เห็นว่ายอมตามทุกอย่าง
จริง ๆ ท่านคงยอม ๆ ให้เรื่องจบ ๆ ไป จะได้ไม่ต้องเยิ่นเย้ออีก
แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ win-win เสียทีเดียว
เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำ ยังต้องเซ็นรับรองให้อีก
ในทำนองที่ว่ายอมรับสำนักวัดมหาธาตุแล้ว
แต่ท่านก็ได้ลงชื่อ วันที่ พร้อมระบุเอาไว้เพียงแค่ว่า
ให้สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุ ในโอกาสที่ได้เข้าฝึกตามแบบสำนักนี้
และรับรองว่า การสอนนั้นเป็นไปตามมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ
ในมุมมองของสำนักวัดมหาธาตุ คงมองว่า
นี่คือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของสำนักวัดมหาธาตุ เหนือสำนักวัดปากน้ำ
แต่มันไม่ได้ชนะง่ายขนาดนั้นหรอกครับ
เพราะในข้อความนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำ
ก็มิได้ปฏิเสธแนวธรรมปฏิบัติของตนเองแต่ประการใด
แต่ไม่ทราบว่าอย่างไรเหมือนกัน เพราะภายหลังก็มีการสร้างเรื่องลือขึ้นมาว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านได้เลิกวิชชาธรรมกายแล้ว
ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของใครเหมือนกัน
แต่ลงท้าย ก็มาอยู่ที่ลายมือหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ว่า
ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ไม่มีความหนักแน่นเพียงพอที่จะสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้
สำนักวัดปากน้ำ และวิชชาธรรมกาย หลังจากนั้น
อยู่มาอย่างสงบ และไม่ถูกรุกราน มาหลายสิบปี
มีการเผยแผ่วิชชาธรรมกายอย่างกว้างขวางมากขึ้น
โดยที่มหาชนในอดีต ได้ให้การยอมรับเสมอมา
การดำเนินการ ก็สามารถทำได้ดี ไม่มีช่องโหว่
แต่พอมาที่ วัดพระธรรมกาย ซึ่งมีช่องโหว่ในการดำเนินการ
ไม่ใช่แค่ช่องโหว่ แต่เป็นรูรั่วขนาดมหึมา
คณะสงฆ์ไทย ก็ได้เพ่งเล็งมาที่วัดพระธรรมกาย ในทศวรรษที่ผ่านมา
แต่ปัญหาเรื่องนี้ โดยเนื้อแท้คือปัญหาเรื่องการระดมทุน ที่มากจนเกินพอดี
และความไม่โปร่งใสของเจ้าอาวาส
แต่ไม่ทราบว่าอย่างไร ใครที่ไหนไม่รู้ กลับลากเอาเรื่องวิชชาธรรมกาย
ที่จริง ๆ มิได้เกี่ยวกับปัญหานี้เลย เข้าไปโจมตีแบบ "ตีวัวกระทบคราด"
ราวกับว่ารอจังหวะโจมตีมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว
และท่านผู้ตั้งประัเด็นโจมตี ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า
หากดูดี ๆ ท่านผู้นี้เป็นนิสิตเก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ซึ่งผูกพันกับสำนักวิปัสสนาจากวัดมหาธาตุ อย่างแน่นแฟ้น
ขนาดอบรมวิปัสสนา ก็ต้องเป็นสำนักวัดมหาธาตุเท่านั้น
จะว่าสำนักวิปัสสนาแห่งวัดมหาธาตุ จะไม่มีส่วนร่วม
ในการทารุณกรรมสำนักวัดปากน้ำ และวิชชาธรรมกาย ในครั้งนี้ ก็มิได้
ผมต้องขอชี้แจงอย่างหนึ่งว่า สำนักวัดปากน้ำ
และสำนักลูกของวัดปากน้ำ ที่มีการสืบทอดวิชชาธรรมกาย อย่างถูกต้อง
ไม่มีการรุกราน ชี้ถูกชี้ผิดสำนักอื่นว่าเขาผิด แล้วชูว่าสำนักตัวเองถูก
เหมือนกับที่ภิกษุในคลิปใน #23 พูด
ขออภัยที่พาออกนอกประเด็นมามากแล้ว
แต่ผมก็จำต้องขอ เรียกร้องความเป็นธรรม ให้กับหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ที่ถูกนำไปเป็นเครื่องมือ ในโกหัญวิธีครั้งนี้ อย่างไม่เป็นธรรม
ผมมิได้ต้องการอกตัญญูพระพุทธเจ้า ด้วยการกตัญญูต่อบุรพาจารย์
แต่ผมขอทำ เพื่อรักษาความถูกต้อง และยุติธรรม ตามที่ควรจะทำ
และผมก็มิได้ทำ เพื่อวัดใดวัดหนึ่ง องค์กรใดองค์กรหนึ่ง
แต่ผมทำเพื่อประโยชน์ของมหาชนชาวโลก
ที่จะได้รู้ถึงความเป็นจริงของ "วิชชาธรรมกาย"
ไม่ต้องถูกหลอก ถูกต้ม โดยบุคคลผู้ไม่รู้จริงต่อไป
เครือสำนักวัดปากน้ำ "ไม่สู้ ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป" มา 50 กว่าปีแล้ว
แต่ทว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำ ก็ยังถูกกลุ่มบุคคลเหล่านั้น
ใช้เป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง ไม่ทราบว่าเพื่ออะไรกัน
อยากให้สำนักตนเป็นหนึ่งเดียวในประเทศ กระนั้นหรือ
(ผมทำหน้าที่ของผมแล้ว จะทำอะไรผมก็เชิญ)