พระพุทธองค์ทรงมีรับสั่งว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรแสดงอุตตริมนุสสธรรมอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์แก่พวกคฤหัสถ์ทั้งหลาย ผู้ใดขืนแสดงต้องอาบัติ ทุกกฎ
อาเทสนาปฏิหาริย์
[๓๔๐] ดูก่อนเกวัฏฏะ ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมทายใจ ทายความรู้สึกในใจ ทายความตรึก
ทายความตรองของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า ใจของท่านเป็นอย่างนี้บ้าง
ใจของท่านเป็นไปโดยอาการนี้บ้าง จิตของท่านเป็นดังนี้บ้าง.
บุคคลบางคน มีศรัทธาเลื่อมใสเห็นภิกษุนั่นทายใจ ทายความรู้สึกในใจ
ทายความตรึก ทายความตรองของสัตว์อื่นบุคคลอื่นได้
ว่าใจของท่านเป็นอย่างนี้บ้าง ใจของท่านเป็นไปโดยอาการนี้บ้าง
จิตของท่านเป็นดังนี้บ้าง.
ครั้นแล้วผู้มีศรัทธาเลื่อมใสบอกแก่คนที่ไม่มีศรัทธาไม่มีความเลื่อมใสคนใดคนหนึ่งว่า
พ่อมหาจำเริญ น่าอัศจรรย์จริงหนอ น่าพิศวงจริงหนอ
ความที่สมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
ข้าพเจ้าได้เห็นภิกษุรูปนี้ทายใจ ทายความรู้สึกในใจ
ทายความตรึก ทายความตรอง ของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า
ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการอย่างนี้ จิตของท่านเป็นดังนี้
ครั้นแล้วผู้ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสจะพึงกล่าวกะผู้มีศรัทธาผู้มีความเลื่อมใสว่า
นี่แน่พ่อคุณ มีวิชาอยู่อย่างหนึ่งชื่อมณิกา
ภิกษุรูปนั้นทายใจ ทายความรู้สึกในใจ
ทายความตรึก ทายความตรองของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า
ใจของท่านเป็นอย่างนี้ ใจของท่านเป็นไปโดยอาการอย่างนี้
จิตของท่านเป็นดังนี้ ด้วยวิชาชื่อว่ามณิกานั้น
ดูก่อนเกวัฏฏะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
คนผู้ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสนั้นจะพึงกล่าวกะคนผู้มีศรัทธาเลื่อมใสนั้นบ้างไหม
พึงกล่าวพระเจ้าข้า
ดูก่อนเกวัฏฏะ เราเห็นโทษในอาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างนี้แล
จึงอึดอัด ระอา รังเกียจอาเทสนาปาฏิหาริย์.
ที่มา: เกวัฏฏสูตร ๙ [๓๔๐] ๓๐๗ - ๓๐๘
คำว่าอุตริมนุสสธรรม หมายถึงคุณวิเศษที่ภิกษุเจริญกรรมฐาน
หรือเจริญสมาธิจิตจนได้บรรลุคุณธรรมวิเศษ
อันได้แก่ ฌาน เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุถฌาน
วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ฌาน (เช่น วิชชา ๓ อภิญญา ๖)
มรรคภาวนา มรรคผล (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล)
วิมุตติ ปิติ หรือความยินดีในฌาน เป็นต้น
ภิกษุอวดอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีในตน ต้องอาบัติปาราชิก
เช่น ภิกษุประกาศตนว่าได้บรรลุอรหันต์หรือบรรลุอนาคามี เป็นต้น ต้องอาบัติแล้ว
อนึ่ง การอวดคุณวิเศษนี้ เมื่อภิกษุกล่าวอวดอ้างไปแล้ว ผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ถือเป็นสำคัญ
เมื่อมีเจตนาที่จะอวด และผู้ฟังได้ฟังรู้เรื่อง ก็ถือว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
แต่ถ้าหากพูดแล้วผู้ฟัง ฟังไม่เข้าใจ หรือไม่ทราบความหมายของคำพูดนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติถุลลัจจัย
และถ้าภิกษุรูปนั้นพูดบอกคุณวิเศษซึ่งไม่มีในตนของภิกษุรูปอื่นให้แก่บุคคลอื่น
ถ้าเขาเข้าใจคำพูดของภิกษุนั้นว่าหมายถึงภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ถ้าเขาไม่เข้าใจต้องอาบัติทุกกฎ
ภิกษุผู้พูดอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีจริงและต้องอาบัตินั้น
จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ คือ
๑. เบื้องต้นเธอรู้ว่าตนเองจักกล่าวเท็จ
๒. กำลังกล่าวเท็จอยู่ก็รู้ว่ากล่าวเท็จ
๓. ครั้นกล่าวแล้วก็รู้ว่าตนกล่าวเท็จแล้ว
คำว่า " อวด " มีอาการ ๓ อย่าง
๑. อวด (โกหก) อวดตรง ๆ กับคนคนเดียว ว่าข้าพเจ้าถึงธรรมอย่างนั้น ๆ ถ้าผู้นั้นเข้าใจคำพูด ต้องปาราชิก, ถ้าไม่เข้าใจ ต้องถุลลัจจัย.
๒. อวดตรง ๆ กับคนมาก ถ้าเขาเข้าใจคำพูดแม้เพียงคนเดียวก็ต้องปาราชิก, ถ้าไม่เข้าใจ ต้องถุลลัจจัย.
๓. อวดโดยอ้อม คืออ้างลักษณะก็ดี อ้างบริขารเป็นต้นก็ดีว่าภิกษุมีรูปร่างเช่นนั้นๆ ใช้บาตรเช่นนั้น ๆ โดยหมายใจให้ผู้ฟังเข้าใจว่าตนได้บรรลุธรรมเช่นนั้น ๆ ถ้าผู้ฟังเข้าใจ ต้องถุลลัจจัย ถ้าไม่เข้าใจต้องทุกกฏ.
การอวดทั้ง ๓ อย่างนี้ ผู้ฟังจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นประมาณ แต่ถืออาการเข้าใจหรือความไม่เข้าใจเป็นประมาณ.
- สิกขาบทนี้ เป็นสจิตตกะ.
- เชื่อหรือไม่ ไม่สำคัญ.
สจิตตกะ-อจิตตกะ
อาบัติทั้งหมดนั้น เพ่งเอาเจตนาเป็นที่ตั้ง แบ่งออกเป็น ๒ พวกคือ :-
๑. สจิตตกะ เกิดขึ้นโดยสมุฏฐานที่มีเจตนา.
๒. อจิตตกะ เกิดขึ้นโดยสมุฏฐานที่ไม่มีเจตนา.
ทางกำหนดรู้อาบัติที่เป็นสจิตตกะ หรือ อจิตตกะ นั้น อยู่ที่รูปความและโวหาร (คำพูด) ในสิกขาบทนั้น ๆ นั่นเอง
ตัวอย่างคำถาม ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรมแก่คนหลายคน เขาเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อยากทราบว่า ผู้อวดต้องอาบัติอะไร ?
ตอบ ถ้าไม่มี อวด เขาเข้าใจแม้คนเดียว ต้องปาราชิก. ถ้าเขาไม่เข้าใจ ต้องถุลลัจจัย.
ถ้ามี, อวดแก่อนุปสัมบัน ต้องปาจิตตีย์.
ถ้ามี, อวดแก่ภิกษุ ไม่ต้องอาบัติ. เขาจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นประมาณ.
อ้างอิง พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต
พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุด คำวัด, วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ พ.ศ. 2548 และคุณ ben2495@hotmail.com
http://www.watphaidam.com/dm/vinal-remembertee.htm
แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 00:31:06
แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 00:12:08
แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 00:06:53
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 55 23:49:35
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 55 23:40:38
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 55 23:32:17