|
ข้อมูลจากตอนที่แล้ว "อานาปานสติ" (ผมจะลงในทุกๆตอนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ อานาปานสติตอนที่ 2 )
***ใข้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ เป็นการรวบรวมองค์ความรู้จากครูบาอาจารย์เป็นการสรุปรวบยอด*** อานาปานสติ ตอนที่ 1 " 3 ไม่ "
ไม่บังคับ ไม่หวัง ไม่ยึด
ขยายความ
1.ไม่บังคับ = ไม่บังคับลมหายใจ
นี้คือปัญหาหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติพบอุปสรรคข้อนี้มาก หากผู้ปฏิบัติได้รับยินพระอาจารย์หรือวิทยากรบอกให้กำหนดลมหายใจ ผู้ปฏิบัติใหม่แทบจะทุกคนจะเพ่งไปที่ลมอย่างหนักหน่วง(จะใช้คำพูดว่าอย่างไรดี?อีกประโยคคือ จดจ่อลมทำให้การหายใจไม่เป็นธรรมชาติ) จนทำให้การหายใจของร่างกายไม่เป็นธรรมชาติ
โดยหลักแล้ว ร่างกายมีการหายใจเข้า-ออก เป็นปรกติเป็นอัตโนมัติของการหายใจอยู่แล้ว(ร่างกายต้องการอ๊อกซิเจนจากอากาศเท่าไหร่ ร่างกายจะหายใจเข้าออกตามอัตราที่ร่างกายต้องการ เช่น เมื่อเราวิ่ง เราจะหายใจเพิ่มมากขึ้น เพราะอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายต้องการอ๊อกซิเจนในการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ต่างๆ ยามเราหลับ ร่างกายจะหายใจลดลงเพราะไม่ต้องใช้พลังงานมาก เป็นต้น)
การเจริญอานาปานสติ เป็นการมีสติรู้ถึงการที่ร่างกายหายใจเข้าออกที่เป็นธรรมชาติอยู่นั้น ... จะมีเทคนิคอย่างไรก็ได้ แต่ต้องเข้าหลัก คือ "ให้การรับรู้ลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด"
อาการที่พบหากไม่ไปบังคับลม จะมีการรับรู้ลมอย่างแพ่วเบาไม่หนักเหมือนบังคับลม
เมื่อมีการไปบังคับลม อาจจะทำให้เกิดอาการปวดหัว ปวดตัว เนื่องจาก จิตไปบังคับ(จิตสามารถบังคับการหายใจได้ระดับหนึ่ง เช่น เรากลั้นลมหายใจไว้ได้ระยะหนึ่ง) การหายใจที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ร่างกายไม่ได้ลมตามที่ต้องการ มากหรือน้อยไป
"การไม่บังคับลมหายใจนี้ มีผลการปฏิบัติให้ทราบได้อีกประการ คือ เมื่อนั่งอานาปานสติจะเกิดสุขเวทนาทางกาย จะนั่งไม่เมื่อยขบ ร่างกายเบาสบาย นั่งได้เป็นชั่วโมงๆ"
1.1 หากยังทำตามข้อที่ 1 ยังไม่ได้ ก็ลองนั่งแล้วสังเกตบริเวณไหล่ของเราที่กระเพื่อมขึ้นลง (เมื่อไหล่ยกขึ้นสูงนั้นคือการหายใจเข้า นั่งสังเกตเมื่อไหล่ยกให้รีบกลับมาสังเกตลมหายใจเข้าจะได้ทราบว่าการไม่บังคับลมเป็นอย่างไร) เมื่อหายใจออกไหล่จะตกลงจากการหายใจเข้า พอรับรู้แล้วก็ใช้สติกลับมาดูที่ลมหายใจออกดูว่าการลมหายใจออกที่ไม่บังคับเป็นอย่างไร)
2.ไม่หวัง=ไม่คาดหวังผลการปฏิบัติ ,ไม่ยินดียินร้ายผลการปฏิบัติ แม้จะได้ผลดีหรือไม่ดี
ทำกรรมฐานทุกชนิด(ไม่เฉพาะอานาปานสติ) ให้ทำแบบสบายๆ ไม่คาดหวัง ไม่ซีเรียส
2.1.ทำ "เหตุ"ให้ดีที่สุด
เช่น พระพุทธองค์ตรัสให้มีสติกับลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ายาวก็รู้ชัดลมหายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าลมหายใจเข้าสั้น เราก็ปฏิบัติเหตุคือ มีสติกับลมหายใจเข้า-ออกตามที่พระองค์แนะนำ โดยไม่ต้องใจร้อนว่าเมื่อไหร่จะเข้าฌานเสียที หรือ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
"สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือสิ่งที่ทำอยู่ขณะนั้นๆ"
เมื่อทำเหตุถูกต้อง ผลที่ถูกต้องย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ผลการปฏิบัติืที่ดีไม่ได้เกิดจากความคาดหวังหรือคิดอะไรฟุ้งซ่านไปล่วงหน้า แต่เกิดจากการทำเหตุที่ถูกต้อง(ย้ำอีกที)
2.2.ไม่คาดหวัง(บางคนที่มีนิสัยคาดหวังสูงๆ หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติ อาจจะต้องตั้งเป้าหมายไว้ต่ำๆ เช่น วันนี้นั่งได้ดีแค่ 1 นาที ก็พอ ที่เหลือคือการฝึกฝนว่าจิตหนีไปคิดแล้วจะมีอุบายอย่างไรในการนำจิตมามีสติกับลมหายใจให้มากขึ้น)
ไม่ยินดียินร้ายผลการปฏิบัติ ถ้าทำได้ดีติดต่อกัน ก็ไม่ไปตั้งความหวังว่าครั้งต่อไปจะดีเหมือนกัน ทำได้ดีก็รับรู้ไว้ว่าทำได้ดี หากทำได้ไม่ดีก็รับรู้ว่าทำได้ไม่ดี
(ไม่นำหลักการทำงานที่ใช้ในการทำงานทั่วๆไปที่ต้องมีการเร่งรัด หรือ ทะยานให้เข้าสู่เป้าหมายให้เร็วที่สุด การปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติเพื่อละกิเลส ไม่ใช่ตามใจกิเลส )
3. ไม่ยึด= "ไม่ยึดเป็นเจ้าของลมหายใจ" ...ผู้ปฏิบัติเป็นเพียงนักสังเกตการณ์เฝ้าดูลมหายใจ
เหมือนเรากำลังดูสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฎเฉพาะหน้า ลมหายใจเข้า-ออกที่เกิดขึ้นแล้ว ดับไป ....
"ดูอาการลมเข้า-ออกเฉยๆไม่ยึดเป็นเจ้าของ"
----------------------------------------------
เพิ่มเติม
4.กำหนดสติที่ลมหายใจเข้าออกได้ 2 ลักษณะ แล้วแต่คนถนัด
4.1 บางคนถนัดกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออกที่ปลายจมูก เมื่อลมหายใจแผ่วเบามากๆ จนจับไม่ได้ที่ปลายจมูก ให้ระลึกรู้ลมหายใจใน 4.2 (ซึ่งในขณะที่ลมหายใจแผ่วเบามากๆ จิตจะมีสุขเวทนาเกิดขึ้นก็สลับรู้กับลมหายใจเข้า-ออก จะมีการอธิบายในขั้นตอนต่อๆไป) หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจทางจมูก เป็นโรคภูมิแพ้คัดจมูกตลอดเวลา ไม่สามารถตั้งสติตามรู้ลมหายใจที่ปลายจมูกได้ก็แนะนำข้อ 4.2
4.2 กำหนดตามรู้ลมหายใจเข้าตั้งแต่จมูกถึงท้อง และ หายใจออกตั้งแต่ท้องถึงจมูก
(บางท่านถนัดบริกรรมก็แล้วแต่ความถนัด เช่น บริกรรมพุทธ-โธ หรือ อื่นๆ เมื่อจิตเข้าสู่สมาธิที่ลึกขึ้น คำบริกรรมจะหายไปเอง)
5.เมื่อเกิดอาการต่างๆในจิต เช่น รู้สึกมีโทสะ หรือ มีสุข เกิดความคิดปรุงแต่งต่างๆ หรือมีสมาธิมากๆเกิดนิมิต เกิดสิ่งใดอย่างไรก็แล้วแต่ ให้รู้สึกตัวว่าขณะนั้นเกำลังคิด หรือกำลังโกรธ กำลังเกิดนิมิต แล้วกลับเข้ามามีสติกับการหายใจเข้าออกต่อไป
6.หากเป็นไปได้ควรเจริญอานาปานสติทุกวัน ในเวลาเท่าที่โอกาสอำนวย(จะ 1 นาทีก็ได้ ยิ่งมากยิ่งดี) เพื่อสร้างความชำนาญในการปฏิบัติอานาปานสติ
**ตัวท่านเท่านั้นที่จะ "สร้างความเพียร" เพื่อการปฏิบัติพ้นจากความทุกข์ แม้หนทางจะยาวไกลเพียงใด "ความเพียร" ก้าวแรกสำคัญเสมอและ ก้าวต่อไปเป็น"ความเพียร"ที่ตัวท่านเองก็ต้องทำด้วยตนเอง**
จากคุณ |
:
ต่อmcu
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ม.ค. 55 08:14:42
|
|
|
|
|