ความคิดเห็นที่ 1 อัคคัญญสูตร ที่ ๔             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑  บรรทัดที่ ๑๗๐๓ - ๒๑๒๙.  หน้าที่  ๗๑ - ๘๘. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=11&A=1703&Z=2129&pagebreak=0             ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=51 --------------------------------------------- หน่วยที่ ๘ อัคคัญญสูตรกับทฤษฎีวิวัฒนาการ http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums2/http/www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5396155/Y5396155.html ๒. ทฤษฎีวิวัฒนาการคืออะไร ? ในศตวรรษที่ ๑๙ เกิดหลักการที่มีอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์ปรัชญา และศาสนามาก เราเรียกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution) ซึ่งมีหลักการว่าองค์อวัยวะของสิ่งมีชีวิตได้เจริญเติบโตมาก็โดยเนื่องมาจากปฏิบัติการทางธรรมชาติเป็นเหตุ จากรูปแบบที่ง่ายๆ ในระยะเริ่มแรก และต่อมาก็ไม่มีชาติพันธุ์ใดจะคงที่อยู่เหมือนเดิม โดยไม่เปลี่ยนแปลง นักปรัชญายอมรับความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ ตัวอย่างเช่น เฮแรคลิตุส ได้ย้ำว่าความเจริญและความเปลี่ยนแปลงสถิตอยู่ในระบบหรือขบวนการของจักรวาล ในขณะที่ ลูคริตุส ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในจักรวาลมีรากฐานที่ระบบปรมาณูและแรงผลักดันที่มีเหตุจากธรรมชาติ ในระหว่างศตวรรษที่ ๑๘ นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่า สัตว์ชนิดต่างๆ อาจมีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน และสิ่งแวดล้อมได้มีผลทำให้สัตว์ตระกูลต่างๆ เหล่านั้นแตกต่างกันออกไป ในศตวรรษต่อมา ก็มีคนพิสูจน์เรื่ององค์ประกอบและมิใช่องค์ประกอบที่มีผลจากธรรมชาติ ในหนังสือ Principles of Geology แสดงว่าก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนไปโดยตัวแทนทางธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ปี (ค.ศ. ๑๘๐๒) พ.ศ.๒๓๔๕ จีน แบบติส เดอร์ ลามาร์ค (ค.ศ. ๑๗๔๔-๑๘๒๙) ยืนยันว่าทุกอวัยวะ (องคาพยพ) มีแนวที่จะสร้างอวัยวะใหม่ขึ้น เพื่อปรับตนเองให้เข้ากับปัจจัยทางธรรมชาติที่เปลี่ยนไป ด้วยการพัฒนาอวัยวะเป็นเครื่องวัดถึงประโยชน์ของมัน การเปลี่ยนรูปร่างอวัยวะ ถูกแปรออกมาทางพันธุกรรมตามบรรพบุรุษ รูปร่างก็เปลี่ยนไปด้วย Lamark ได้ยกตัวอย่าง ยีราป ซึ่งพัฒนาคอของมันให้ยาวเพื่อกินใบไม้และ ต้นไม้ที่สูงๆ ได้ ช่วงชีวิตหนึ่งๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยต่อรุ่นต่อมา ผู้ที่ให้เกิดความฮือฮามากที่สุดคือนักวิทยาศาสตร์ ชื่อ ชารลส์ ดาร์วิน (Charles Dawin ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๘๒) เขาได้สรุปหลังจากได้สังเกตเป็นเวลาหลายปี ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๓๑- ๑๘๓๖ โดยศึกษาโครงกระดูก ซึ่งรวบรวมได้จากการเดินทาง บิแองเกิล โดยอาศัยชายฝั่งอเมริกาใต้ และทะเลใต้ เขาได้รับแรงบันดาลจากหนังสือ ๒ เล่ม คือ.- ๑. Principles of Geology by Lyell ๒. Essay on Population by Robert Malthus ซึ่งถือว่า ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมาจากธรรมชาติ natural causes และการขยายตัวของประชากรมนุษย์และการผลิตอาหารไม่เพียงพอมีผลต่อธรรมชาติทั้งปวง ดาร์วิน ได้เขียนหนังสือชื่อว่า On the origin of Species by means of Natural Selection, or the Presentation of Favoeced Races in the Struggle for Life. (การศึกษากำเนิดมนุษย์โดยสะสมโครงกระดูกตามธรรมชาติ หรือการรักษาชาติพันธุ์ด้วยการต่อสู้เพื่อชีวิตคงอยู่) Wallace, Alfred R. ได้ศึกษาลุ่มน้ำอเมซอน และเนเธอร์แลนด์ ก็เกิด ความคิดเช่นเดียวกันกับดาร์วิน ปี ๑๘๗๑ ดาร์วินได้ตีพิมพ์เรื่อง The Descent of Man and Selection in Relation to Sex ซึ่งได้จัดความคิดให้เป็นระบบและประยุกต์กฎ (Law) แห่งโครงกระดูกมาใช้กับมนุษย์ เขาได้เสนอความเห็นไม่ตรงกับคนอื่น และสรุปว่า บรรพบุรุษของมนุษย์น่าจะเป็นสัตว์คล้ายๆลิง เมื่อเปรียบเทียบกับโครงร่างของอุรังอุตัง ซิมแปนซี่ และคอริลล่า เขาเขียนไว้อย่างไม่สะทกสะท้านว่า แม้ว่ามนุษย์จะประเสริฐเลิศลอยอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อวิเคราะห์ลึก (ชำแหละลึก) ลงไปถึงความเปลี่ยนแปลงและกฎของระบบสุริยจักรวาลแล้ว มนุษย์ก็ยังคงมีร่างกายคล้ายกัน บรรพชนซึ่งเป็นต้น กำเนิดในระยะเริ่มแรก จุดสมมติฐานของดาร์วิน ๓ ประการ คือ. ๑) พืช และสัตว์ มีบรรพบุรุษมาแต่เดิมที่สืบทอดกันมา ๒) วิวัฒนาการเกิดจากทางเลือกตามธรรมชาติ คือสร้างคนรุ่นใหม่ให้สมบูรณ์กว่าเดิม ให้ต่อสู้เพื่อดำรงตนอยู่ได้ท่ามกลางธรรมชาติ สิ่งที่อยู่ได้คือสิ่งที่สามารถปรับตัวเข้าได้กับสิ่งแวดล้อม ความเหมาะสมจะถ่ายทอดผ่านทางช่วงอายุ ๓) ความแตกต่างในระหว่างชาติพันธุ์เกิดจากทางเลือกในด้านสืบพันธุ์ด้วย (Sexual Selection) ในปัจจุบัน สามารถค้นพบการแปรผันในพันธุกรรม สามารถทำได้โดยวิธีการต่างๆ เช่นการผสมเทียม การตอนต่อ แม้กระทั่งมนุษย์ในหลอดแก้ว ๓. ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างแนวคิดทั้งสอง ก. ข้อเหมือน ๑) ทั้งอัคคัญญสูตร และทฤษฎีวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์เป็นขั้นเป็นตอน ตามเหตุปัจจัย ตามกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของโลก ๒)ทั้งทัศนะของพระพุทธเจ้าและดาร์วิน ต่างก็มองมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์มนุษย์เอง ด้วยการกระทำหรือการงาน ที่เรียกว่าวรรณะ ก็แบ่งด้วยเหตุผลทางการงาน มนุษย์จึงเลือกอนาคตของตนเองได้ ๓)ทั้งสองยอมรับว่า ในระยะแรกมนุษย์มีความเป็นอยู่ง่ายๆ แบบธรรมชาติ ไม่ซับซ้อน (unorganized simplicity) ต่อมาก็ได้ขยายตัวออกเป็นสังคมที่มีอารยธรรมสลับซับซ้อน (organized complexity) ข. ข้อแตกต่าง ๑) อัคคัญญสูตร เป็นผลแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นความรู้เกิดจากสัพพัญญุตญาณ-สัมมาสัมโพธิญาณ แต่ทางทฤษฎีวิวัฒนาการเกิดจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยอาศัย รวบรวมข้อมูลการสังเกตวิเคราะห์พิสูจน์ แล้วตั้งเป็นหลัก ๒) ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่เกี่ยวข้องกับความดีความชั่ว ศีลธรรมของมนุษย์ เป็นการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลก พืช สัตว์ และมนุษย์ เท่านั้น ในขณะที่อัคคัญญสูตรได้กล่าวถึง ความดีความชั่ว ที่เรียกว่า คนจะเลวก็เพราะทุจริต จะดีก็เพราะสุจริต จะดับทุกข์ได้ก็เพราะการสำรวม และเจริญโพธิปักขิยธรรม ๓๗ สรุปว่า ผู้ประกอบด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่เทวดาและมนุษย์ ๓) อัคคัญญสูตร ได้กล่าวถึงเทพประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่าอาภัสสรพรหม ซึ่งมาสัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของโลก จากโลกมืด เทพสว่างจนถึงโลกสว่าง เทพมืดคือดับแสงในตัวจนถึงวิวัฒนาการของร่างกาย พืชและสิ่งแวดล้อมจนถึงเกิดวรรณะและหน้าที่ของคน แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเทพ แต่กล่าวถึงสัตว์มีเซลล์เดียวและวิวัฒนาการมาจนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมีกระดูกสันหลัง จนถึง apeman มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงมนุษย์ยุคประวัติศาสตร์ ๔) ผู้ค้นพบวิวัฒนาการ คือ นักวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แฮแรคลิตุส, ลูคลิตุส, ลามาร์ค และดาร์วิน แต่ผู้แสดงอัคคัญญสูตร คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 06:46:38

ความคิดเห็นที่ 2 ใครสร้างสวรรค์ใครสร้างนรกตามหลักศาสนาพุทธด้วย ผมสงสัยมานานแล้ว อีกอย่างคัมภีไตรปีฎก(คำแปล)ที่ใช้ในประเทศไทยเป็นไตรปีฏกเวอร์ชั้นเดียวกันกับที่่ใช้ในศรีลังกาหรือไม่? อีกอย่างความเชื่อเรื่องไม่มีผู้สร้างเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง  เป็นไปได้หรอที่พุทธจะไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของผู้สร้าง   อีกอย่างในเมือค้นพบไตรปีฎกโบราณที่อัฟการนิสฐานทำไหมไม่เปลียนไปใช้ของที่พบที่อัฟกานิสถานเพราะมันเกากว่า หรือว่าของที่พบมีเนื้อหาเหมือนกับของปัจจุบัน จากคุณ : ใจนิ่ง เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 07:02:16

ความคิดเห็นที่ 3 "สงสัยว่าใครสร้างโลก และทุกสิ่ง หลักศาสนาพุทธมีคำตอบให้ได้ไหม".... พุทธศาสนาตอบว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เกิดจากเหตุและปัจจัยครับ "ใครสร้างสวรรค์ใครสร้างนรกตามหลักศาสนาพุทธด้วย"..... จิตหรือใจเราเป็นผู้สร้างสวรรคสร้างนรกเองครับเองครับ.... ดูขั้นตอนการสร้างสวรรค์สร้างนรกในใจตามนี้ครับ.. อวิชชา->สังขาร->วิญญาณ->นามรูป->ผัสสะ->เวทนา->ตัญหา->อุปาทาน->ภพ->ชาติ->ชรา.....ไปเป็นวนรอบตายสายปฎิจสมุปบาทครับ จากคุณ : โกวิทย์ (โกวิทย์) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 07:16:30

ความคิดเห็นที่ 4 ความหมายของคำถามคือ  โลก  และทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร  ไม่ใช่วิวัฒนาการหล่ะค่ะ  เพราะว่าอันนั้นมันแน่อยู่แล้ว ว่าสิ่งมีชีวิตต้องมีการพัฒนาตนเองเพื่อความอยู่รอด   แล้วบางความคิด บอกว่า  เกิดจากแรงดัน หรือ การเสียดสีทางวิทยาศาสตร์ แต่อยากถามว่า  อะไรปรากฎการณ์นั้นขึ้นมา  เพราะ สสาร  ถ้าไม่มีอะไรหรือสิ่งใด ไปทำอะไรมัน  จู่ๆ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ไหม  แล้วถ้าจู่ๆ มันเกิดขึ้น  ก็เลยสงสัยว่า อะไรที่ทำให้มันเกิดขึ้น ถ้าบอกว่ามนุษย์ วิวัฒนาการมาจากลิง  แล้วเอาง่ายๆ  ลิงตัวแรก  มาจากไหน ตอนนี้เอาแค่ สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมก่อน คือ จักวาล โลก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก  และ มนุษย์คู่แรกเกิดมาจากอะไร จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 07:50:12

ความคิดเห็นที่ 5 รูปธรรม+นามธรรม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยดังที่ คคห.3 กล่าวมาครับ จากคุณ : msdossys เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 08:28:26

ความคิดเห็นที่ 6 ในศาสนาพุทธ มีเหตุแห่งโลก แต่ไม่มีผู้สร้างโลก มีลิง มีคน แต่ไม่มีลิงตัวแรก ไม่มีมนุษย์คู่แรก สิ่งทั้งหลาย ที่เกิดมีเหตุเกิดตามหลัก ปฏิจสมุปบาท ใครถามว่า พระเจ้าในศาสนาพุทธมีไหม ตอบว่าไม่มี จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 08:29:27

ความคิดเห็นที่ 7 ทางศาสนาพุทธ ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุดครับ มันเป็นอย่างนี้มานับไม่ถ้วน เกิดๆ ดับๆ ส่วนสิ่งมีชีวิตต่างๆที่กำเนิดขึ้นมานั้น เพราะความไม่รู้ ศึกษาการกำเนิดสิ่งมีชีวิตคร่าวๆ ได้จาก http://th.wikipedia.org/wiki/ปฏิจสมุปบาท ส่วนสัปดาห์หนึ่งที่มี 7 วัน อ่านความคิดเห็นที่ 7 จากกระทู้นี้ครับ กระจ่างดี http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7698263/X7698263.html จากคุณ : Neothank เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 08:38:30

ความคิดเห็นที่ 8 คห. 2 ไปที่กระทู้นี้ดีกว่า น่าสนใจกว่านะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11634064/Y11634064.html กระทู้เขาเขียนตำตา ว่าถามหลักของพุทธ  ไม่ได้ถาม หลักของบ่าง ความคิดเห็นที่ 13     เพื่อนทุกท่านที่เคารพ ท่านสายลมเหงาแห่งขุนเขา  ผู้นี้ คือหนึ่งในขบวนการทำลายล้างอิสลาม ซึ่งพี่น้องมุสลิม ในนี้และเพื่อนต่างศาสนาในนี้ทราบกันดี มีพฤติกรรมเป็นขาประจำ เข้ามาแส่ ทุกเรื่องของอิสลามไม่ว่ากระทู้นี้ หรือกระทู้ใดๆของอิสลาม  บุคคลผู้นี้ไม่เคยคิดสร้างสรรในศาสนาของตนเอง ทั้งที่มีข่าวอยู่ทุกวัน . . .. ...  . . .. จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy)     เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 18:08:49     คุณลองเปลี่ยน ประธาน เป็นคำว่า ใจนิ่ง เปลี่ยน กรรม จาก อิสลาม หรือมุสลิม เป็น พุทธ โดยคงตัวกริยา และรูปประโยคเดิมไว้นะ แล้วใช้ปัญญาดูสิว่า ผู้ที่เรียกตนเองเป็นครู ที่เป็นผู้จิ้มข้อความนี้ขึ้นมา ในกระทู้โน้น  ยังอุตส่าห์ตามเข้ามา กดถูกใจให้แต้ม ซะอีก เฮ้อ . .. . Alhamdulillah จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:15:14

ความคิดเห็นที่ 9 จิตของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายในวัฏฏะสงสาร  ทุกๆชั้น ทุกๆภูมิ  ทั้งที่เรามองเห็นและไม่เห็น   ปรุงแต่งสร้างโลกและธรรมชาติทั้งหมดขึ้นมา  รวมทั้งสสารพลังงานต่างๆ  หรือพลังงานมืด สสารมืด หรือแอนตี้สสาร และอะไรอื่นๆทุกๆอย่างในธรรมชาติ ...เชื่อไหมละ?    มีวิธีพิสูจน์วิธีเดียว คือ  ฝึกจิตจนหมดกิเลสให้บรรลุเป็นพระอรหันต์  ก็จะรู้คำตอบของปัญหาเหล่านี้  และปัญหาอื่นๆได้หมด ... ทำได้ไหมละ ? จากคุณ : โขตาน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:30:40

ความคิดเห็นที่ 10 ใคร มีความหมายเชิงเดียวกับ อัตตา ซึ่งหมายถึงภาวะความเป็นบุคคล-ตัวตน ศาสนาพุทธ ปฏิเสธ เรื่อง อัตตา เพราะหลักการที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีผู้สร้าง...จะมีคำถามตามมามากมายที่ผู้เชื่อนั้นจะหาคำตอบให้ชัดเจนไม่ได้ เช่น 1. แล้วผู้สร้าง มีใครสร้างผู้สร้าง ผู้สร้างไม่มีพ่อแม่หรือ? 2. แล้วศาสนาไหน เป็นศาสนาแท้ของผู้สร้าง ตัวจริงกันแน่ เพราะต่างก็อ้างว่าตัวเองของแท้ทั้งนั้น จะเชื่ออันไหน? 3. ถ้าผู้สร้างเป็นต้นกำเนิด ดลบันดาลความดีและความชั่ว โดยเฉพาะความชั่ว ทำไมมนุษย์ยังต้องรับผลบาปของการกระทำตนเอง ต้องทุกข์ทรมาน หรือตกนรก แทนที่จะเป็นผู้สร้างรับผลเอง? 4. แล้วผู้ที่เชื่อ เคยเห็นหรือสัมผัสกับผู้สร้างด้วยตัวเองหรือยัง หรือเชื่อตามบรรพบุรุษและสิ่งที่เรียนมาเท่านั้น? จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:31:55

ความคิดเห็นที่ 11 ต้องเรียน ขอโทษ ท่าน จขกท ด้วยครับ ที่มีคลื่นแทรกมานอกประเด้นกระทู้ ผมขออนุญาต ตอบโต้เพียง คห เดียวครับ แล้วจะไม่ยุ่งตอบโต้ใดๆ ใน กระทู้ของท่าน คงนั่งฟังอย่างสงบ และมีมารยาท ครับ Avija ขอบคุณ นะที่เพียร มาโฆษณา ให้ผม แบบไร้มารยาท ในกระทู้ชาวบ้าน คุณก็คือกลุ่มคนหนึงที่่ ตามทำลายล้างอิสลาม โดยไม่สนรูปแบบใด  คบคิดกับ คนที่อ้างตนเป้นมุสลิม โดยขอให้ฉันได้มัน เท่านั้น ท่านเองนะจิ้มไลค์ ให้คนอื่นในกระทู้ ใน คห แดกดันผมกี่ครั้ง จนนับครั้งไม่ถ้วน ผมไม่เคยต่อว่าอันใด เพราะเป็นสิทธ์ของท่าน แต่นี่แสดง ความด้อยของปัญญา ยังไม่พอ ยังมีหน้ามาอ้างคำว่า Alhamdulillah  อีก  ไม่ศรัทธา ก็อย่ามาสะเออะ เอาคำของศาสนาอิสลาม ในนามพระเจ้ามาใช้ เค้าเรียกว่าอะไร รู้ไหม กลับไปถามที่บ้านนะไปสะ ว่าสิ่งนี้สมควรทำหรือไม่ ด่าชาวบ้านโครมๆไม่เป้นไร พอคนอื่นเค้าแค่สะกิดนิดเดียว ของขึ้น กระจกเงาราคาไม่แพง ไม่มีตังค์ซื้อบอก จะซื้อให้บานใหญ่ เท่าตัวก็ได้ ขอตำหนิด้วยความเคารพ พี่จิม แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:55:03 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:54:35 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:37:38 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:36:46 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:36:11 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:35:34 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:34:47

ความคิดเห็นที่ 12 พื้นฐานความเชื่อเรื่องผู้สร้าง มาจากกำเนิดของมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องมีพ่อ-แม่ มนุษย์โบราณบางเผ่า ก็นับถือพ่อเป็นใหญ่  ส่วนบางเผ่าก็นับถือแม่เป็นใหญ่ ขึ้นอยู่กับอารยธรรมที่สั่งสมมาต่างๆ กันไปในแต่ละที่ สมัยโบราณ มนุษย์เราเห็นแค่พื้นดินที่เหยียบอยู่  ก็เชื่อว่าผู้สร้าง โลกและสร้างสิ่งต่างๆ ส่วนพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวต่างๆบนท้องฟ้า มนุษย์ยังสมัยโบราณยังไม่รู้จักดีเท่าไหร่ แค่แหงนหน้ามองนานๆ ยังเมื่อยคอแล้ว แต่สมัยนี้ มนุษย์เรารู้จักเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง ทั้งกาแล๊กซี่ หลุมดำ เอกภพ พายุสุิริยะ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อีกหลายๆ อย่าง ไม่ได้ถูกระบุในตำราของมนุษย์โบราณที่เชื่อในพระผู้สร้าง แต่มนุษย์กลุ่มที่ยังเชื่อแบบเดิมๆ จากบรรพบุรุษ ก็ยังเชื่อไปแบบดำน้ำ ว่า มีผู้สร้างจักรวาล แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 09:53:19 จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:46:29

ความคิดเห็นที่ 13 ในทางศาสนาพุทธไม่มีคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ครับ แต่มีวิธีปฏิบัติเพื่อ ลดความสงสัยอย่างนี้ได้  จนหมดสิ้นความสงสัย จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 09:49:34

ความคิดเห็นที่ 14 สั้นๆว่า พุทธ ลงรายละเอียดเรื่อง เกิด-ดับ ไว้ แล้วลงขั้นตอนสำหรับผู้สงสัยด้วย "คำพรรณามากมายให้เห็นภาพ" สำหรับผู้ฉลาดมาก สงสัยไม่จบไม่สิ้น พุทธเรามีอีกหลักสูตร คือ "กรรมฐาน" ทั้ง 2 เรื่อง พิสูจน์เรื่อง ทุกอย่างบนโลกล้วนมีเกิด และ ดับไป ด้วยการฝึกฝนตนเองให้เห็นตามนั้น พุทธไม่จำเป็นต้องเคารพผู้สร้างที่ไหนครับ เพราะสรรพสิ่งสร้างตัวเอง แล้วดับตัวเองเป็นวัฏจักร แม้แต่ พระเจ้า ก็อยู่ในกฏของสรรพสิ่งนี้ เกิดมา - ตั้งอยู่ -  ดับไป พุทธไม่นับธรรมชาติ หรือผู้สร้าง เป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะธรรมชาติ เปลี่ยนตามภพตามภูมิ ไปเรื่อยๆ ธรรมชาติของโลกใบนี้ ซักวันก็ต้องระเบิดเป็นจุล เหลือแค่เศษผงในจักรวาล แม้แต่พระอาทิตย์ที่ขึ้นทางตะวันออก ก็ต้องดับเป็นขี้เถ้า สิ่งที่สร้างพระเจ้า หรือธรรมชาติ ในเหล่าชาวพุทธ ก็ต้องดับเช่นเดียวกัน เหลือแต่หลักพัฒนาจิต วิวัฒนาการจิตให้สูงขึ้น อยากรู้เรื่อง นรก สวรรค์ เปลี่ยนมานับถือพุทธสิครับ จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:02:15

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าไปดูในตำราของพระพุทธศาสนา มีระบุไว้ถึงเรื่อง แสนโกฏิจักรวาล ไว้ อธิบายคร่าวๆ ก็หมายถึง มีจักรวาลมากมาย ซึ่งไม่ใช่แค่มนุษย์จะแหงนหน้ามองดูจะเห็น ส่วนตำราในศาสนาอื่นๆที่เชื่อผู้สร้าง จะอธิบายถึงแค่เรื่องที่มนุษย์โดยทั่วไปแหงนหน้ามองเห็น เช่น ท้องฟ้า ชั้นฟ้า กลางวัน กลางคืน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ฯลฯ หรืออย่างมากก็สวรรค์ นรก สิ่งมีชีวิตในมิติอื่น ฯลฯ เพราะมนุษย์สมัยโบราณในแถบนั้น แม้บางกลุ่มจะพอดูดาวเป็นบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องจักรวาลหลายๆ จักรวาล พอมนุษย์สมัยใหม่ที่เชื่อตามบรรพบุรุษ ก็เอาคำว่าจักรวาลแบบสมัยใหม่ ใส่เสริมอธิบายเข้าไป อธิบายเพิ่ม ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับแต่ประการใด จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:09:43

ความคิดเห็นที่ 16 มุสลิมที่ดีดี ให้เกียรติตนเอง ให้เกียรติผู้อื่น ก็แสดงว่าเป็นผู้เชิดชูเกียรติพระเจ้า ให้ผู้อื่นเห็นด้วย นั้นควรนับถือ แต่ ผู้ที่ไม่ให้เกียรติตนเองและผู้อื่น เอาแต่วิ่งวนร้องสดุดีพระเจ้า คนทั่วไปจะเข้าใจว่าอย่างไร ผมไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้น ความคิดบ่างขึ้นมาก่อน ท่านใดอยากแสดงความเห็นในกระทู้ใดใด ก็มีสิทธิ ตามกฎกติกาของเวบบอร์ด แต่เมื่อมีผู้พยายามตั้งกฎบ่างขึ้นมาแล้ว ตนเองไม่ทำตามกฎที่ตั้งซะเอง คนทั่วไปจะเข้าใจว่าอย่างไร ขอบคุณสำหรับกระจก แต่ควรจะมอบกระจกนั้น ให้เหล่าผู้ที่คิดว่าตนเองเป็น มุสลิม ที่ดี ทั้งหลายในนี้ ส่องดูตนเอง ว่า นุ่งโสร่ง เรียบร้อยมิดชิดดีหรือไม่ ก่อนออกจากบ้าน จะดีกว่า ไม่ใช่เห็นแต่โสร่งด้านหน้าตนเองว่ามิดชิด ปิดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้ว แต่โสร่งด้านหลังกลับเปิดก้นให้ชาวบ้านเห็น คำสรรเสริญพระเจ้า ของมุสลิม เป็นคำหวงห้ามหรอกหรือ ? ? ? Hallelujah ด้วยความเคารพ จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:19:17

ความคิดเห็นที่ 17 ผมอยากให้คุณ จขกท ลองนึกอะไรง่ายๆ สักหน่อยว่า ถ้าคุณเป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เหมือนในเกม black and white คุณจะสร้าง...หรือปล่อยให้มันเป็นไป... แบบนี้หรือเปล่า? นี่เป็นผู้ศรัทธาทั้งสองฝ่าย เป็นลูกหลานทั้งนั้นนะ ทำไม...ส่งเขาไปเกิด ...ส่งเขาไปอยู่ท่ามกลางสงคราม ...ส่งเขาไปอดอยาก ...ส่งเขาไปตายอย่างทุกข์ทรมาน จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:21:04

ความคิดเห็นที่ 18 ขอตอบด้วยความเคารพคำถาม พวกนี้เป็นคำถามโลกแตกครับ ไม่มีใครรู้จริงหรอกครับนอกจากพระศาสดาของแต่ละศาสนา หรือทางพุทธก็บอกว่าต้องมีเจโตญาณ ถึงระดับระลึกชาติไปถึง ยุคกำเนิดโลกและจักรวาลได้ แต่ถ้าให้ตอบตามตำรา ก็ตอบ ได้ดังนี้ครับ คำตอบศาสนาพุทธ สำหรับคำถามประเภทนี้มี 3 แนวทางตามแต่ลักษณะของผู้ถามครับ แนวทางที่ 1 สำหรับคนที่เข้าใจธรรมชาติและมีปัญญามาก จะตอบว่าเกิดจากเหตุและปัจจัย เป็นแนวทางที่ 1 คือเมื่อวัตถุดิบและองค์ประกอบ ทุกอย่างมารวมกันอย่างพร้อมมูล ชีวิตก็บังเกิด โลกก็เจริญขึ้นมาตามลำดับ ตามเหตุ ปัจจัยและผลเช่น เมื่อคุณนำถ่านไม้มา ผ่านกระบวนการที่เหมาะสมคุณก็จะได้เพชร เมื่อคุณเผาเพชรนั้นเพชรนั่นก็กลับไปเป็นถ่าน ถามว่าเพชรเป็นถ่านหรือถ่านเป็นเพชร คห 4 คุณถามว่าลิงตัวแรกมาจากไหน ตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็บอกแล้วว่าสัตวเลี้ยง ลูกด้วยนมทั้งหมด มีบรรพบุรุษมาจากสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมยุคแรกๆ ที่มีลักษณะคล้ายหนู ถ้าคุณจะเถียงก็ต้องไปเถียงกับนักวิทยาศาสตร์เพราะแนวทางนี้พุทธอธิบายแค่หลักการว่า "ทุกอย่างเกิดแต่เหตุและเหตุนำไปสู่ผล" ทางเลือกคุณมีแค่ไปศึกษา สาขา Origin of life จนรู้แจ้งแทงตลอดพิสูจน์ได้ว่าโลก เกิดจากพระเจ้าสร้าง จริงหรือไม่ หรือจะเชื่อทิฐิดั้งเดิมของคุณเพราะไม่ว่าโลกจะกลม หรือแบน จะเกิดจากไข่ หรือเกิดจากพระเจ้าเนรมิตชีวิตคุณก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป การศึกษาด้านนี้ประโยชน์ก็คือเราเข้าใจธรรมชาติของการเกิดโลกมากขึ้นเท่านั้น แนวทางที่ 2 โลกเกิดจากพรหมแนวทางนี้พุทธเอาไว้อธิบายสำหรับผู้ที่มีทิฐิว่า โลกเกิดจากพรหมหรือพระเจ้าสร้าง พุทธอธิบายว่าพระเจ้ามามีต้นกำเนิดมาจากอรูปพรหมที่จุติลงมาตามวิบากกรรม เนื่องจากเป็นผู้มาจุติคนแรกในโลกหลังการดับสูญตามวัฎจักร ทำให้หลงคิดไป เองว่าตัวเองเป็นผู้เนรมิตโลกและจักรวาลทั้งหลายเหมือนชาวนาที่คิดว่าตนเอง เป็นผู้ปลูกข้าว หักล้างถางพง ปลูกข้าว ย่อมคิดว่าตนเป็นผู้สร้างที่นาและ ข้าวทั้งหลายที่เติบโตเพราะตนเป็นผู้ดำกล้า และไถหว่าน และข้าวทั้งหลาย ล้วนเป็นของตน แนวทางที่ 3 สำหรับผู้ฟุ้งซ่านหาจุดหมายไม่ได้ส่ายไปส่ายมา ศาสนาพุทธก็จะบอกว่าอย่าสนใจเรื่องกำเนิดโลกเลยให้สนใจ ควาทุกข์ที่อยู่ตรงหน้าก่อนดีกว่าแนวทางนี้ ก็จะตอบแบบอุป มาว่าคนกำลังถูกลูกธนูกำลังจะตาย จะถอนลูกธนูแล้วรักษา แผลก่อนหรือ จะมาถามก่อนว่าลูกธนูนี้ท่านได้แต่ใดมา ใครเป็นคนยิง สูง ต่ำ เตี้ย ดำ ขาว จะเห็นได้ว่าคำตอบของศาสนาพุทธครอบคลุมคำตอบในหลายแง่มุม แล้วแต่ว่าใครจะอยากได้คำตอบแบบไหน แต่สุดท้ายหลักทั้งหมด ก็จะกลับไปอยู่ที่ว่า "เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงเกิด" ส่วนเรื่อง ทำไมถึงมี 7 วัน อันนี้น่าจะมากจากระบบปฎิทินที่พัฒนาในช่วง มนุษย์เริ่มเข้าสู่สังคมเกษตรครับ ซึ่งเรื่องปฎิทินมีความสำคัญมากสำหรับ การแบ่งฤดูกาลและการวางแผนทำการเพาะปลูก จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:37:11

ความคิดเห็นที่ 19 คุณซามูไรหมูตอนครับ พระเจ้าของศาสนาอื่นเขา ตีขลุมไว้กว้างครับ ไม่ใช่แค่โลกใบนี้ใบเีดียว เขาเหมาหมดกาแลคซี่ คำกล่าวในคัมภีร์เขา ตีความได้สุดลูกหูลูกตา เหลือคณานับ เขามีหลายคัมภีร์ ในหลายคัมภีร์ก็ เหมาศาสดาของศาสนาอื่นเป็น 1 ในอานัติเขา ดีนะที่พุทธมีศึกภายในอยู่ ไม่งั้นได้ฟัดกับศาสนาอื่นแน่ๆ (ฮา) จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:41:13

ความคิดเห็นที่ 20 เรียนท่าน จขกท ที่เคารพ และด้วยความขออภัยเป้นอย่างสูง รบกวนทำหน้าที่เป้น ประธานสภาหน่อยนะครับ -ผมนุ่งโสร่งไม่เป็น เพราะนุ่งแต่กางเกง -คำว่า Alhamdulillah  ความหมายว่า   "การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลเลาะฮ์ และเราขอสรรเสริญพระองค์" หรือบางทรรศนะ ให้ความหมายว่า "เราขอสรรเสริญอัลเลาะฮ์ เหนือการสรรเสริญทั้งมวล" ไม่นับถือพระเจ้าแต่สรรเสริญพระเจ้า  ขอบคุณครับในการสรรเสริญพระเจ้าของผม มากกว่า การสรรเสริญใดๆในโลกนี้ แต่ที่เตือน สำหรับคน คนนี้ เพราะ คำพูดที่ห้ามที่เตือน  ท่านนี้ได้เป้นผู้สอนผมเอง ในข้อนี้ ผมเลยงง ว่าไม่รู้จะเอาอย่างไรกันแน่ เอาสักทาง นะครับ ตามไม่ถูก กลับไปดู กระจกเงาเสียใหม่ ส่วน โสร่งผมไม่ได้นุ่งเพราะนุ่งไม่เป็น ถ้าจะซื้อให้นุ่งนะ ยินดี เพราะเด็กนักเรียนศาสนา ยากไร้มีเยอะ จะเอาไปบริจาค ไม่รู้จะซื้อที่ไหน มีจะแนะนำให้  ร้าน ส.วงศ์เสงี่ยม ไง  ร้านของตระกูลอาจารย์ ชารีฟ วงศ์เสงี่ยม โจทย์ ของท่าน รายนี้เลยละ  ขอบคุณมากๆๆนะครับ ตกลง ยก คำว่า Alhamdulillah  สนใจสรรเสริญพระเจ้าของผม นี่จะเริ่มศึกษาเพื่อเข้ารับนับถือสาสนาอิสลาม หรอ ครับ ยินดีด้วยครับ  คงต้องไปเรียน กับ อาจารย์ทีอเมริกาแล้วละครับ ผมมีเรื่องเรียนท่าน จขกท เพียงเท่านี้นะครับ ขอบคุณครับ อย่ามาเรียนในเมืองไทยเลย เดี๋ยววงการศาสนาอิสลามเค้าปั่นป่วนไปหมด แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 10:57:43 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:48:19

ความคิดเห็นที่ 21 ข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ช่อง 3 น่าสนใจกว่า นั่งร้องไห้ขี้มูกโป่ง พร้อม สาวเจ้า นั่งกอดตุ้กตา มาไล่งับศาสนาชาวบ้านอยู่ได้ จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:52:15

ความคิดเห็นที่ 22 เรียนคุณ Zim-MorLuth ถ้าคุณหมายถึง อิสลาม ศาสนา อิสลาม มีคัมภีร์เพียงเล่มเดียวค่ะ คือ คัมภีร์อัลกุรอ่าน เป็นภาษาอาหรับ และเป็นคัมภีร์ที่มุสลิมใช้เหมือนกันทั่วโลกค่ะ ไม่มีหลายเล่มเหมือนที่คุณเข้าใจค่ะ ชี้แจงเท่านี้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 10:57:10 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:55:30

ความคิดเห็นที่ 23 ใช่ครับ สำหรับ พุทธ อะไรที่ไม่เกี่ยวกับปัจจุบัน อะไรที่ไม่เกี่ยวกับการยกระดับจิตใจสู่นิพพานนั้น จงอย่าได้แคร์ :D ลองอย่างนี้ครับ โลกเกิดขึ้นมา ตามกระบวนการวิทยาศาสตร์ มีวัตถุดิบและพลังงานมากพอ มีเหตุและปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิด แล้วก็เกิดมาเป็นจักรวาล ที่ส่วนใดมีปัจจัยเอื้ออำนวยมากพอ ก็เกิดสิ่งมีชีวิต เมื่อสิ่งมีชีวิตพัฒนามาจนทรงปัญญามากพอ ก็เกิดแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เก่าแก่ที่สุด ก็คือศาสนานี่ล่ะ ศาสนา ใช้สำหรับการปกครอง การอยู่ร่วมกันอย่างสินติ ในยุคแรกๆ ที่ได้ผลดีที่สุด (ปัจจุบันก็ยังพอใช้ได้ดีในระดับนึง) มีสวรรค์ เพื่อให้คนอยากทำดี จะได้ขึ้นสวรรค์ มีนรก เพื่อให้คนไม่กล้าวทำเลว จะได้ห่างนรก สองอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องของการยกระดับจิตใจในแบบทางพุทธ แต่ก็เป็นความเชื่อเก่าแก่ก่อนครั้งจะมีพุทธศาสนาขึ้นมา และยังคงฝังอยู่ในพุทธศาสนาโดยไม่ใช่หัวใจของพุทธศานา แต่เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม และก็ใช้ได้ผลดีเสมอมา ทุกศาสนา สอนให้คนทำความดี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเป็นสังคมที่มีความสุข ทีนี้ลองมามองตามหลักความเป็นจริงกันสักนิด สวรรค์ นรก ไม่เคยมีใครเห็นจริง สร้างกันขึ้นมาในใจทั้งนั้น ใครที่เคยบอกเห็น ก็เพื่อยกระดับตัวเอง หรือไม่ก็เพื่อเอามาสอนให้คนยำเกรงว่า ควรทำความดีละเว้นความชั่วนะ พระเจ้า ก็ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็นกลางประจักษ์พยาน มีเพียงแต่คนอ้างว่าเห็นเท่านั้น เพื่อสาเหตุเดียวกัน วิญญาณพระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยมีใครเห็น มีแต่คนอ้างว่านั่งทางในเห็น ไปถวายข้าวท่านได้เท่านั้น แต่อันนี้เพื่อตัวเอง :D (แวะกัด) ถ้าในชีวิต เราอยากจะอยู่แบบมีสุข หลีกเลี่ยงบรรเทาความทุกข์แล้ว ศาสนาทุกศาสนาเป็นที่พึ่งให้เราได้ดีที่สุด แต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจโลก เข้าใจสัจธรรม ศาสตร์ หรือความรู้ซึ่งเปรียบเสมือนแกนของศาสนา จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้ โดยเห็นโลกเป็นของง่าย จากความเข้มแข็งในตัวของคุณ อะไรที่ก่อให้เกิดเป็นอารมณ์ แล้วใช้อารมณ์นำทาง เรียกว่าศาสนา อะไรที่เป็นความรู้วิถีนำมาปฏิบัติ เพื่อให้ห่างจากอารมณ์ เพื่อยกระดับจิตใจ เรียกว่าศาสตร์ เราเข้าไปดูหนังในเมเจอร์ กี่คนที่สนใจว่าเจ้าของคือใคร แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วได้ประโยชน์จากภาพยนต์ที่เราดู นั่นล่ะคือการบรรลุวัตถุประสงค์ของการเดินเข้าโรงหนัง จากคุณ : ใบไม้กำนั้น เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:10:44

ความคิดเห็นที่ 24 ดูท่าทาง จขกท เขาแค่อยากรู้เรื่องการกำเนิดโลกในด้านศาสนาเท่านั้น คคห1.ไม่จำเป็นต้องโยงวิทย์มาหรอกครับ เพราะเขาแค่ต้องการคำตอบแนวศาสนา ส่วนวิทย์ก็มีคำตอบให้อีกแนวหนึ่งแต่ก็ยังเป็นเพียงทฤษฎี ไม่ต้องกังวลว่าไม่น่าเชื่อถือ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างในทางศาสนาวิทย์ก็ยังมีหลายเรื่องให้คำตอบไม่ได้ แถมไปโยงวิวัฒนาการมาเกี่ยวกับเรื่องสร้างโลกมันคนละอย่างกันครับ ทฤษฎีนั้นพูดถึงในโลก ไม่ใช่เริ่องนอกโลก คงไม่มีใครบอกว่าจักรวาลมีการคัดสรรดวงดาวต่างๆ ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่รอดและถ่ายทอดคุณลักษณะให้ดาวรุ่นลูกต่อไป เห็นไหมว่ามันคงละทฤษฎีเลย เขาแค่ต้องการคำตอบแนวศาสนาก็บอกไปเลยครับ ไม่ต้องกลัว คริสต์พระเจ้าสร้าง พุทธว่าไงก็ว่าไป เพราะคำตอบทางวิทย์ก็มีอีกแนวทฤษฎีหนึ่ง ปล.คำตอบที่ 1 จะดีมากถ้าไม่โยงวิทย์มาเยอะเกินไป จากคุณ : Sheckler เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:13:15

ความคิดเห็นที่ 25 อ้าว.......มีนี่ ๆ ๆ ในพระไตรปิฏกก็กล่าวไว้ไม่ใช่หรือ ซึ่งมีเหลืออยู่นิดเดียวแสดงว่า ถูกพวกรู้มาก ตัดออกไป(พวกเก่งพระไตรปิฏก ค้นให้หน่อย ข้อยบ่รู้เรื่อง) ว่า มนุษย์เกิดมาเพราะเทวดาเกิดตัวอยากลงมากินง้วนดิน ต่อมากิเลสพอกหนาขึ้นๆจนกลายเป็นมนุษย์ ต่อมาก็เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไงล่ะ ลองวิเคราะห์ดู.......แสดงว่าก่อนมีมนุษย์เกิดขึ้นมีเทวดาและดาวต่างๆอยู่แล้ว แต่เทวดาเป็นอมตะ (ยังไม่มีสังสารวัฏฏ์) และเทวดาเหล่านั้นคงเป็นเหมือนพระเจ้านั่นเอง เพราะเป็นอมตะนี่ แสดงว่า มนุษย์อย่างเราๆเดิมเป็นพระเจ้าหรือเปล่า?(เอ้า.....เฮ ) และที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปนิพพาน ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด เป็นอมตะก็คือกลับสู่ที่เดิมหรือเปล่า เพราะมันสอดคล้องกัน ค่อยๆคิด พิจารณามหาพิจารณากันเอง จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:18:47

ความคิดเห็นที่ 26 คห. 25 คุณไม่คิดมาก นั่นระดับพรหม ไม่ใช่ระดับนิพพาน จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:34:19

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องพวกนี้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าเป็นอจินไตย เป็นโลกจินไตย คือคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเสียที เพราะ... ถามจริงๆ เราจะไปรู้ความจริงได้ยังไง แม้สัพพัญญูวิสัยของพระพุทธเจ้าท่านจะทราบ ก็ไม่ได้เน้นสอนให้รู้เรื่องรู้ราวเป็นวักเป็นเวรให้เราเฝ้าศึกษา แต่กลับเน้นย้ำ เรื่อง โลกธรรม ๘ มากกว่า นั่นคือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ การที่จะทราบจริงๆนั้น ต้องใช้สมาธิขั้นสูง โดยปฏิบัติเพื่อเข้าถึง อตีตังสญาณ ย้อนกลับไปหาอดีต วิธีนี้รู้เองเห็นเอง และชัดเจนกว่าอ่านตำรามาก และเมื่อเรารู้แล้ว... แล้วได้อะไร ถ้ามีปัญญามันก็ได้อะไรมากมาย และได้อรหันต์เป็นที่สุด แต่ถ้าโง่.. ก็เหมือนอ่านนิยายจบเล่มหนึ่งเท่านั้น แล้วก็กินขี้ปี้นอนเหมือนเดิม ปล. แต่คนที่ได้อตีตังสญาณแล้วยังโง่อยู่ ก็ควรลงนรกไปอีกหลายๆรอบ จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 11:35:41

ความคิดเห็นที่ 28 ------------------------ตอบท่านเจ้าของกระทู้-------------------------------------- สงสัยว่าใครสร้างโลก และทุกสิ่ง หลักศาสนาพุทธมีคำตอบให้ได้ไหม       ------------- โลกเกิดจากสิ่งทีมีอยู่แล้ว   ไม่มีใครสร้าง   ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เรียกว่า มวลก่อน Big bang  ซึ่งจะระเบิดขยายตัวออกเป็นเอกภพ เกิดสงสัยค่ะ ว่าโลกเราเกิดขึ้นมาได้ยังไง  หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างนะ  อย่างเช่น ดอกไม้ดอกแรกของโลก  น้ำ อากาศ ------------------ เกิดจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ในศาสนาพุทธแสดงถึงการสลายตัวไปของโลก จากดวงอาทิตย์   ตรงกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ดวงอาทิตย์จะขยายตัวครอบดาวบริวาร ในอีกประมาณ 5500 ล้านปี พยายามหาคำตอบในหลายๆ ศาสนา  พอจะได้คำตอบบ้าง แต่ว่าต่างออกไปนิดหน่อย แต่พยายามหาคำตอบว่าศาสนาพุทธ มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้บ้างหรือไม่ -------------------- ในพระพุทธศาสนา ไม่มีผุ้สร้าง  และสำหรับสิ่งมีจิตหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวิญญาน สิ่งที่ทำให้เกิดมาตั้งแต่เริ่มแรกและต่อๆมา คือ ความไม่รู้  คิดว่าว่าจิตหรือวิญญานนั้นคงที่ (ความจริงเกิดดับต่อเนื่องกันไปเหมือนหลอดไฟฟ้าสว่างจ้าเพราะเกิดการสว่างติดต่อกันเร็วมาก พอไฟฟ้าหมดก็ดับไป) และทำไม หนึ่งสัปดาห์ถึงต้องมีเจ็ดวัน มีหลักในการกำหนดอย่างไร  ไม่ได้กวนนะ  แต่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องศาสนาพุทธมากมาย แต่ว่าอยากศึกษาถึงความแตกต่างด้านหลักของศาสนา --------------------- เป็นเรื่องการสมมติใช้  ถ้าแบบไทยแต่ก่อนก็ใช้วันขึ้นวันแรมจากพระจันทร์ 14 หรือ 15 วัน  ไม่นับเป็นอาทิตย์ 7 วัน  พอประเทศที่มีอิทธิพลใช้ 7 วัน ประเทศอื่นต้องใช้ตาม ตามความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก มีตั้งแต่สมัยบาบิโบเนียน ว่ามีเทพเจ้าสร้างคนจากดินโคลน  ศาสนารุ่นหลังๆในแถบนั้นก็ยึดถือตาม แนวเรื่องเดิม แต่มีรายละเอียดมากขึ้นตามระยะเวลา   จากคุณ : Motek     เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 06:00:37 ' ยินดีที่ได้สนทนาครับ จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 12:35:48

ความคิดเห็นที่ 29 การเรียกชื่อสมมุติอะไรนี่ แต่ละยุคมันอาจเพี้ยนไปได้ ผ่านมาตั้ง 2555 ปีแล้ว แต่แปลกที่คุณสมบัติมันตรงกัน หรืออาจเรียกได้หลายชื่อ แต่พวกเราหลงประเด็นเลย จับไม่ถูกจุด แล้วที่พระไตรปิฏกบอก เทวดา(เป็นพรหมหรือเทพอะไรก็ได้)ลงมากินง้วนดิน แล้วเกิดมนุษย์ต่อมาเกิดการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ก็แสดงว่า ก่อนหน้านี้เป็นอมตะ และนิพพานก็เป็นอมตะ ทำไมความหมายมันมาตรงกันล่ะ น่าคิดนะจ๊ะ ป. ล.  เอ้า.....สมาชิกช่วยกันวิปัสสนึก หาเหตุผลหน่อย....... เร๊ว ๆ จากคุณ : ไม่คิดมาก เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 12:56:30

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น บอร์ดนี้เป็นที่สาธารณะ ใครใคร่เขียน เขียน ใครใคร่อ่าน อ่าน  แต่ก็อย่าให้ถึงกะมีการเม้งกันเกิดขึ้นเลยนะ มีผู้สงสัยในปัญหาถ้ามีผู้รู้มาชี้แจงแถลงไข   ให้ความกระจ่างแจ้งเป็นวิทยาทานแด่ผู้ที่ยังไม่รู้ หรือไม่หายสงสัย อันนี้ขอบคุณมาก  ถึงบางท่านอาจมีความเห็นต่างกันไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีผู้ใดผิด หรือถูกต้องอย่างที่สุด   เราเอง ขอบอกว่า โดยกำเนิดเป็นพุทธ  แต่ว่าก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากนักตั้งแต่เด็ก ตอนนี้พยายามหาทางศึกษาหลายๆ ศาสนา หาที่ยึดเหนี่่ยวจิดใจ แต่เราต้องการหาคำตอบหลายๆอย่างให้กับตัวเอง และศึกษาดูว่าศาสนาใด สามารถมีคำตอบให้เราได้หายสงสัยมากที่สุด ความเห็นที่เจ็ด ถ้าถามแนวที่ว่าทำไมพระเจ้าทำให้ ยิวและอาหรับ ต้องเสียเลือดเนื้อ เกิดสงคราม คำตอบ เค้ามีเขียนไว้ในคัมภีร์ของชาวยิวนะ ว่าทำไม อันนี้เราเมื่อก่อนเราก็สงสัยอยู่เช่นกันว่าทำไม  แต่ได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผล ในคำถามนี้แแล้ว จึงเลิกคิดว่าทำไมจึงต้องนองเลือด   คำถามเราอาจเหมือนปัญหาโลกแต่  อาจมีคนคิดว่าจะสงสัยไปทำไม๊  คนเราอาจมีวิธีการหาคำตอบในชีวิตที่ไม่เหมือนกันจ้ะ วิธีคิด  อะไรหลายๆอย่าง  และเราต้องการหาสิ่งพิสูจน์ หักล้างว่ามันไม่จริง  หรือจริงเท็จอย่างไร ในทางวิทยาศาสตร์ มีการพิสูจน์ อะไรหลายๆอย่าง และบางศาสนาก็มีสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน นั่นแหล่ะ ทำให้เราเกิดคำถาม  ว่า  อ้าววว แล้วมันคืออะไรล่ะ  ยังไง  ทำไม   ความเกิดขึ้นเสมอ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:41:39

ความคิดเห็นที่ 31 สิ่งที่คุณจะพิสูจน์นั้น ทราบได้ด้วยวิธีเดียว(ทางวิทยาศาสตร์)ครับ คือเครื่องย้อนเวลา ซึ่งตอนนี้ ไม่มี ส่วนทางศาสนา ก็ใช้ญาณที่เรียกว่าอตีตังสญาณ ตรวจสอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน ต้องอดทนในการฝึกมาก คนที่เป็นนักคิด นักอ่าน นักรู้ จึงไม่เอา เพราะมันลำบาก ผมเคยได้ยินมาว่า จริงๆแล้ว คำถาม สำคัญกว่าคำตอบ เพราะถ้าตั้งโจทย์ผิด ก็ไม่ได้คำตอบที่จะแก้ไขอะไรได้เลย จนทุกวันนี้คนที่คิดทฤษฏีต่างๆ ก็ตายไปเยอะแล้ว ผมเองก็กำลังจะตายเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมจะเลิกกินข้าวเสียที จากคุณ : kiarati เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:24:22

ความคิดเห็นที่ 32 ดาวน์โหลดไปฟังดูครับ   อธิบายชัดเจนมาก ธรรมบรรยายหลักสูตร เสถียร โพธินันทะ ๑. ปฐมเหตุของโลก  ๒. กำเนิดโลก กำเนิดชีวิต ๔๙.ตอบปัญหาเรื่องพระเจ้า หน้ารวม http://www.ybat.org/media/satien/dhamma_talk_satien.html จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:26:38

ความคิดเห็นที่ 33 อวิชชาไงล่ะ อวิชชานี่แหละสร้างโลก สร้างภพ สร้างชาติ จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:47:56

ความคิดเห็นที่ 34 มันพูดยากนะ จขกท ในศาสนาพุทธนั้น เราเริ่มด้วยทิฐิ ถ้าทิฐิมันเริ่มด้วย สัตตทิฐิ (มีอัตตาเที่ยงอยู่ มีผู้สร้างอมตะ มีตัวเราไม่ตาย มีมนุษย์คู่แรก) มันก็จบเลยครับ ถ้าทิฐิมันเริ่มด้วย นัตถิกะทิฐิ (ทิฐิว่าตายแล้วสูญ โลกนี้เกิดจากเหตุบังเอิญเหมือนวิทยาศาสตร์สสารนิยมทั่วๆ ไป) มันก็จบเช่นกันครับ ในศาสนาพุทธ เริ่มด้วยทิฐิอย่างไรเป็นเรื่องที่ควรศึกษา ในศาสนาพุทธ ทิฐิ ไม่ใช่แค่เรื่องของคำตอบ แต่เป็นเรื่องของการตั้งคำถามด้วย หากท่านตั้งคำถามด้วยมิจฉาทิฐิ คำตอบที่ได้ก็เป็นมิจฉาทิฐิ หากท่านตั้งคำถามด้วยสัมมาทิฐิ คำตอบที่ได้ก็เป็นสัมมาทิฐิครับ การตั้งคำถามจึงมีความสำคัญมากในศาสนาพุทธ เช่นท่านตั้งว่า ใครสร้างมนุษย์คู่แรก นั่นก็แปลว่าท่านมีทิฐิเป็นสัตตทิฐ ไปแล้ว ในศาสนาพุทธเราใช้การปฏิบัติเรียนรู้ความจริงของโลก(รูป นาม) ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป้นอนัตตา เมื่อใช้ปัญญาพิจารณารูป นาม จนแจ้งความจริง ว่า อัตตาไม่มี จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 14:57:17

ความคิดเห็นที่ 35 ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไม จขกท ถึงถามเรื่องสัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน เพราะว่าพระเจ้าสร้างโลกใน 7 วันรวมวันพักผ่อน ใช่ไหมคะ? เด็กๆเราก็ขี้สงสัย เรื่องจักรวาล ชอบ อยากรู้ โตมา เจอคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย บ่อยๆเข้า โดยเฉพาะตายก่อนแก่เนี่ย ตอนนี้เลยเลิกสงสัย เลิกสนใจแล้ว กับเรื่องไกลตัวขนาดนั้น แต่สงสัยก็ถามได้ค่ะ ไม่ผิด จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 17:01:25

ความคิดเห็นที่ 36 ผมว่าศาสนาพุทธมองต่างมุมและไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้มั้งครับ เพราะเค้าถือว่าไม่ได้เกิดประโยชน์ที่จะคิด ไม่ได้เกิดประโยชน์ที่จะถาม จุดมุ่งหมายคือนิพพาน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วย ความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ จากคุณ : NEXKON เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 17:53:42

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าเราเป็นชาวพุทธ และได้เคยปฏิบัติ (เหตุ) และได้เห็นผลของการปฏิบัติ (ผล) การมองโลก (รูปและนามของเรานี้) ก็จะเปลี่ยนไปครับ เช่น วันหนึ่ง เราภาวนา ชั่วแว่ปหนึ่งที่เกิดปัญญา เห็นรูปไม่ใช่เรา(จากที่เคยถือมั่นว่านี่เรา) วันหนึ่ง เราภาวนา ชั่วแว่ปหนึ่งที่เกิดปัญญา เห็นนาม( เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่เรา เมื่อเห็นแจ้งในความจริงลงไปตรงๆ ในรูป และนาม ว่านี่ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป หมดซึ่งสาระ (ยึดถือ, อุปาทาน) ความอยากจะรู้ว่าใครหนอสร้างสิ่งไม่มีสาระ ไม่เป็นแก่นสาร นี้ ก็พลอยหมดลงไปด้วย ที่จริง เราอยากรู้ว่า ใครสร้างโลก ใครสร้างเรา ขึ้นมาก็เพราะ ลึกๆ เราเชื่อว่า เรานี้มีอยู่ไปตลอด(สัตตทิฐิ) จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 19:08:22

ความคิดเห็นที่ 38 เรื่องนี้จัดเป็น อจินไตย คือไม่ควรสนใจมาศึกษา เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาเพื่อดับทุกข์ กฎสูงสุดของจักรวาลมีอยู่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น" ซึ่งแม้โลกก็ตกอยู่ภายใต้กฎสูงสุดนี้ด้วย ลองศึกษาเรื่องอจินไตยและเรื่องกฎสูงสุดของจักรวาล จากเว็บนี้ดู www.whatami.net จากคุณ : เตชปญฺโญ ภิกขุ (What am I?) เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:04:16

ความคิดเห็นที่ 39 เรียน ท่าน Ms.Kohlanta ผมหมายถึงคริสต์ครับ เขามีคัมภีร์เก่า คัมภีร์ใหม่ มีนิทานข้างใน มีวลีเีดียว ตีความได้สุดยอดมาก ส่วนอิสลามผมไม่ทราบ หลังจากลงความเห็นไปแล้ว พึ่งได้ย้อนอ่านกรณีท่านสายลมเหงาแห่งขุนเขา ท่านแมทซ์ ฯลฯ กับ คุณ jimbovy ถ้าท่าน Ms.Kohlanta มั่นใจว่า มีเล่มเดียว รบกวนช่วยหา 2 ตัวละคร ซึ่งท่านสายลมแห่งขุนเขา และท่านอื่นๆ ตามถามไถ่ให้หน่อย ได้มั้ยครับ ว่าอยู่ในบทใด เรื่องจะได้จบเสียที ปล่อยไว้ รังแต่จะเพิ่ม จำนวนคนให้เขม่นคนๆเีดียวเปล่าๆ เครดิตที่มีกับเหตุผลที่ไม่ยอมตอบเสียที ก็ดูจะขัดกันอย่างมาก แต่ถึงท่าน Ms.Kohlanta  ไม่ตอบ พุทธเราก็มีวิธีแก้เผ็ด เรื่องพรรณนี้อยู่ ทุกกาลสมัยล่ะครับ แนะนำให้ช่วยหากันมาตอบ หรือชี้แจงปิดประเด็นให้จบ จะได้ไม่ต้องใช้มาตรการอื่น (ผมเห็นเพื่อนชาวพุทธ ไปตามประท้วงศาสนาอื่น ใจนึงก็ปลง อีกใจก็คงต้องช่วยเพื่อน หวังว่าคงพยายามเข้าใจกันนิดนะครับ) จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 21:24:56

ความคิดเห็นที่ 40 ขออนุญาตตอบท่าน Zim-MorLuth มันจบไปแล้วครับท่าน Zim-MorLuth- จบกันไปด้วยหลักฐาน เหมือนสมัยนายชลิตลวงโลก ในบอร์ดศาสนาพันทิพย์แห่งนี้ ผมประกาศได้อย่างชัดเจนแจ้มแจ้งครับ จากการค้นหาแหล่งที่มาตามที่ครูจิมกล่าวอ้าง ด้วยความอนุเคราะห์ของมิตรมุสลิมที่ดีหลายท่านทั้งในบอร์ดนี้และนอกบอร์ด สรุปชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าและองคุลีมาล ไม่มีกล่าวถึงในอัลกุรอาน บางท่านเขายังกล่าวว่า ที่บอกว่ามีๆ นั้น ไม่น่าใช่ศาสนาอิสลามด้วยซ้ำไป น่าจะเป็นกลุ่มความเชื่อใหม่มากกว่า ส่วนที่ครูจิมพูดนั้น ประโยคเดียวเป็น เท็จสามชั้นเลยครับ 1. อัลกุรอานไม่มีกล่าวไว้ ที่ครูจิมพูดว่าเป็นอัลกุรอานๆ จึงผิด(ผิดชั้นที่ 1) 2. แม้ในหะดิษ(ซึ่งไม่ใช่อัลกุรอานที่ครูจิมบอกอีก นี่ผิดชั้นที่ 2) ที่มีมิตรมุสลิมยกมาชี้แจงอย่างกะจ่างแจ้งในกระทู้ก่อนในเนื้อหาบทนั้นที่มีคนฆ่าคน 1000 คน ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นองคุลีมาลกับพระพุทธเจ้า(นี่ผิดชั้นที่ 3) ท่านเกาะและมุสลิมบางท่านที่สนับสนุนเรื่องนี้ก็ย่อมต้องไม่กล่าวอะไรครับ เพราะมันไม่มีจริงๆครับ จะมีบ้างที่ท่านเกาะมาเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนประเด็นไปบ้าง แต่เราต่างก็ต้องเคารพ ข้อเท็จจริง และได้สรุปไปแล้วเหมือนสมัย นายชลิตจอมลวงโลกหน่ะล่ะครับ ว่ามั่วกันไป จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 21:59:24

ความคิดเห็นที่ 41 เรียน ท่าน จขกท ที่เคารพ ขอส่งสารผ่านไปถึง ท่านจิ้ม - หากไม่นุ่งโสร่ง นุ่งเป็นแต่กางเกง  ก่อนออกจากบ้าน ก็ก้มหน้าเหลียวหลังดูด้วยว่า กางเกงที่นุ่งนะ เป้าขาด ตูดขาด ลืมรูดซิบ หรือเปล่าด้วยนะ ใช้กระจกบานใหญ่ที่ซื้อมานั้น นั่นแหละส่องดูให้ทั่ว ไม่ใช่ออกมาที่สาธารณะแล้ว เห็นคนอื่นจ้องมอง จะพาลนึกว่าตนเอง เท่ห์ ไปนั่น พระเจ้าคงไม่ปลื้มหรอก ที่มีใครเที่ยว วิ่งร้องสดุดี โดยนุ่งกางเกงตูดขาดเป้าขาดไม่รูดซิบ - ขอบคุณที่แนะนำร้านขายโสร่ง ท่านคงรู้จักร้านนี้ดีนะ หรือว่า จะไปขอเข้าร่วมคณะขบวนการสามช่า ด้วยกัน แต่ผมว่า คณะชวนชื่น ของท่าน ก็ดีอยู่แล้วนะ อาจจะดังไม่เท่าคณะสามช่า แค่นั้นเอง แต่บทบาท ตลกหน้าม่าน เรียกคนดูเข้าโรงลิเก ไม่แพ้กันเลย ขอชมเชย - อิสลามมิกชนที่ดี เหมาะกับคำว่า มุสลิม นอกนั้น เป็นได้แค่ พวก มุด . . . กระมัง - สรรเสริญพระเจ้า เพราะพระเจ้าคือธรรมมะ ธรรมมะคือพระเจ้า ธรรมมะเป็นสากล ไม่มีของผม ของใครหรอก ผมสนใจศึกษาธรรมมะทุกศรัทธาศาสนา หากศรัทธานั้นนั้น ไม่เป็นศรัทธาแบบมิจฉาทิฎฐิ - ไม่ใช่วงการอิสลามไทยปั่นป่วนหรอก แต่สังคมไทยปั่นป่วนเพราะวงการอิสลาม ต่างหากมั้ง เพราะตรรกะเพี้ยน ๆ ของพวกคลั่งโสร่ง โสร่งนิยม นี่แหละ ตั้งกระทู้บ่างขี้นมา  แต่ตนเองทำตัว ซะเอง มันก็น่าจะ งง จริงๆ นะท่าน ผมมีเรื่องเรียนท่าน จขกท เพียงเท่านี้นะครับ จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 23:44:05

ความคิดเห็นที่ 42 AvijJA  เก่งนี่เรื่อง อิสลาม  มารับนับถืออิสลาม เลยมะ ส่วนใครที่ว่าผมเป็นชลิตนั้นนะเปรียบเทียบผิดเคส ชลิตนะ คุยในเรื่องคัมภีร์คนอื่น แต่ผมคุยในเรื่องคัมภีร์ของผม ถ้าจะเทียบผมเทียบให้ถูกกรณี  ผมนะสไตล์ พระเกษม จะบอกให้ รู้ไม่จริงเอามาพูด อยู่ได้  กลับไป กรมได้แล้วละ เป็นวิศกรปฐพี่  ก็เป็นไปไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องชาวบ้าน ปล   รู้ตัวกันมั่งหรือ  ป่าว  จมูกมีรู ร้อยให้ไอ้ แมด บ้ามันจูงเอา จูงเสร็จ ปิดฉากจบ เอดีวุ้ยส์ คิดเองไม่เป็นให้ คนบ้ามันนำ  โง่แล้วอยากนอนเตียงอีก ชิ้วๆๆๆ  เอิ้กๆๆ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 00:02:37 จากคุณ : พี่จิม (Jimbovy) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:00:08

ความคิดเห็นที่ 43 คุณ : Zim-MorLuth  อ่านซะนะคะ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11643389/Y11643389.html แต่ดิฉันนับถือ คห.คนนี้มากค่ะ ช่างกล่าวได้อย่างถูกต้องเสียจริง ความคิดเห็นที่ 14     เป็นชาวพุทธ ไม่ควรจะเดือดร้อนเรื่องนี้ พุทธองค์ให้ยึดถือธรรมะเป็นที่พึ่ง  ยังไม่ให้ยึดพระองค์เป็นที่พึ่งเลย ชาวพุทธแท้จริง  ไม่ควรสนใจเรื่องนี้   ถึงจะเป็นจริงตามศาสนาอื่นๆ อ้างก็ไม่เป็นประโยชน์  ไม่เป็นโทษ  ไม่เกี่ยวกับศาสนาพุทธ และไม่รู้ว่าจริงตามนั้นหรือไม่  พระพุทธเจ้าทรงเกิดมานับชาติไม่ถ้วน  พระองค์ยังไม่สนพระทัยเลย  ทรงเห็นว่าเป็นสิ่งผ่านเลยไปแล้ว จากคุณ : neap   เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 21:45:00     ........ ส่วน คห. 22 ถ้าดิฉันเข้าใจคุณผิด ก็ต้องขอภัยด้วยค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 00:36:56

ความคิดเห็นที่ 44 เรียน คุณ Ms.Kohlanta เพราะชาวพุทธที่ศึกษา เข้าใจอย่างท่าน neap น่ะสิครับ ถึงแค่มองผ่านๆักัน เข้ากระทู้อื่นๆมา ผ่านตา เห็นเพื่อนพุทธกลุ่มนึง ตามโพสเพื่อนต่างศาสนาท่านนึง ทุกวัน ที่แนะนำในกระทู้บน เพื่อให้คุณเข้าใจธรรมชาติสัตว์สังคม พวกพ้อง อิสลามก็ดี พุทธก็ดี เกิดปัญหาเพราะน้ำผึ้งหยดเดียว ประจำ ทุกศาสนามีทั้งคนศึกษา(ส่วนน้อย)  คนไม่ค่อยศึกษา(ส่วนใหญ่) ที่มีปัญหา ก็เกิดจากอารมณ์คนไม่ค่อยศึกษาเฮตามกัน และก็เพิ่มจำนวนขึ้น เมื่อรู้แล้วก็อย่าให้มันบานปลายไงครับ คือ ประเด็น โตๆกันหมดแล้ว รู้ว่าควรทำอย่างไร ก็ไม่ทำ กลับไปหาข้ออ้างอื่น กลบสิ่งซึ่งคนสร้างปัญหามาบังให้พ้นตา "ใจเค้าใจเรา"ครับ  คนถูกพาดพิงย่อมมีอารมณ์ มันไม่ใช่เรื่องที่ไล่คนถูกพาดพิง ไปเข้าตำรา แล้วปล่อยคนพาดพิง สร้างปัญหา่ต่อไป ยอมรับสิ่งที่ทำพลาดไป แล้วต่างคนต่างศึกษาเหมือนที่เป็นมา ไม่ดีกว่า หรือ? อย่าให้มันเข้าทางเรื่อง "กฏแห่งกรรม" ของพุทธสิครับ เพราะทำสิ่งนี้ > สิ่งนั้นจึงตามมา > พอผลของการกระทำ ตามเผาตัวเอง > กลับไม่แก้ที่เหตุให้ตรงจุด ---------------------- อภัยให้ครับ _/\_ แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 01:58:59 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 01:40:54 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 01:19:38 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:13:50

ความคิดเห็นที่ 45 หึ หึ . . . ปล. คห. 42  นี่ เอามุกมาจากรายการ จ้อจี้ หรือเปล่า คุ้นๆ นา คลายเครียดก่อนนอน จากคุณ : AvijJA เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:37:56

ความคิดเห็นที่ 46 ที่จริง ต้องมีเหตุ ปัจจัย ของทุกสิ่งครับ   พุทธแค่ไม่ยอมรับ คำว่า ผู้สร้าง หรือ มีบุคคล  มีประธาน  มีอัตตา  มาก่อกำเนิด  อันที่จริง การบอกว่าสิ่งต่าง ๆ กำเนิดของมันด้วยเหตุปัจจัย ของมันเอง   เช่นนั้นเอง   นี่ก็เป็นการใช้ความเชื่อ มากระดับ พอ  ๆ กันครับ สำหรับ คนเรามองตัวเราเอง  เป็น 1 บุคคล  แต่พุทธบอกว่า การที่เรามองยึด เป็นบุคคล เพราะยังมีอวิชชา  แล้วที่จริงไม่มีบุคคลอะไรหรอก   การคิดบุคคล เลยมอง พระเจ้า  หรือ ปฐมเหตุมาเป็นบุคคล   เมื่อไม่ยอมรับการมีของบุคคล หรืออัตตา  ก็ย่อมบอกไว้ว่ามันก็เป็นของมันเอง ที่จริง ทุกสิ่งต้องมีกำเนิด ไม่ได้มาลอย ๆ   พระเจ้ามีครับ ในทุกความเชื่อไปมอง แบบมนุษย์ว่าเป็นบุคคล   ซึ่งสิงนี้มนุษย์คิดเอาว่า พระเจ้าต้องเป็นบุคคลแบบ มนุษย์   ผู้สร้าง เลย ต้องมีผู้สร้าง  ผู้สร้าง   อันที่จริง เราใช้ ผู้  เลยคิดไปถึงบุคคล     ถ้าผู้สร้าง สิ่งสร้าง  แล้ว  จะเป็นผู้ถูกสร้าง ได้อีกได้ยังไงกันละครับ    พระเจ้าจึงไม่อาจเป็นผู้อยู่ในมิติของสิ่งที่ถูกสร้าง ในเมื่อ อัตตา มีในสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา   พระเจ้าจึงไม่ใช่อัตตา แต่เพื่อให้ง่าย พระเจ้าอยู่นอกอัตตา  หรือสิ่งที่เรียกโดยบุคคล หรือนามในสิ่งที่ถูกสร้าง มีพระเจ้า  เพียงแต่ ทางพุทธ ไม่ยอมรับการมีพระเจ้าแบบบุคคล ซึ่งจริงแล้ว คนเรามองจากไหนกันละครับ จากคุณ : นบนอบ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:46:45

ความคิดเห็นที่ 47 จขกท เองค่ะ หลายท่าน บอกว่า จะรู้ไปทำไมว่าใครเป็นผู้สร้างโลก เป็นอจินไตย รู้ไปก้อเท่านั้น มันเป็นเรื่องไกลตัว หรือ คิดมากไปก้อเป็นทุกข์เปล่าๆ สำหรับเราแล้ว การเรียนรู้ ไม่เคยมีคำว่าหมดสิ้น อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าเราเป็นเพียงพุทธในบัตรเท่านั้น ห่างไกลวัด และธรรม  บางครั้ง เราก็ฟังบ้าง เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้คำศัพท์ยากทางพุทธศาสนาเลย  ไม่รู้จริงๆ   เราเรียนโรงเรียนคริสต์ ตั้งแต่อนุบาลยัน ม หก  กำเนิดพระเยซู เรื่องราวอะไรต่างๆเราพอรู้ เหมือนที่โรงเรียนพยายามบอกในวันกิจกรรมต่างๆให้นักเรียนได้รู้เท่านั้น บอกตามตรงว่า เราไม่ได้ไม่ศรัทธา ศาสนาใดๆเลย  ทุกศาสนามีจุดยืน แต่คล้ายๆกันคือเป็นคนดี   เราหาศาสนาที่พอจะตอบคำถามและมีเหตุผลอธิบาย ในสิ่งที่เราสงสัยข้องใจได้มากที่สุด เรามันมนุษย์ ร้อยแปดคำถาม  เราชอบถกเถียง แต่ไม่ด่าทอ  ชอบเสนอแนวคิด แต่ไม่ยึดติดแต่ความคิดตัวเอง  เพราะฉนั้น เราอาจพูดได้ว่าตอนนี้ เรายังเป็นคนไม่มีศาสนา ก็อาจไม่ผิด   แต่ทว่า ตอนนี้เรากำลังศึกษา ศาสนายิว หรือ ยูดาย  เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า เริ่มตอบคำถามให้เราหลายๆเรื่อง และมีความเป็นเหตุเป็นผล และมีสิ่งที่น่าค้นหาอยู่ในทุกๆตัวอักษรของพระคัมภีร์  ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งมันส์ค่ะ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 03:06:23

ความคิดเห็นที่ 48 ครูจิมครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็เปรียบถูกเคสแล้วล่ะครับ ถูกอย่างไร นายชลิตมั่วคัมภีร์พุทธ มั่วไม่สำเร็จ ไม่มีหลักฐาน เพราะชาวพุทธเค้ารู้กันหมด ครูจิมเลยมาภาคสองไงครับ มาบิดเบือนอัลกุรอานดูบ้าง เผื่อไม่มีใครรู้ั สุดท้ายมีจุดประสงค์ร่วมกัน เหยียบหัวศาสนาชาวบ้านเขา ท่านอาจมั่วในบอร์ดอื่นๆ ได้ครับ แต่ในบอร์ดสาธารณมีคุณภาพแห่งนี้ มีกฏกติกามารยาท ไม่ว่าจะชั้นเรียนไหน เมื่อเข้ามาในที่แห่งนี้ ท่านก็ต้องรู้มารบาทในการกล่าวถึงศาสนาผู้อื่น แค่สลับคัมภีร์กันมั่ว แต่เป้าหมายเดียวกัน ผมเห็นว่าเปรียบถูกเคสแล้วครับ จะให้เปรียบท่านกับพระเกษมคง ครูจิมสู้เขาไม่ได้หรอกครับ ความดังยังไม่เท่า แต่นานยชลิตเนี้ยล่ะ ถือว่าเป็นภาคต่อ ผมกำลังรออีกสักเคส จะได้มีบทสรุปเป็นไตรภาคไปเลย จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 07:43:36

ความคิดเห็นที่ 49 เรียนคุณ จขกท โทษทีนะครับที่ขอพื้นที่ ในศาสนาพุทธการศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติ และสอบทานด้วยปริยัติเสมอๆ ครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 07:46:06

ความคิดเห็นที่ 50 มีพระเจ้า  เพียงแต่ ทางพุทธ ไม่ยอมรับการมีพระเจ้าแบบบุคคล ซึ่งจริงแล้ว คนเรามองจากไหนกันละครับ จากคุณนบนอบ นี่คือจุดสำคัญในทางศาสนาพุทธเลยครับ เรามองจากทิฐิไหนกัน ในศาสนาพุทธ ถ้าการปฏิบัติภาวนาเกิดผล การมองจะเปลี่ยนไปหมด ที่ไม่ยอมรับอัตตา ก็เพราะเห็นความจริง (อริยสัจจ์) เรื่องอัตตานี่ล่ะขอรับ ท่านยอมรับไหมล่ะว่า ท่านนบนอบมองพระเจ้าแบบตัวตน นั้น ท่านมองจากไหนกันล่ะครับ จากคุณ : สายลมเหงาแห่งขุนเขา เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 07:50:41

ความคิดเห็นที่ 51 ------------------ นบนอบ คนที่ประกาศอยู่เสมอว่านับถือศาสนาพุทธ  แต่แสดงความเชื่อแบบคริสต์  และไปสอนคัมภีร์คริสต์(คัมภีร์เอเฟซัส)แก่เด็กในโบสถ์             ความคิดเห็นที่ 46     ที่จริง ต้องมีเหตุ ปัจจัย ของทุกสิ่งครับ  พุทธแค่ไม่ยอมรับ คำว่า ผู้สร้าง หรือ มีบุคคล  มีประธาน  มีอัตตา  มาก่อกำเนิด  อันที่จริง การบอกว่าสิ่งต่าง ๆ กำเนิดของมันด้วยเหตุปัจจัย ของมันเอง   เช่นนั้นเอง   นี่ก็เป็นการใช้ความเชื่อ มากระดับ พอ  ๆ กันครับ สำหรับ คนเรามองตัวเราเอง  เป็น 1 บุคคล  แต่พุทธบอกว่า การที่เรามองยึด เป็นบุคคล เพราะยังมีอวิชชา  แล้วที่จริงไม่มีบุคคลอะไรหรอก   การคิดบุคคล เลยมอง พระเจ้า  หรือ ปฐมเหตุมาเป็นบุคคล   เมื่อไม่ยอมรับการมีของบุคคล หรืออัตตา  ก็ย่อมบอกไว้ว่ามันก็เป็นของมันเอง ที่จริง ทุกสิ่งต้องมีกำเนิด ไม่ได้มาลอย ๆ   พระเจ้ามีครับ ในทุกความเชื่อไปมอง แบบมนุษย์ว่าเป็นบุคคล   ซึ่งสิงนี้มนุษย์คิดเอาว่า พระเจ้าต้องเป็นบุคคลแบบ มนุษย์   ผู้สร้าง เลย ต้องมีผู้สร้าง  ผู้สร้าง   อันที่จริง เราใช้ ผู้  เลยคิดไปถึงบุคคล     ถ้าผู้สร้าง สิ่งสร้าง  แล้ว  จะเป็นผู้ถูกสร้าง ได้อีกได้ยังไงกันละครับ    พระเจ้าจึงไม่อาจเป็นผู้อยู่ในมิติของสิ่งที่ถูกสร้าง ในเมื่อ อัตตา มีในสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา   พระเจ้าจึงไม่ใช่อัตตา แต่เพื่อให้ง่าย พระเจ้าอยู่นอกอัตตา  หรือสิ่งที่เรียกโดยบุคคล หรือนามในสิ่งที่ถูกสร้าง มีพระเจ้า  เพียงแต่ ทางพุทธ ไม่ยอมรับการมีพระเจ้าแบบบุคคล ซึ่งจริงแล้ว คนเรามองจากไหนกันละครับ จากคุณ : นบนอบ   เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 01:46:45     ------------------------- ความคิดเห็นที่ 46     ที่จริง ต้องมีเหตุ ปัจจัย ของทุกสิ่งครับ   พุทธแค่ไม่ยอมรับ คำว่า ผู้สร้าง --------- ที่จริง ต้องมีเหตุ ปัจจัย ของทุกสิ่งครับ แสดงว่านบนอบ ยอมรับแล้วว่า มีเหตุปัจจัยของอย่าง  นั่นคือ มีปัจจัยของพระเจ้า คือมีผู้สร้างพระเจ้า         ความเชื่อของ นบนอบ สับสน และมีปัญหาแก่ชาวคริสต์ --------- ข้อความอื่นๆคงไม่ต้อง อธิบาย จากคุณ : วงกลม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 09:35:49

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณที่ชี้ทางสว่างค่ะ คุณวงกลม เรากะลังมึนๆว่าคุณนบนอบนี่เค้าศาสนาอะไรกันแน่ ------------------- แต่ทว่า ตอนนี้เรากำลังศึกษา ศาสนายิว หรือ ยูดาย  เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า เริ่มตอบคำถามให้เราหลายๆเรื่อง และมีความเป็นเหตุเป็นผล และมีสิ่งที่น่าค้นหาอยู่ในทุกๆตัวอักษรของพระคัมภีร์  ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งมันส์ค่ะ จากคุณ : Motek ฟังดูน่าสนใจดีนะคะ เราก็รู้จักศาสนายูดายน้อยมาก ถ้าคุณ Motek ชอบแชร์ อยากจะแบ่งปันไหมล่ะคะ เราสนใจจะอ่านค่ะ ความเป็นเหตุผล และสิ่งน่าค้นหาในศาสนายูดาย จะกระทู้นี้ก็ได้ ตั้งกระทู้ใหม่ก็ได้ค่ะ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 11:31:49

ความคิดเห็นที่ 53 #48  คิดเหมือนกันเลยค่ะ มันเหมือนเป็นการสร้างความเชื่อผิดๆขึ้นมาแบบคลอบคลุม ทั้งคัมภีร์ตัวเอง คัมภีร์คนอื่น และวิทยาศาสตร์แบบผิดๆ เพื่อสนับสนุนความคิดเดียวคือ อัลกุลอ่านถูกเสมอ อะไรที่ขัดกับอัลกุลอ่านผิดหมด และบิดเบือนความจริงทุกด้านเพื่อสนับสนุนความเชื่อนี้ และความเชื่อที่ว่า อิสลามคือศาสนาหนึ่งเดียว เห็นมีข้อความนึงของมุสลิมบอกประมาณว่า ในอัลกุลอ่านระบุว่า พระเจ้าส่งนบีไปยังทุกชนชาติ เพราะงั้นการที่มีศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่ง ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ทำให้มุสลิมบางกลุ่มยอมรับไม่ได้หรือเปล่า ต้องให้พระพุทธเจ้าเป็นนบีให้ได้ หรือมันเป็นแค่การหลอกตีหัวเข้าบ้าน?? นี่คือความคืดเห็นของเราจากเหตุการณ์ที่ผ่านมานะคะ เนื่องจากผู้เป็นกุญแจสำคัญของทั้งสองเหตุการณ์ไม่ยอมให้ข้อมูล เราก็สรุปได้เท่านี้แหละ ปล. พระไตรปิฎกไปแล้ว อัลกุลอ่านไปแล้ว เหลือคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นภาค 3 ใช่ไหม รอชมค่ะ ;) จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 12:01:06

ความคิดเห็นที่ 54 กระทู้รวมดาวหรือนี่ ? จากคุณ : chaosy เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:37:43

ความคิดเห็นที่ 55 เค้าว่า.. แสงเลเซอร์ มีความแม่นยำสูง ผิดเพี้ยนน้อยมาก   แต่เมือระยะทางเริ่มไกลมากขึ้น ความผิดเพี้ยนนั้นก็จะส่งผลให้เห็นได้     ความรู้ความเข้าใจในโลกก็เช่นเดียวกัน       หากถามว่า่ถ้าเราตายไปแล้ว โลกนี้จะยังมีอยู่รึเปล่า         ทั้งผู้ที่เชื่อว่ามีโลกหน้าและผู้ที่เชื่อว่าตายแล้วสูญ ก็จะคิดว่าเฉพาะตัวเขาเอง         ที่ตายที่สูญ  แต่โลกนั้น ไม่ได้สูญหายไปด้วย               ซึ่งเป็นความยึดถือโลกสิ่งต่างๆในโลก ว่าจริง ว่าแท้ ว่าเที่ยง (อัตตา)             ฉนั้นสิ่งต่างๆของโลกนี้ จึงเป็นโลกของตัณหา คือกามภพ  ด้วยปัจจัยคืออัตตา           ผมก็รู้ว่าคนไม่ได้จะสนเรื่องนี้ แต่แค่อยากจะรู้ว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้น ได้อย่างไร    แต่หากว่าพื้นฐานไม่ดี ไม่ตรงตามเป็นจริง  ทางข้างหน้าจะลึกจะยากกว่านี้อีก           อวิชชา  ความเกิดของโลก   ใบไม้ในป่า       ยังเป็นสิ่งอยู่ในขอบเขตของอภิปรัชญา  ด้วยไม่มีการแปรเป็นผล จากคุณ : กัป' เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:54:42

ความคิดเห็นที่ 56 ตกลงเป็นกระทู้กลายพันธุ์. ไปแล้วหรือไร ทางพุทธเข้ามาแสดงความเห็นกันเยอะมาก. ทางคริสต์. อิสลามไม่เข้ามาสักหน่อยหรือ.  แนวคิดเรื่องพระเจ้า.  ถ้าเข้ามาบอกแนวคิด.  แต่ต้องเอาแบบความจริงทางศาสนาแบบไม่บิดเบือนใส่ไข่นา.  ถ้ามีผู้สนใจ. ทางยิวอาจเผยด้วย จากคุณ : เขียนบน iPhone (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 05:31:01

ความคิดเห็นที่ 57 ทำไมต้องมีใครสร้างมันด้วยล่ะครับ  สมมุตินะ  ถ้าทุกอย่างไม่มีคนสร้างเลย  มีแต่ความว่างปล่าว    ก็คงไม่วายมีคนถามอีกว่า "ใครสร้างความว่างปล่าว?"  คนๆนั้นก็คล้ายๆกันกับคนที่กำลังสงสัยอยู่นี่เอง   ให้มันมีของมันเองเถอะครับ ยอมๆให้ไม่มีใครสร้างก็ดีนะ เราจะได้มีเวลาเหลือเยอะขึ้น เยอะพอที่จะรู้ความจริง ก็มี ดิน น้ำ ลม ไฟ  มาจับกัน ไฟพอเหมาะอุณหภูมิพอเหมาะชีวิตก็เกิด แปรเปลี่ยน จนดับไป บางทีชีวิตนั้นก็มีธรรมชาติมารับรู้(สัตว์) บางทีก็ไม่มี(ต้นไม้ ภูเขา)  ก็เท่านี่นะ มันยุ่งตรงที่มีธรรมชาติมารับรู้แล้วปรุงต่อเป็นสายยาวไม่รู้จบ จากคุณ : temjung99 เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 01:33:45

ความคิดเห็นที่ 58 คุณนั้นเองที่สร้างโลก เริ่มจากคุณกำลังสร้างคำถามอยู่นั้นเอง หากไม่มีคนสร้างคำถาม ก้อจะไม่มีคำถาม จากคุณ : แยกแยะ เขียนเมื่อ : 6 ก.พ. 55 03:43:16