ความคิดเห็นที่ 1 รอเล่าต่อนะครับ เกร็ดด้วยก็ยิ่งดีครับ จากคุณ : bigjinbook เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:07:31

ความคิดเห็นที่ 2 ความเชื่อ พระเจ้า Lord of god คือ สูงสุดแล้ว คัมภีร์โทรา เป็นกฎหมายสูงสุด    (เขียนด้วยภาษาฮีบรู โบราณ ) พระเจ้า กำหนดพิพากษาวันสิ้นโลก ในวันพิพากษาวันสิ้นโลก พระเจ้าจะทำลายคนชั่วเหลือไว้แต่คนบริสุทธ์   อ้อ ตอนนั้นพระเจ้าบอกคุณอับราฮัมด้วย ว่ายิว ต้อง ขลิบ  ตอนนั้นลุงอับราฮัม ก็แก่มาก แต่แกก็ยอมขลิบนะจ๊ะ งั้นก็แสดงว่า ยิวนี่เป็นต้นกำเนิดของการขลิบเลยนี่หว่า แสดงว่าเล็งเห็นผลประโยชน์ของการขลิบมาตั้งแต่โบราณบานบุรี ก่อนชนชาติใด้เลยนี่ และมีอื่นๆอีกหลายอย่าง ถ้าอยากรู้ให้ไปเสาะหาจากลุงกู๋  แต่เราจะกล่าวถึงเรื่องราวที่ไม่มีในลุงกู๋แล้วกันนะ   เรื่องราวที่เราได้ยินได้ศึกษาหาข้อมูล เพื่ออยากจะพิสูจน์ว่าหลายๆสิ่งที่กล่าวในศาสนายิว เป็นสิ่งผิด ไม่เป็นเหตุเป็นผล และไม่น่าเชื่อถือ  แต่ส่วนมาก แม้ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็ทำเอาเราอึ้งกิมกี่เหมือนกัน   เฮ้อ  เริ่มล่ะนะ เป็นเรื่องที่เราได้ไปตั้งคำถามกับคนยิวที่เคร่งโดยตรง  คือสวมคิปะ เข้าเรียนศาสนากับแรบไบ เป็นนิจ เข้าเบ็ท คเนเส็ท   หรือ โบสท์ยิว  เป็นประจำ อ้อลืมบอก  คัมภีร์โทรา  Torah ของคนยิวเนี่ย เป็นต้นกำเนิดของศาสนาคริสต์ และอิสลามนะจ๊ะ  แล้วพระเยซูก็เป็นยิว และเราก็ได้ทราบประวัติของพระเยซูจากการบันทึกของศาสนายิวนี่แหล่ะ และมีหลักฐานการอ้างอิงด้วย อย่างที่เคยบอก เราเคยเรียนโรงเรียนคริสต์ และรู้ประวัติของพระเยซูมาตั้งแต่เด็กๆ  แต่ทว่าจากหลักฐานการบันทึกของชาวยิวที่เราเพิ่งรู้ในตอนที่ศึกษาศาสนายิว ก็ทำเอาเราแอบช๊อค นิดนึง  แต่ไม่เอาหล่ะ ไม่อยากเล่าเรื่องนี้  ไม่อยากเปิดประเด็นสงครามระหว่างศาสนา  เพราะแต่ละคนก็ศรัทธาต่างกันไป จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:19:51

ความคิดเห็นที่ 3 สนุกค่ะ รออ่านต่อ ^^ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:33:16

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วคัมภีร์โตราห์ ทุกวันนี้ชาวยิวถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปกปิดไว้หรือเทิดทูญไว้ครับ จากคุณ : ต้นสนริมน้ำ เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:33:25

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อๆ  จะมีคนอ่านไม๊น๊อ การเป็นพุทธ แต่สะแหลน อยากไปศึกษาเรื่องยิวเนี่ย มันยังไงพิกลเหมือนกัน เพราะเท่าที่ความรู้ที่เรามีเกี่ยวกับศาสนาพุทธเนี่ย ไม่เคยกล่าวถึงพระเจ้า และการกำเนิดของโลก  ส่วนมากก็วิชาวิทยาศาสตร์นี่แหล่ะ ที่คอยท่องคอยสอบตามที่เค้าบอกว่าโลกมันเกิดมาได้อย่างไร อะไร  วิวัฒนาการจากลิง มั่งล่ะ การระเบิดบ้างล่ะ  นานาจิตตังกันไป แต่สำหรับเรื่องการกำเนิดของโลกว่าใครเป็นผู้สร้างเนี่ย เราไม่ได้กระตือรือร้นอยากรู้หรือเชื่อมากมาย จากคำกล่าวของคนใด ศาสนาใด  ส่วนมากแล้วเราจะ มองถึงปัจจุบันมากกว่า ว่าควรดำเนินชีวิตอย่างไร ศาสนายิวเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะรู้เรื่องของศาสนาตัวเองกันทุกคนไปนะ มีพวกที่ว่าไม่เชื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้าของตัวเอง  แต่ก็ไม่เข้าศาสนาใด้  แต่ก็มีคนยิวที่ตอนนี้สนใจในพระพุทธศาสนา และมีการบวชเรียนเป็นพระ และเผยแพร่ศาสนาพุทธก็มี แต่เราไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ท่านจะเข้าเป็นพุทธ ท่านเคยเป็นยิวแบบที่เคร่งหรือไม่เคร่ง และตอนนี้ก็มีแรบไบ  เปรียบได้เหมือน พระ นั่นหล่ะ   แรบไบท่านนี้ สอนสั่งได้ฮา เอาความโลกในปัจจุบันมาสั่งสอนพวกยิวได้เฮฮาไม่น่าเบื่อ เหมือนไปฟังทอร์คโชว์ด้านศาสนาอะไรแบบนั้น  ไม่เหมือนหลายๆท่านที่ฟังแล้วพาลจะกรนคร๊อก   แรบไบท่านที่เราว่านี้ ที่เฮฮานั่นล่ะ  ท่านเมื่อก่อนที่ท่านจะเข้าสู่พระเจ้าของตน  ท่านเคยศึกษาในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง  แบบรู้ลึกรู้จริงเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นศิษย์ท่านดาไลลามะเลย  แล้วยังไงไม่ทราบได้ ท่านตัดสินใจกลับเข้าสู่พระเจ้าของตน และเรียนรู้อย่างจริงจังอีกแล้ว จนได้เป็นแรบไบ  และท่านนี้นี่เอง ที่สามารถตอบคำถามถึงความแตกต่างระหว่างความเชื่อและศรัทธาของศาสนาพุทธและยิวได้เป็นอย่างดี   ท่านบรรยายในหลายประเทศด้วยนะ ยิว ก็มีหลายนิกายนะ ออโธด๊อกซ์  อันนี้แบบเคร่ง วันเสาร์พักผ่อน ไม่ดูทีวี ไม่ขับรถ ไม่เปิดไฟ ตามที่พระเจ้าบอกเปี๊ยบบบบบ รีฟอร์ม แบบไม่เคร่งมากมาย ได้รับอิทธีพลมาจากยุโรบ เป็นแบบง่ายขี้นมานิดนึง วันเสาร์อยากทำอะไรก็ทำโลด ไม่ว่าอะไร แล้วมีอีกอย่างนึง ขออภัย จำไม่ได้อย่างแรง  เรียกว่า คอนเซอเวทีฟ  หรือเปล่าไม่แน่ใจนะ  จะเป็นแบบที่ว่าเอาคำสอนมาปรับใช้ในโลกยุคปัจจุบัน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 18:44:12

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบ  คุณ ต้นสนริมน้ำ  คัมภีร์โทรา ก็ไม่เห็นมีการปกปิดนี่ แต่ จะบอกว่าคัมภีร์โทราที่เขียนด้วยภาษาฮีบรู แล้วมีการแปลเป็นภาษาอื่นๆเนี่ย คือจากการตีความออกมาแล้วของผู้ที่ศึกษาในคัมภีร์จริงๆ  โดย ศาสนายิวเนี่ย จะมีผู้ที่ศึกษาคัมภีร์โทราแบบว่า ไม่ทำอะไรเลยจริงๆ วันๆนึงเนี่ย เรียนแต่โทราไม่เรียนวิชาอื่นใดเลย เรียกว่าเด็กๆที่เกิดมาในตระกูลแนวนี้ก็จะโตมาแบบ เรียนแต่โทราจริงๆ  ท่องๆ อ่านๆ มันทั้งวัน ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก ทีวีก็จะมีช่องที่กำหนดให้ดู  อินเตอร์เน็ตก็จะถูกเซ็ตให้เปิดดูได้แต่เกี่ยวกับทางศาสนาเท่านั้น  คลื่นพวกโทรศัพท์มือถือก็จะมีการเปิดให้เป็นพิเศษคือเป็นเครือข่ายที่ไม่ปะปนกะคนธรรมดา พนักงานห้ามทำงานในวันเสาร์สำหรับเครือข่ายนี้  ฟังดูเหมือนอะไรนักหนาว่ะ ปานนั้นเชียว แต่มีเหตุผลนะ  เพราะพวกที่เรียนโทราเนี่ย  ไม่แน่ใจจะอธิบายยังไง   คือต้องมีใจที่บริสุทธ์จริงๆ ไม่เห็นสิ่งยั่วยุ อย่างเช่นภาพผู้หญิงทางสื่อต่างๆ โอ้ย ไม่ได้เห็นหรอก   โทรา ในภาษาฮิบรูเนียนะ จริงๆแล้วมีนัยยะที่ซ่อนอยู่ เหนือไปกว่าสิ่งที่เห็นมากมาย ฉนั้นเราจึงเดาว่า  ไม่น่าจะเป็นการปกปิดมากมายอะไรนัก เพราะว่าถึงเอาไปอ่าน แต่ถ้าไม่ใช่ผู้รู้ด้านศาสตร์ของการอ่านภาษาฮีบรู  จะไม่มีทางตีความหมายที่ซ่อนอยู่อย่างซับซ้อน  อีกหลายชั้นได้ เราจะยกตัวอย่างง่ายๆ ด้วยอักษร ฮีบรูหนึ่งตัว א  ออกเสียงว่า  อาเล็ฟ  เป็นตัวอักษรตัวแรกในภาษา ฮีบรู   คือภาษานี่หน่ะ  แต่ละตัวอักษรเนี่ย มีความหมายที่ซ่อนอยู่มากมายชนิดที่คาดไม่ถึง  จนถึงขนาดที่ว่าต้องมีผู้ศึกษาตีความตัวอักษาแต่ละตัวโดยเฉพาะ     เห็นขีดเส้นทแยงมุมไหม  แล้วจะมีติ่งด้านขวาข้างบน  และด้านล่าง ข้างซ้าย   เค้าบอกว่า  ติ่งด้านบนนั้น หมายถึงพระเจ้า  และติ่งด้านล่างนั้นหมายถึงมนุษย์   และขีดเส้นทแยงมุม นั่นคือ โทรา   และนั่นคือความสัมพันธ์กันโดยภาพรวมระหว่างสัญญาที่มีระหว่างพระเจ้าและมนุษย์     นี่เป็นแค่ตัวอักษรเดียวนะ  แล้วจริงๆเนี่ย ตัวอักษรตัวเดียวเช่นนี้ มีนัยยะที่ตีความหมาย ซ่อนไว้อีกมากมายจริงๆ  เรียกว่าเป็นหน้าๆกระดาษเลย แล้วหลังจากที่ตีความหมายออกมาเป็นประโยคได้แล้ว  อักษรแต่ละตัวในประโยคก็ตีความหมายต่อไปได้อีก  มันจึงเป็นศาสตร์ชั้นสูงมาก  ที่เรียกกันว่า คาบาล่า     ศาสตร์นี้มีสองแขนง  คือ คาบาล่า  เป็นแบบด้านบน คือตีความไปเรื่อยๆ  อันนี้ใครๆก็สามารถแรียนได้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องแต่งงานแล้ว และเป็นยิว เท่านั้น ศาสตร์การตีความตัวอักษร มีอีกอันนึง  ชื่ออะไรจำไม่ได้จริงๆ  เพราะเราไม่ได้ต้องมาคอยท่องไปสอบ  เราแค่ศึกษาเพื่อรู้ อันไหนไม่สำคัญสำหรับเรา เราก็ไม่จำ    อันนี้จะเป็นแบบศาสตร์ที่เรียกว่าสูงมาก หรือสูงสุดเลยก็ว่าได้  ผู้ทีี่รู้เรื่องการตีความคาบาล่าแล้ว หรือเก่งจริงๆ  เค้าจะไม่แตะต้อง การตีความชนิดนี้เลย จริงๆนะ  คือว่าต่อให้รู้ แต่กรูก้อจะไม่ศึกษามันต่อ   เพราะอะไรหน่ะหรือ   เพราะว่ามีผุ้ทดลองแล้ว แต่ต้องมีอันเป็นไปทุกคน  มันจึงเหมือนเป็นสิ่งต้องห้ามนั่นเอง  พูดง่ายๆก็คือ พระเจ้าไม่อยากให้รู้ คล้ายๆกับการเป็นความลับที่ไม่ควรรู้นั่นเอง  กล่าวกันว่าเคยมีผู้ที่ถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ และต่างก็พยายามประดิษฐ์  คิดสร้าง บางสิ่งขึ้นมา โดยเข้าใจว่าน่าจะเป็นความลับของพระเจ้าที่ท่านไม่อยากให้รู้  อืม ทำนองที่ว่า นำวัน เวลา ดวงจันทร์ ตำแหน่ง อะไรแบบเนี้ยนะ มาประสมเข้าด้วยกัน   แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลย    มีอันเป็นไปทุกราย  และไม่เคยมีใครไขปริศนาตัวอักษรระดับสูงนี้ได้เลยสักคนเดียว  จนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้ที่เรียกได้ว่ารู้ลึกรู้จริงที่คาดว่าไม่น่าจะเกินสิบคนในโลก ก็ไม่มีใครกล้า หรือบังอาจ พยายามถอดรหัสอีก จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:12:19

ความคิดเห็นที่ 7 ยิวที่ดี ที่เคร่ง จะมีข้อที่ควรกระทำ และข้อห้ามในการใช้ชีวิต ทั้งหมด รวมแล้ว 613 ข้อ  เราไม่แยกให้นะว่ามีอะไรบ้าง  ไม่ใช่ขี้เกียจ แต่ไม่รู้ต่างหาก  โธ่ ก็ยังไม่ได้เป็นยิวอะ แค่ศึกษาเฉยๆ เราเคยถามผู้รู้ว่า ในศาสนายิว ว่าทำไมพระเจ้าต้องกำหนดข้อดังกล่าวข้างบนมามากมายด้วย  แค่เป็นคนดี ทำตามบัญญัติ สิบประการไม่พอหรือไง จะอะไรนักหนา แต่สิ่งที่เราจะเล่าส่วนมากจะเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาลึกซื้ง เค้าสอนถึงความจริงแบบลึกๆมาก ที่แม้แต่คนในศาสนาเค้าที่เคร่งไม่พอก็ไม่ค่อยรู้กัน เค้าเลยร่ายยาว แต่เราจะเขียนคร่าวๆให้อ่านดังนี้ แรกเริ่มเดิมทีเนี่ย  พระเจ้ายังไม่ได้สร้างโลกสร้างจักรวาล ขึ้นมาก่อนหรอกนะ ท่านเขียนขึ้้นมาก่อนว่าจะสร้างอะไร ต้องมีอะไรบ้าง คือกำหนดมาก่อนแล้วค่อยมาสร้างทีหลัง  ตามที่เขียนนั่นเอง คงจะคล้ายๆสถาปนิก วิศวะกร  ออกแบบก่อน แล้วค่อยสร้าง   ไม่ใช่สร้างโลกก่อนแล้วค่อยมาเขียนว่าโลกจะเป็นยังไงและจะเกิดอะไรขึ้น  แต่ทว่าถูกกำหนดไว้หมดแล้วในคัมภีร์  แต่มีความลับที่แอบซ่อนอยู่มากมาย  ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ในภายหลังต่อมาก็พบว่าบางสิ่งเป็นเรื่องจริงตามที่ถูกเขียนไว้ในโทราตั้งแต่สมัยมนุษย์ ยังหาบน้ำ ขี่เกวียน  มีหมอตำแย    สมัยนู้น สร้างโลกหกวัน แต่วันที่เจ็ดพักผ่อน นั่นแหล่ะ ถ้าใครอยากรู้ว่า วันไหน สร้างอะไร  ไปหาลุงกู๋นะ  มีเพียบขี้เกียจเล่า  และในสิ่งที่พระเจ้าท่านเขียนกำหนดไว้ก่อนสร้างโลกสร้างทุกสิ่งขึ้นมา  ท่านก็ได้กำหนดไว้ก่อนหน้าแล้วด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้บ้าง   จ๊ากกก งั้นวันสิ้นโลกก็ถูกกำหนดไว้แล้วหนะสิเนี่ย  คำตอบคือ  ใช่ แน่นอนนะคร้าบบบ ในทางศาสนาของยิวเผู้ที่เคร่งครัด เค้าเชื่อกันเช่นนั้นจริงๆ ถามว่าทำไมล่ะ  เอ๊าาา ก็ในโทรามันเขียนไว้หนะสิ ถ้าอยากถามว่า  Motek เอ็งรู้ได้ยังไงว่ะ เราไปลองท้าทายผู้รู้มาแล้วหล่ะ  ได้คำอธิบายแล้วด้วย ถึงได้อยากศึกษามากขึ้นนี่ไง จำพวกที่ศึกษา โทรา แบบถอดรหัสตัวอักษรอย่างที่บอกด้านบนได้ไหม  ท่านพวกผู้รู้เหล่านั้นแหล่ะ ที่เปิดเผย ว่าสิ่งที่พวกเค้าอ่านและศึกษาหน่ะ  ได้เขียนไว้หมดเล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะยกตัวอย่างให้นิดหน่อยพอหอมปากหอมคอ   เคยถอดรหัสออกมาได้ว่า จะมีนกยักษ์สองตัว บินชนกันบนฟ้า และมีผู้คนล้มตายกันมากมาย   ต่อมาภายหลัง มีเฮลิคอปเตอร์สองลำบินชนกันบนฟ้า แล้วตกลงในหมู่ชนชาวยิว เกิดการล้มตาย บาดเจ็บกันมากมายจริงๆ และอันนี้เด็ดมากกก เล่าไปอาจไม่มีคนเชื่อ เพราะแม้แต่เราเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยหล่ะ  แต่เล่าดีกว่า ในคัมภีร์โทรา ที่เก่าแก่อายุหลายพันปีนั่นหน่ะ มีการกล่าวไว้ในนั้นด้วย ทำนองที่ว่า   ประเทศที่ชื่อว่าสยามจะมีคลื่นยักษ์ และผู้คนพากันไปล้มตายจำนวนมาก เกิดการสูญเสีย   อะจ๊ากกกก ประเทศสยาม ก็ประเทศไทยนี่หว่า  สึนามินี่หว่า  อ้าว ระบุไว้ล่วงหน้าก่อนจะเกิดประเทศสยามซะอีกนะนั่น คนที่บอกเราเรื่องนี้หน่ะ ขอบอกว่าพี่แกไม่ได้สนใจวิชาสังคมศาสตร์สักเท่าไรนัก เพราะอย่างที่บอก พี่แกศึกษาแต่โทรา วิชาความรู้รอบตัวรอบโลก ไม่มีจริงๆเค้าไม่เคยรู้มาก่อนว่า ประเทศไทยเคยได้ชื่อว่าประเทศสยาม   ไม่อยากเขียนมากว่าเราได้ฟังอะไรมาบ้าง กลัวโดนจับติดตะรางเหมือนพ่อของน้องปลาบู่อะ ความนัยของโทราได้กล่าวถึงชะตากรรมของชนชาติยิวและมนุษยชาติ ไว้หมดแล้ว ว่าจะเป็นยังไง จะเกิดอะไร และรวมถึงการกล่าวเกี่ยวกับโศกนาฎกรรมที่จะเกิดบนโลกไว้หมดแล้ว ถามว่าทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น อันนี้เราเดาเองนะ  ว่า พระเจ้าท่านคงรู้ว่าวันนึงจะมีผู้ที่ไม่เชื่อ และไม่คิดว่าการมีพระเจ้านั้นมีอยู่จริงหรือไม่ อาจมีข้อสงสัยว่า จะจริงเร้อ  ดังนั้นการระบุว่าจะเกิดอะไรบ้่างก็คงเพื่อเป็นหลักฐานและแสดงให้ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าของชาวยิว หรือไม่ยิวก็ตามได้ฉุกคิดได้บ้างว่า  พระเจ้านั้นอาจจะมีจริงๆก็ได้นะ ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่คอยดูต่อไปว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นมันจะเป็นไปแบบที่ชั้นกำหนดในโทรา จริงๆหรือเปล่า เพราะท่านเป็นผู้สร้าง และเป็นผู้กำหนดไว้แล้วนั่นเอง สิ่งที่เกิดขึ้นตามพระคัมภีร์ของชาวยิวนั้น มีมากมาย ไม่เฉพาะสิ่งที่เราเล่า ไม่ว่าจะเป็นการตายของสัตว์ ชนิดเดียวกันจำนวนมากมาย  และหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้  เช่นนกสีดำที่ตกจากฟ้า หลายพันตัวโดยไร้สาเหตุ  การทำลายล้างของธรรมชาติ ในหลายๆพื้นที่ อ้าว แล้วทำไมไม่มีใครบอก ไม่ยอมออกมาเตือนล่ะ พวกพระชั้นสูงของชาวยิวที่รู้หนะ ทำไมไม่ประกาศให้ระวังตัวกันบ้าง ท่านบอกว่าทำไม่ได้  ท่านรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไร แต่ท่านพูดไม่ได้ เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะในคัมภีร์บอกไว้หมดแล้ว    (ท่านบอกว่าถ้าหากต้องการรู้ความจริงระบุชัดไปเลยว่าจะเกิดที่ไหนเมื่อไร อะไร ยังไง  มีวิธีการรู้ได้คือต้องตีความคัมภีร์ และนำตัวดูลักษณะตัวอักษร ว่าเรียงกันแบบไหน บางครั้งทแยงมุมตรงกันเป๊ะ ออกมาได้เป็นเวลาสถานที่ อู้ว Motek ขนลุก เพราะคนที่เค้าบอกเราเค้าเป็นพวกเคร่งและเรียนกับพวกแรบไบ  เพราะฉนั้นเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เค้าได้รับรู้บ่อยๆ แต่ไม่เผยแพร่ไป) เค้าบอกว่าถ้าอยากรู้ ให้มาอ่านเอาเอง ฮ่วย เพราะคนสิ่งที่รู้นั้นไม่สามารถพูดหรือเล่าได้นั่นเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกรงว่าหากมนุษย์ชาติรู้แล้ว จะหยุดใช้ชีวิต  อันนี้หวังว่าคงเข้าใจนะว่าคืออะไร และท่านกล่าวว่า เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง  นี่ก็มีการกล่าวไว้เช่นกัน คร่าวๆนะ ผู้คนมากมายจะเดินทางมายังดินแดนพันธะสัญญา  หลายๆชาติ ต้องการเข้ามากอยู่ที่ประเทศอิสราเอล จะเกิดสงครามทางศาสนา  เพราะต่างก็ต้องการครอบครองเยรูซาเล็ม  ถามว่าทำไม  อ้าว ก้อโบสท์ คริสต์ที่สำคัญก็อยู่ที่เยรูซาเล็ม ของอิสลามก็อยู่ที่เยรูซาเล็ม ที่เป็นโดมสีทองๆนั่นหล่ะ ติดกันเลย ละแวกเดียวกัน ของพี่ยิว พี่คริสต์ เปิดให้คนภายนอกเข้าไปเยียมชม เคารพ สักการะได้ แต่ในพื้นที่ที่เค้ากำหนดให้นะ  ยังมีข้างใต้ดิน อันนี้เค้าไม่เปิดให้คนนอกเข้า ถึงแม้แต่ยิวด้วยกัน บางพื้นที่ก็ห้ามเข้าเลยทีเดียว ผู้ที่จะเข้าไปสวด ไปเรียนได้จะต้องมีโคตรเหง้าเป็นแบบว่าแรบไบระดับสูง มีสายเลือดที่เหมาะสม มีเส้นมีสายว่างั้นเหอะ ก็คนที่เราศึกษาจากเค้าก็เป็นหนึ่งในสายเลือดที่เหมาะสมนั่นเอง แต่โบสถ์ของพี่อิสลามท่านห้ามเด็ดขาดพวกไม่ใช่มุสลิมเนี่ย ห้ามเข้าใกล้เลยทีเดียว แหม น้อยใจอะ เห็นแต่ทางทีวีข้างในสวยงามมากเลยนะ ถ้าได้เข้าไปดูคงเป็นบุญตาโบสถ์ของพี่อิสลามหน่ะ แต่ทำไมพี่หวงห้ามมรดกโลกยังงี้หล่ะ ชิ งอน แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:24:21 แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 55 20:26:06 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 19:58:39

ความคิดเห็นที่ 8 เขาเรียก bible code หรือ Torah code ครับ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:19:40

ความคิดเห็นที่ 9 ไหนๆ ก็ตามอ่านแล้ว ขอช่วยเสริมให้ จขกท นะครับ นี่คือ คับบาล่า ถ้าจะอธิบายเปรียบง่ายๆ ก็เหมือนคล้ายๆ ตำราโหราศาสตร์-ศาสตร์ลึกลับ เฉพาะของชาวฮิบรู จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:24:38

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมาก ที่มาช่วยเสริม   ถ้าคุณรู้อะไรที่เราไม่รู้หรือ เราผิดพร่องอะไรไป ช่วยเข้ามาแก้ไขด้วยนะ เพราะเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แค่กำลังศึกษาเท่านั้นเอง จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:28:29

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรือเรื่องยิว-ฮิบรู ผมเป็นแค่นักอ่านครับ ชอบอ่านพวกหนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องลึกลับต่างๆ ส่วนคุณเจอแรบไบของจริง น่าจะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างชัดเจนกว่าผม ยังไง เล่าต่อนะครับ สำนวนคุณเขียนสนุก อ่านเพลินดีครับ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:39:57

ความคิดเห็นที่ 12 สู้ๆนะคะคุณ Motek พิมพ์สดใช่ไหมล่า ท่าจะเหนื่อยนะ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 21:23:34

ความคิดเห็นที่ 13 เราเคยเข้าหาอากู๋  ไปเจอเวปหนึ่งเข้า อ่านผ่านๆแล้วรีบปิดทันที  เพราะทุกถ้อยคำที่เขาเขียนอธิบายเกี่ยวกับศาสนายูดาย  มันไม่ใช่ อ้ะ มันไม่ใช่  แล้วทำไมถึงกล้าเขียนเผยแแพร่ให้คนเข้าใจผิด จะด้วยจุดประสงค์อะไรใดๆก็ตาม ไม่รู้ แต่มันก็ไม่น่าเพราะเป็นการบิดเบือนความจริงไปเลย เขาเขียนในทำนองที่ว่า คนยิวเนี่ย หยิ่ง ยกย่องตนเองว่าเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกเพราะฉนั้นตนจะทำอะไรกับชนชาติอื่นก็ได้ คนยิวสามารถฆ่าคนศาสนาอื่นได้ ไม่บาป  ป้าดดด ไปเอามาจากไหนเพ่ คนยิวเปรียบว่าคนศาสนาอื่นเป็นเหมือนสัตว์   เฮ้ย เท่าที่ศึกษา ไม่มีเขียนไว้ยังงี้นี่ื  หรือพี่ไทยจากเวปนั้นมีคัมภีร์ของยิวที่ไปหาเจอจากหลังบ้านแล้วไม่บอกชาวโลก  เค้าเขียนไว้อย่างนั้นเหรอพี่ คนยิวมองว่าการกินอาหารร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ใช่ยิว  เปรียบได้เหมือนการกินอาหารร่วมกับหมา      โอ้ยยย เอาเข้าไป  ไม่จริงนะ อันนี้ไม่จริง ใครไปอ่านเจออะไรทำนองนี้ขอบอกว่าไม่จริงเด้อ เอางี้ คนเคร่งศาสนาอย่างสุดโต่งที่ตีความคัมภีร์แบบผิดๆไปนั้น มีนะ  ที่เยรูซาเล็ม จะมีชุมชนของพวกเคร่งโคตรๆ แบบนี้อยู่ เป็นแนวที่ว่า ชอบด่าว่าดูถูกเหยียดหยาม คนต่างศาสนา หรือแม้แต่คนศาสนาเดียวกัน พวกนี้เค้าก็ดูถูก  อย่างเช่นถ้าเห็นผู้หญิงแต่งกายไม่เหมาะสม  ตามหลักศาสนา พี่ท่านจะด่าทอ ถมน้ำลายใส่ก้อยังมี  โอ้ยพี่ จะให้มาใส่โสร่งโพกผ้า แบกตะกร้าหาบน้ำ เหมือนตอนเร่รอนอยู่ในทะเลทรายหรือไงว่ะ พวกนี้เค้าจะค่อนข้างคิดเข้าข้างตัวเองว่า ข้านี้เป็นพวกที่ถูกเลือก จะทำอะไรยังไงก้อได้ ใครไม่ทำตามหลักศาสนาถือว่าเป็นพวกไม่ไดี  ที่อิสราเอล จะรังเกียจพวกเคร่งศาสนาจำพวกนี้มาก  เป็นแหล่งชุมชนที่อันตรายแม้แต่กับคนศาสนายิวด้วยกันก็จะไม่เฉียดใกล้   ง่ายๆ แม้แต่คนที่เค้าเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนานี้ให้เรา เรียกว่าเคร่ง ถามอะไรตอบได้  เค้ายังไม่เข้าไปใกล้ชุมชนนี้เลย ถ้าเราหลงเดินเข้าไปสงสัยไม่แคล้ว เหลือแต่ซาก เป็นศพแน่ๆ  แม้แต่แรบไบระดับสูง ก็ได้เคยออกมาประกาศทางทีวีว่า คนที่ตีความคัมภีร์ไปแบบผิดๆ แบบนั้น ไม่ถือว่าเป็นยิว !!!!!!!!  อ้าว นึกว่าจะสามัคคีอย่างที่ว่า  มีตีกันเองด้วยวุ้ย   แต่ขอบอกว่า คนยิวเนี่ย ถึงบางทีจะตีกันเองบ้างอะไรบ้าง แต่ถ้ามีศัตรู หรือเรื่องรวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม เค้าก็จะมาสามัคคีกันดีนะ  อะไรที่เคยโกรธเกลียดกันยังไง พักไว้ก่อน  ทุกอย่างโอเคแล้วค่อยมาตีกันใหม่ เอาเรื่องพวกเคร่งศาสนาแบบธรรมดาก่อน  พวกนี้เค้าจะถูกส่งไปดูตัวกัน จะมีผู้แนะนำให้ว่าต้องไปเจอผู้หญิงคนไหน ถ้าครั้งแรกไม่ถูกใจ ไม่ต้องติดต่อกันอีก ผ่านไปเลย ถ้าคนไหนถูกใจ ให้เดทกันอีกห้าครั้ง แล้วแต่งงานเลย  จะไม่เหมือนพวกเราที่จะเดทกะใคร คบกันเป็นปีแล้วแต่งก้อได้ อยู่ด้วยกันก่อนก็ได้ ไม่ถูกใจก็เลิก  ทางศาสนายิวท่านว่าไม่ดี   ผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยก็จะต้องมาจากครอบครัวที่เคร่งเหมือนกัน  แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย  พออายุสิบแปดก็ดูตัวได้แล้ว   ลืมเล่า  ผู้ชายที่เคร่งศาสนา  ห้ามช่วยตัวเองนะ เพราะถือว่าต้องเก็บเชื้อไว้ จะมาทิ้งสุ่มสี่สุ่มห้ามิได้  พี่ท่านบอกว่ามันมีค่า แต่งงานกันเสร็จ ก็ปั๊มลูก  เขาเล่าว่าตอนที่มีอะไรกันเนี่ย จะต้องเอาผ้าคลุมตัวฝ่ายหญิงไว้ เจาะให้มีรูที่ผ้า  ตรงไหนล่ะ ก้อตรงไหนมีรูก้อเจาะตรงนั้นแหล่ะ เอ้า ไม่รู้จะบอกยังไง  คือเค้าว่าไม่ต้องการให้เกิดความใคร่ เพราะเป็นเพียงแค่การสืบพันธ์ เท่านั้นจริงๆ ยามใดที่ภรรยามีประจำเดือน  เขาก็จะแยกเตียงกันนอน ไม่ร่วมเตียงกัน   ดังนั้น จะเห็นได้ว่าคนที่เคร่งศาสนาเนี่ย ลูกดกมากกกก   จริงๆนะ  อายุยังน้อยเรียกว่า โตไล่ๆกันเลยทีเดียว  บางบ้าน ห้าหกคน  บางบ้านเป็นสิบ  ท่านว่ามีลูกเยอะยิ่งดี จะได้สืบทอดศาสนาต่อไป ส่วนมากแล้ว พวกที่เคร่งศาสนาเนี่ย วันๆทำอะไรกันล่ะ อ๋อ วันๆเค้าก็ศึกษาคัมภีร์นั่นไง แลเอาเงินที่ไหนใช้กินใช้จ่ายล่ะ อ๋อ ก็เงินภาษีประชาชนของคนอิสราเอลนั่นไง แต่เหรียญมีสองด้านเสมอ  มันก็ไม่เสมอไปที่พวกเคร่งจะไม่ทำงานเลย  เค้าก็ทำงานนะ ก็ถ้ามีลูกเป็นสิบ รอแต่เงินรัฐ มันไม่พอหรอก แล้วลูกเต้าจะกินอะไร  เค้าก็ออกมาทำงานกันบ้างก็มีจ้า ดังนั้น คนอิสราเอลจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ค่อยพอใจกับนโยบายอันนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 02:38:07 แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 02:35:42 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 16:51:51 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:05:09

ความคิดเห็นที่ 14 คำว่า ดินแดน Canaan คนไทยมักออกเสียงว่า คานาอัน  แต่ที่อื่นเค้าออกเสียงว่า เคนาน  แต่ภาษาฮีบรูจะออกเสียงว่า คนาอั่น  ดังนั้นถ้าไปได้ยินที่อื่นที่ออกเสียงเหล่านี้ ให้เดาว่ามันเดียวกับ คานาอัน ที่พี่ไทยเรียกนั่นล่ะ เราเคยถามเค้าว่าจริงๆแล้วคัมภีร์ มีไว้เพื่ออะไร แล้ว ข้อปฎิบัติ ล่ะ ถ้าไม่ทำจะตกนรกไหม คำตอบ           พระเจ้า รักทุกคนทุกชนชาติ แต่ท่านจะโปรดปรานและเลือกยิว  ให้ได้มีพันธะสัญญากับท่าน   ท่านว่า ถ้าทำตามข้อบัญญัติ รักษาชาบัท     ขยายความก่อน  วันชาบัท คือวันเสาร์  หรือซาบะโต   เขียนยังงี้หรือเปล่าไม่รู้นะ  อันเดียวกันแหล่ะ   ถ้าทำตามที่ท่านบอกท่านก็จะปกป้องคุ้มครอง และมีการพายังที่ๆสัญญาไว้  หมายถึงหลังความตายนั่นเอง  แต่เราอธิบายไม่ได้มาก เพราะยังไม่เคยตาย           เขาบอกเราด้วยหลักง่ายๆว่า           ให้ลองนึกถึงเครื่องซักผ้านะ  มันมีคู่มือมาให้ใช่ไหม  ถ้าทำตามคู่มือ ก็จะมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น แต่ถ้าไม่ทำตาม เธอใส่น้ำยาซักผ้า มากไปน้อยไปตามใจเธอ  ปรับตั้งค่า ตามใจเธอ  มันก็ไม่ผิดหลักอะไร             เพียงแต่อายุการใช้งาน มันก็จะสั้นลง           ความหมายคือ เครื่องซักผ้าคือตัวเรา   คู่มือ คือคัมภีร์   นั่นเอง   แหม เราเก็ท อย่างไว ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง เพราะฉะนี้แล ในหลักศาสนายูดาย จึงมีข้อห้ามในการกิน มากมาย ห้ามกินหมู  ห้ามกินนมกับเนื้อร่วมกัน  ถ้าจะกินเค้าก็จะให้กินนมก่อนได้ หรือเนื้อก่อนได้ แต่ว่าจะมีระยะเวลากำหนดว่ากี่ชั่วโมงก้อว่ากันไป  เพราะฉนั้น ชีสเบอร์เกอร์  อดเลยตรู ของแซ่บ     ห้ามกินปลาไม่มีเกล็ด  ปลาดุกปลาสวายอะไรนั่นล่ะ ห้ามเด๊ดขาด   อาหารทะเลด้วย ผักบางชนิดก็กินด้วยกันไม่ได้ หม้อไหกะไถโพเครื่องครัวที่ใช้ในบ้าน  สำหรับนม  สำหรับเนื้อ  แยกจากกัน ห้ามใช้ร่วมกัน  แหม ห้ามเยอะจริงวุ้ย เราก้อไปถามเค้า  อ้าว ทีศาสนาอื่น เค้าไม่ห้ามอะไร  อย่างพี่ไทย กินทู้กอย่าง ไม่เห็นตายเลย ไม่เห็นมีอะไรเลย เค้าก็ยังอยู่กันได้ ทำไมต้องมาห้ามอะไรด้วย เค้าอธิบายกับเราว่า  เธออย่าลืมเครื่องซักผ้านะ  คนที่สร้างเครื่องซักผ้า ย่อมรู้ว่าจะต้องใช้งานแบบไหนถึงจะอยู่ได้นาน คงทนและแข็งแรง จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:30:19

ความคิดเห็นที่ 15 พระเจ้าของยิว คือพระยะโฮวา   แต่คนยิวไม่เรียกเช่นนั้น  ไม่เรียกชื่อเลย เรียกเป็นนาม ว่า  เอโลฮิม  אלוהים  หรือ เอโลคิม אלוקים  ที่จริงส่วนมากเอโลฮิม แต่บางทีเรียกว่าเอโลคิมเพราะไม่อยากให้ตรงเป๊ะจนเกินไป เปลี่ยนจาก ฮ  เป็น  ค  ซะ ในบทสวด จะเรียกว่า อโดนาย ส่วนพวกที่เคร่งศาสนา เค้าจะไม่เอ่ยนามของพระเจ้าเลย ถ้าจะกล่าวถึง พระเจ้าในขณะที่พูดกัน ก็จะเรียกว่า  ฮะเชม       השם   เชม  อย่างเดียวแปลว่า ชื่อ ถ้าหากพูดว่า ฮะเชม  ก็จะเป็นที่รู้กันว่าหมายถึงใคร     ขอเสนอคำอีกคำหนึ่ง   คำว่า  ฉัน אני       คำนี้อ่านว่า อนิ       คำนี้แปลว่า ฉัน   ก็ได้    หรือจะแปลว่า  ยากจน ก็ใช้ตัวเดียวกันเลย ดังนั้นเค้าเลยบอกว่า  เห็นไหม ว่าทำไมทั้งสองตัวเรียกเหมือนกัน   ก็เพราะเราเกิดมาไม่มีอะไรเลยไง เกิดมาตัวเปล่า   ก็เหมือนกับ ยากจน  ที่แปลว่าไม่มีอะไรเช่นกัน   ที่เลือกใช้คำเดียวกันเพื่อให้พึงระลึกไว้ว่า ตัวเรานี้หนอแท้จริงแล้วไม่มีอะไร โอ้ แหม่  ภาษาฮีบรูนี่ มันน่าค้นหาจริงๆเลยแฮะ   อันนี้ความรู้สึกเรานะ ถึงได้เคยบอกไงว่า ยิ่งศีกษายิ่งมันส์ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 22:51:37

ความคิดเห็นที่ 16 เพราะฉนั้น ชีสเบอร์เกอร์  อดเลยตรู ของแซ่บ >>> 555+ วิธีอธิบายเค้าเข้าใจง่ายดีนะคะ มีความลึกซึ้งทางอักษรและภาษาด้วย จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:03:08

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อไป  อาจมีการสงสัยกันว่าแล้วไอ้เจ้าโฮลี่แลนด์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เนี่ย มันเป็นของใครกันแน่เล่าหนา  พวกอาหรับก้อว่าของเค้าสิ เค้าอยู่มาก่อนนะ                 ยิวก้อว่า ใช่ที่ไหนล่ะ ของตรูเว้ย เพราะพระเจ้าบอกว่ายกให้พวกชั้นตั้งนานแล้วต่างหาก  แล้วพวกเอ็งก้อมาขับไล่ข้าออกไปไง                   แต่แล้วโชคชะตาก้อพานำพาให้ชนชาติยิวกลับมาสู่ดินแดนที่พระเจ้าประทานให้อีกครั้งหนึ่ง   อิสราเอลเพิ่งก่อตั้งประเทศเมื่อไม่นานนี้  ประเทศอิสราเอลนี่ตั้งมาได้สักหกสิบกว่าปีเอง  แต่ทว่ารายล้อมด้วย อาหรับมุสลิมที่จงเกลียดจงชังยิว อย่างที่สุด   ถามว่าทำไมหล่ะ   แล้วจะมีทางญาติดีกันได้ไหม ขอบอกเลยว่า ไม่มีทาง   เพราะอะไรหน่ะหรือ เพราะเค้าเกลียดกันมาตั้งแต่รุ่นโคตร รุ่นบรรพบุรุษแล้ว  โดยบรรพบุรุษของยิว กับมุสลิม แท้จริงแล้วเป็นญาติกัน แต่ฝั่งมุสลิมเค้าเกิดการอิจฉาที่พ่อรักลูกอีกคนมากกว่า   พ่อนี่หมายถึงพระเจ้าไง    ลูกอีกคนที่รักมากกว่าคือยิว  ตอนบรรพบุรุษฝั่งมุสลิมก้อหลอกขายน้องที่เป็นฝั่งยิว ให้ไปเป็นทาสชาวบ้านชาวช่องเค้า   แล้วก็เลยไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร   ฝั่งนึงก้ออาจคิดว่า พ่อรักเอ็งมากกว่าเหรอ อย่าอยู่เลย    อีกฝั่งนึงก้ออาจคิดว่า อ้าว จะให้ทำไง ก้อกรูเชื่อฟังพ่ออะ พ่อก้อต้องรักกรูมากกว่าดิ  ถ้าอยากให้พ่อรัก ก้อเชื่อฟังพ่อเหมือนกรูสิ เฮ้อ อ่านประวัติศาสตร์แล้วพาลเหนื่อย ไอ้ที่ว่าจะมีการปรองดองกันได้ไหม  ฝั่งยิวเค้าว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเค้าเกลียดพวกชั้นมาตั้งแต่รุ่นโคตร ของโคตรแล้ว ชั้นไม่ได้ไปทำอะไรให้เค้านี่ เค้าเกลียดชั้นเองนะ แต่ทางฝั่งยิวในโทรา เค้าไม่ค่อยมีการสอนให้เกลียดฝั่งมุสลิมสักเท่าไร ส่วนมากกล่าวถึงการใช้เครื่องซักผ้าให้คงทน จากตามประวัติศาสตร์ ก็จะแสดงให้เห็นว่า ฝั่งยิวไม่ค่อยได้ไปมีเวลาอิจฉาริษยาเผ่าพันธุ์ไหนนัก เพราะพี่ท่านจะมัวแต่กางแผนที่หาดินแดนพันธะสัญญานั่นเอง ไม่งั้นไม่มีที่อยู่ไง ส่วนสงครามโลกครั้งที่สามหน่ะ   มีการเขียนระบุไว้ในคัมภีร์เรียบร้อยแล้วจ้ะ ผู้ที่รู้อ่านออกตีความไขรหัสได้ ก็ร้องห่มร้องไห้ สงสารชะตากรรมของพวกเราไป  ปากก้อต้องอมพะนำไว้ อยากเตือนก็เตือนไม่ได้ เพราะพ่อห้ามบอก   พ่อบอกว่าถ้าพวกเขาอยากรอดให้เข้ามาเป็นลูกของเราเอง มาอ่านเอง   จะสังเกตได้ว่า ศาสนายิวจะไม่ค่อยมีผู้เผยแพร่มากนัก เหมือนอย่างมิชชันนารี่   เพราะเค้าถือว่า พระเจ้าไม่จำเป็นต้องไปวิ่งตามเธอให้เธอต้องมาเชื่อในตัวท่าน   ถ้าพวกเราศรัทธาในตัวท่าน และมีความเชื่อก็ให้เข้าไปหาเอง   สโลแกนพี่ยิวเค้าล่ะ การเข้าเป็นศาสนายิว จะมีผลต่างกันดังนี้ 1  พวกที่เกิดมาจากครอบครัวของยิวเคร่ง   จะได้แรงบุญหรือพลังในระดับล่างสุด  เพราะถือว่าเกิดมาก้อต้องเรียนรู้ตามหน้าที่อยู่แล้ว 2   พวกที่เป็นยิวโดยกำเนิด แต่ไม่เคร่ง  ใช้ชีวิตลั้ลลา ศึกษาโลกภายนอกกิเลสต่างๆ แล้วกลับมาศรัทธาในพระเจ้า  คือเป็นยิวครึ่งหนึ่งแล้วโดยกำเนิดแต่หลงผิด  พวกนี้จะได้แรงบุญหรือพลังในระดับกลาง 3   พวกที่เป็นศาสนาอื่นแล้วมาเข้าเป็นยิว  พวกนี้จะได้แรงบุญหรือพลังในระดับสูงสุดเลยเชียวนะ   ถามว่าทำไม   เหตุผลที่เค้าบอกคือ  พวกเธอเกิดมาเป็นศาสนาอื่น พวกเธอได้ใช้ชีวิตในแบบอื่นที่ไม่ใช่วิถีชาวยิว  พวกเธอไม่จำเป็นต้องมานับถือเป็นยิวก็ได้ แต่พวกเธอเลือกที่จะทำเพราะแรงศรัทธา  ฉนั้น เธอจะได้คะแนนมากกว่าใครเพื่อนเลยหล่ะ  มากกว่าพวกที่เกิดมาจากครอบครัวแรบไบเสียอีกนะ  โอ้ ว้าววว ทางลัดแรงบุญ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:33:26 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 23:53:53

ความคิดเห็นที่ 18 ขอประทานโทษนะครับ จากข้อความตรงนี้ เพราะเค้าเกลียดกันมาตั้งแต่รุ่นโคตร รุ่นบรรพบุรุษแล้ว  โดยบรรพบุรุษของยิว กับมุสลิมอะ  แท้จริงแล้วเป็นญาติกัน แต่ฝั่งมุสลิมเค้าเกิดการอิจฉาที่พ่อรักลูกอีกคนมากกว่า   พ่อนี่หมายถึงพระเจ้าไง    ลูกอีกคนที่รักมากกว่าคือยิว  ตอนบรรพบุรุษฝั่งมุสลิมก้อหลอกขายน้องที่เป็นฝั่งยิว ให้ไปเป็นทาสชาวบ้านชาวช่องเค้า   แล้วก็เลยไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร   ฝั่งนึงก้ออาจคิดว่า พ่อรักเอ็งมากกว่าเหรอ อย่าอยู่เลย    อีกฝั่งนึงก้ออาจคิดว่า อ้าว จะให้ทำไง ก้อกรูเชื่อฟังพ่ออะ พ่อก้อต้องรักกรูมากกว่าดิ  ถ้าอยากให้พ่อรัก ก้อเชื่อฟังพ่อเหมือนกรูสิ  ประวัติของชาวยิวในอัลกุรอ่านก็มีกล่าวถึงนะครับ แต่เป็นคนละมุมกับอันนี้ อยากทราบมั้ยครับ ถ้าอยากผมจะนำมาบอก เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:23:09

ความคิดเห็นที่ 19 เอ่อ..... กระทู้นี้ขอเป็นศาสนายูดายเท่านั้นได้ไหมคะ กะลังสนุกอยู่เลย เราเพิ่งเคยอ่านเกี่ยวกับศาสนายูดาย อยากให้ จขกท เค้าได้นำเสนออย่างเต็มที่ ไม่ขาดตอน ยังไงขอคุณ YAMAMANG แตกกระทู้ไป หรือตั้งกระทู้ใหม่ได้ไหมคะ ถ้าจะนำเสนอข้อมูลจากศาสนาอื่น ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:43:33

ความคิดเห็นที่ 20 แค่ถามความเห็นแค่นั้นครับ ถ้าบอกว่าได้ผมก็จะนำเสนอ แต่ถ้าไม่ ผมก็ไม่นำมา ต่อครับผมก็รออ่านอยู่ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 00:45:54 จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:45:14

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าอยากเขียนก็เขียนได้  ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร  แต่ก็อย่าให้มันต้องเป็นประเด็นสงครามด้่านความเชื่อก็แล้วกัน  เราเองไม่ได้เป็นยิว เพียงแค่ศึกษา แต่ถ้าหากศาสนาอื่นจะเข้ามาค้นหาท้าความจริง มาเค้น มาโต้วาที ให้มีการแตกแยก  อันนี้อย่าดีกว่า  เราเล่าในสิ่งที่เรารู้ และใช้ถ้อยความที่ไม่ได้ลอกแบบมาจากใคร เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ไม่งง  เราก็จะใช้ถ้อยคำง่าย สั้ย กระชับ ลูกทุ่ง  อาจรุนแรงไป แต่ไม่ได้เจตนา  กระทู้เราไม่ได้อยากให้คิดลึกซึ้งตีความกันวุ่นวาย  อยากให้อ่านแล้วจับประเด็นได้ การเขียนจึงออกแนวตรง แต่ถ้าไปเสียดแทงศาสนาใด ทำให้เกิดการขุ่นเคือง ขออภัย   แต่ถ้าใครอยากทราบถึงข้อเท็จจริง หรืออยากไปศึกษาตามเว็ปอากู๋  ให้มันแจ่มแจ้งกว่าที่เราเขียนก็ได้  ย้ำเราเป็นแค่ผู้ศึกษา ไม่ใช่ยิว   เราไม่ใช่ผู้ปราชเปรื่องเรื่องศาสนาแบบชนิดที่เรียกว่า ใครถาม ตอบได้  ไม่ใช่อับดุลย์นะ ที่จะถามได้รู้หมด แล้วที่ว่าคัมภีร์ยิวเนี่ย เป็นต้นแบบของคัมภีร์ในศาสนาคริสต์และอิสลาม  เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร   ถ้าเท็จแย้งได้ ถ้าจริง ง้้นศาสนายิวมีมาก่อนอิสลามอย่างนั้นหรือ   เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน เพราะแต่ละฝ่ายก็อ้างกันไป อ้างกันมา  แต่ทว่า เรามันคนรุ่นหลังไม่ได้มีใครไปนั่งคู่อยู่กับคนเขียนคัมภีร์  จึงจะได้เอามาบอกว่าของแกเท็จ ของชั้นจริง   ย้ำ  ไอ้ที่เราเขียนเล่าสู่กันอ่าน ไม่ได้มีเจตนาสร้างศัตรูสงครามศาสนาที่จะบอกว่าของแกดี หรือของฉันดีกว่า  เราแค่อยากเล่าในสิ่งที่เรารู้ในอีกแง่มุมหนึ่ง ที่อาจหาอ่านไม่ได้จากเน็ตหรือเวปทั่วไปที่คัดลอกกันต่อๆมา   อยากแจม อยากเล่า อยากแย้ง ให้ความรู้แก่ผู้ที่ไม่รู้เป็นสิ่งดี แต่ขอความกรุณา อย่ามีแอบเหน็บแนม ผู้ใดคนใด อะไรในกระทู้ของเราเหมือนกระทู้ข้างล่างก็แล้วกัน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:54:27

ความคิดเห็นที่ 22 ทำไมคุณ Motek ไม่ตั้งสมมติฐานว่า พระเจ้าของยิว คือ มนุษย์ต่างดาว ล่ะครับ แวะจอดยาน สำรวจ เจอมนุษย์ใช้ชีวิตผิดมาก ป่ามากๆ เลยใช้เทคโนโลยีสแกน DNA มนุษย์ จากฐานข้อมูลกาแลคซี่ที่אלוהים แล้วทิ้งคู่มืออาหารการกินไว้ให้ คู่มือสืบพันธ์ ก็ทิ้งไว้ด้วย ไม่งั้น พวกเข้าผิดช่องตลอด แวะมาจอดยานแถวชาวพุทธอยู่ เจอพระอริยะขั้นปฏิสัมภิทาญาณ คุยโต้ตอบกันรู้เรื่อง ใช้ชีวิตถูกต้องแล้ว เลยไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ (น่าจะชี้บ่อน้ำมันไว้ให้เรามั่ง) คุณเจ้าของกระทู้ยังดี สงสัยยิวมีคนให้ถาม ผมสงสัยมนุษย์ต่างดาว จะถามใครล่ะนี่ ! จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:57:50

ความคิดเห็นที่ 23 ครับผม ผมจะพูดในแง่ประวัติศาสร์อย่างเดียวครับ ไม่ได้เกี่ยวในแง่ของความเชื่อ แล้วผมจะไม่ให้เป็นประเด็นที่จะทะเลาะกันได้ครับ แต่ให้ ท่าน Motek เขียนให้จบก่อนดีกว่าครับ ผมกำลังอ่านเพลินๆ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 01:01:25 จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 00:59:18

ความคิดเห็นที่ 24 คุณ Motek เค้าบอกแล้วว่า เขาคือผู้ศึกษา เค้าจะไปตั้งสมมุติฐานอะไรล่ะคะ แหม... เค้าเล่าตามที่ได้ศึกษามา และตามมุมมองของศาสนายูดายค่ะ :) จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:02:53

ความคิดเห็นที่ 25 ระหว่างรอคุณ Motek พิมพ์ข้อความต่อไป ขออนุญาตฟัด คุณแมวเก้าแต้มก่อนนะครับ แง่งๆๆ งั่บๆๆ กรรส์ๆๆๆ (ผมฟัดขาคุณแมวเก้าแต้มคนเดียว) ----------- ผมก็สมมติฐานมั่วๆไปเรื่อยๆละครับ ไม่ต้องไปตีกับศาสนาไหน ฮาอยู่นอกโลกคนเดียว ----------- แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 01:06:36 จากคุณ : Zim-MorLuth- เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:04:41

ความคิดเห็นที่ 26 พรุ่งนี้มาต่อ.  ขอไปพักก่อน. แต่ท่านใดมีข้อสงสัยฝากทิ้งไว้ได้.  แล้วจะถามผู้รู้มาให้จ้า.  เราเองมีข้อสงสัยเยอะ. เคยกวนประสาทเชิงท้าทายศิษย์ของแรบไบ. ประจำเลยเหมือนกัน. ส่วนมากเราจะสงสัยในพุทธกะยิวว่าทำไมเป็น ยังงี้. ทำไมไม่ยังงั้น.  โดนตอกกลับหน้าหงายมาประจำเลย. เหอ เหอ แต่มันก้อนะ. ต้องถามจึงจะรู้. ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 01:24:30

ความคิดเห็นที่ 27 เดี๋ยวให้ท่าน Motek เขียนให้จบก่อนนะครับแล้วผมจะมาต่อ เบื้องต้นเอาเรื่องคัมภีร์ก่อนละกัน ในอิสลามนั้นพระเจ้าได้ประทานคัมภีร์มาให้มากมายหลายเล่มแก่บรรดาศาสนทูตหลายท่านครับ ที่สำคัญมีอยู่ 4 เล่ม คือ 1. เตารอต (Torah) ถูกประทานให้กับนบี มูซา (โมเซส) 2. ซะบูร                 ถูกประทานให้กับนบี ดาวูด (กษัตริย์เดวิด) 3. อินญีล               ถูกประทานให้กับนบี อีซา (เยซู) 4. อัลกุรอาน           ถูกประทานให้กับนบี มุฮัมหมัด ***นบีมีความหมายว่า ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาประกาศศาสนากับมนุษย์ ขอต่อต้นกำเนิดของชนชาติอิสราเอลอีกนิดละกัน อิสราเอล ในภาษาอาหรับเรียกว่า อิสรออีล ในอัลกุรอานจะเรียกชนกลุ่มนี้ว่า บนีอิสรออีล แปลว่า วงศ์วานของอิสรออีล อิสรออีลเป็นชื่อที่พระเจ้าทรงตั้งให้กับ นบียะอฺกู๊บ (Jacob) บุตรของนบีอิสฮาก (Isaac) บุตรของนบีอิบรอฮีม (Abraham) ส่วนชาวอาหรับสืบเชื้อสายมาจาก นบีอิสมาอีล (Ishmael) บุตรของนบีอิบรฮีม เอาแค่นี้ก่อนนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 02:42:39 จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 02:09:00

ความคิดเห็นที่ 28 เราก็ชอบอ่านประวัติศาสตร์นะคะ ตั้งแต่อายุประมาณ 7-8 ขวบ ก็นั่งอ่านประวัตินบีแต่ละท่าน ปัจจุบันก็ยังอ่าน(นาน ๆ ที) เนื้อหาฝั่งยิว ก็มีประเด็นที่ไม่เหมือนกัน    เรื่องจริงมันยาวนานมาก แต่แวะมาอ่านเอาความรู้แล้วกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 06:31:51 จากคุณ : เดอะลิง เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 06:30:35

ความคิดเห็นที่ 29 เรื่องที่หลอกขาย ให้ไปเป็นทาสนั้น น่าจะเป็นเรื่องของโยเซฟนะครับ อันนี้ไม่ใช่ยิวกับอาหรับ ยิวกับอาหรับนั้น ยิวสืบเชื้อสายมาจาก ไอแซ็ค หรือมุสลิมเรียกท่านว่า นบีอิสฮาก แต่ภาษาฮิบรูไม่แน่ใจว่า อิสอัค หรือเปล่า ซึ่งเป็นลูกคนรองของ อับราฮัม หรือมุสลิมจะเรียนท่านว่า นบี อิบรอฮีม  ส่วนเชื้อสายของท่านนบีมุฮัมมัดนั้น มาจากท่านนบีอิสมาอีล ทางยิวน่าจะเรียก อิชมาเอล ประมาณนี้ เป็นลูกคนโตครับ เป็นเรื่องก่อน ที่โยเซฟ (มุสลิมเรียกว่านบียูซุฟ) จะถูกพี่น้องขายไปเป็นทาสครับ ถ้าจำไม่ผิด โยเซฟ เป็นหลานปู่ ของไอแซ็ค แล้ว ซึ่ง ท่านนบีอิสมาเอล (อิชมาเอล) กับท่านนบีอิสฮาก (ไอแซ็ค) ก็ไม่ได้มี ปัญหาอะไรกัน รุ่นถัดๆ มาก็ไม่มี นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าไปมีปัญหากันตอนไหนด้วย บทความน่าสนใจมากอ่านสนุกได้ความรู้ แต่บางเรื่องผมก็งงๆ อ่ออีกประการ ท่านนบีอิบรอฮีม หรือับราฮัมนั้น ไม่น่าใช่ยิวครับ ยิวนั้นเป็นชื่อของลูกหลานท่าน ฝั่ง ท่านนบีอิสฮาก (ไอแซ็ค) คนนึงยูดาห์ (ภาษาอาหรับเรียกอะผมไม่แน่ใจ ยะฮูดหรือเปล่า) ท่านนบีอิบรอฮีมนั้น มาจากอิรัค น่าจะเป็นอาหรับมากกว่า นะครับ อันนี้ตั้งข้อสังเกตุ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 07:40:05 จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 07:38:31

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยกับ Carroth เรื่องหลอกขายเป็นทาส น่าจะเป็นนบียูซุฟ (โจเซฟ) ที่เคยมีการ์ตูน เรื่องโจเซฟจอมราชาฉายน่ะค่ะ จากคุณ : เดอะลิง เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:12:43

ความคิดเห็นที่ 31 อืมม...ผมว่าผมได้โพสท์ภาพจากต้นตระกูลอาดัมหลายครั้งแล้ว ทางห้องสมุดและศาสนา  แต่สังเกตุไม่ค่อยมีใครใส่ใจถามนัก  ผมจึงนำขึ้นมาให้ชมกันใหม่  ภาพดังกล่าวนี้วาดตามเรื่องราวในเยนิซิศคัมภีร์ฉบับแรกของคัมภีร์ทั้งยิวและคริสเตียนได้ใช้อ้างอิงครับ   ส่วนมุสลิมที่อ้างกันว่ามีเรื่องราวประวัติที่คล้ายกับคัมภีร์ของทางยิว/คริสต์นั้น  เราคงต้องเปิดใจกันศึกษาแล้วว่า  เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทั้งของยิว-อิสลาม-คริสต์ นั้น  ข้อมูลการบันทึกของฝ่ายใดมีน้ำหนักมากกว่า   หรือจะพูดว่าของฉบับไหนน่าจะเป็นการบันทึกครั้งแรก  เนื่องจากการขยายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ได้แพร่ขยายออกไปทั่วโลก  ข้อมูลเดิมอาจจะมีบางส่วนถูกต้อง อาจจะมีบางส่วนคลาดเคลื่อน   จะคลาดเคลื่อนเพราะการตั้งใจหรือไม่คงต้องศึกษากันต่อไปครับ    จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:19:38

ความคิดเห็นที่ 32 Next..... จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:21:45

ความคิดเห็นที่ 33 ช่วงอาดัมถูกไล่ออกจากพาราไดส์(จากมีชีวิตนิรันดร์ไปสู่ความตาย) จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:29:16

ความคิดเห็นที่ 34 เหตุการณ์หลังน้ำท่วมยุคโนอาไปจนถึงหาสูงที่ถูกพระเจ้าทำลายจนเป็นที่มาของการเกิดภาษาต่างๆ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:32:40

ความคิดเห็นที่ 35 หลังเหตุการณ์หอสูง-ถึงยุคอับราฮามที่เป็นต้นตระกูลยิวและอารับ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 08:35:24

ความคิดเห็นที่ 36 ความคิดเห็นที่ 15 พระเจ้าของยิว คือพระยะโฮวา จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 09:18:26

ความคิดเห็นที่ 37 พระคัมภีร์เก่าฉบับพิมพ์ใหม่  มีการตัดชื่อของพระเจ้า(ยะโฮวา)ออก  โดยใช้คำพระเจ้าแทนครับ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 09:22:19

ความคิดเห็นที่ 38 ภาษาเฮบรายอ่านจากขวาไปซ้ายครับ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 09:25:31

ความคิดเห็นที่ 39 อ่านเพลินดีค่ะ และนี่ก็เป็นข้อมูลทางฝั่งประวัติศาสตร์ของคุณยิวเค้า แต่สำหรับอิสลามเราก็มีเช่นกัน บางอย่างข้อมูลจะไม่เหมือนกันกับที่ จขกท นำเสนอ และบางตอนอ่านแล้วท-ะ :-) ๆ ดูเหมือนในเนื้อหา พระเอก คือ ยิว พระโกง คือ อาหรับ อิอิ อย่าว่ากันนะคะ อันนี้ความรู้สึกของดิฉันเอง เล่าต่อค่ะ รออ่านเหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 09:49:35 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 09:47:58

ความคิดเห็นที่ 40 พี่น้องมุสลิมครับ ผมคิดว่าน่าจะให้ เจ้าของกระทู้บอกเล่าเรื่องราวให้จบก่อนดีกว่านะครับ เพื่อที่เนื้อหาจะได้ไม่ขาดตอน จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 11:46:10

ความคิดเห็นที่ 41 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 12:38:27 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 12:33:40

ความคิดเห็นที่ 42 เห็น จขกท บอกว่า มีข้อสงสัยฝากทิ้งไว้ได้  แล้วจะถามผู้รู้มาให้ ดังนั้นแล้วจึงขอถามว่า จริงหรือไม่คะ ที่ว่าเด็กยิวจะได้รับการสั่งสอน อบรม ให้ดูถูก เกลียดชัง มองผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ยิวว่าเป็นลาตัวเมีย - ในคัมภีร์ของยิว "ไม่มีความผิดใดๆ ในกรณีที่ยิวละเมิดความบริสุทธิ์ต่อผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ยิว  เนื่องจากพันธะการแต่งงานของผู้อื่นที่ไม่ใช่ยิวนั้นถือเป็นโมฆะ ฉะนั้นสตรีที่ไม่ใช่ยิวนั้นเปรียบเสมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ซึ่งในบรรดาหมู่สัตว์แล้วพันธะสัญญาใดๆก็ถือเป็นโมฆะ" - ในคัมภีร์ของยิว "บุรุษยิวมีสิทธิในการข่มขืนสตรีที่ไม่ใช่ยิว" - ในคัมภีร์ของยิว  "การซินา(การผิดประเวณี)กับชายหญิงที่มิใช่ยิวนั้นไม่มีความผิดใดๆ เนื่องจากพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากสัตว์เดรัจฉาน" - ในคัมภีร์ของยิว "สตรียิวนั้นไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องใดๆ ในกรณีที่สามีทำผิดประเวณีกับสตรีที่ไม่ใช่ยิว ถึงแม้การประเวณีนั้นเกิดขึ้นในบ้าน" ..... ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 12:38:15

ความคิดเห็นที่ 43 หลายท่านอาจกล่าวว่า หึย  ทางฝั่งฉันไม่เห็นเขียนแบบนี้เลย อันนี้ นานาจิตตัง ใครศรัทธาอะไรด้านไหน ยังไง ก็มีข้อโต้แย้ง เราไม่ว่าอะไร เพราะอย่างที่บอกเราเองก็มีข้อที่เคลือบแคลงสงสัย ในหลายๆอย่างของยิวเช่นกัน ในส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์ งั้นเราขอสรุปคร่าวๆ แบบที่เราเข้าใจในส่วนนี้เลยแล้วกัน ลุงอับราฮัมหรืออิบรอฮีม   เป็นคนแรกที่ติดต่อกับพระเจ้าได้ แต่ลุงเป็นอิรัก แล้วน่าจะเป็นอาหรับ อันนี้ถูกต้องไหม แต่ทว่าในประวัติศาสตร์ของพี่ยิวแกว่าไว้แบบนี้ คือลุงอับราฮัมติดต่อกับพระเจ้าได้ พระเจ้าสัญญาถึงดินแดนและการนับถือพระเจ้า ข้อหนึ่งในเงื่อนไขก็คือ การขลิบ  ตอนนั้นลุงอายุร้อยกว่าปี ลุงก็ขลิบ งั้นหรือแสดงว่าลุงเชื่อในพระเจ้าทางยิวแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า  แล้วลุงก็บอกต่อๆส่งสารมายังลูกหลานถึงคำสัญญาทีี่มีต่อกันระหว่างพระเจ้า และลูกหลานทุกคนก็ขลิบเรื่อยมา ลุงมีลูกหลาน  แต่ว่า อิชมาเอล คือต้นตระกูล ของอิสลาม                           ไอแซค    คือต้นตระกูล ของ ยิว ทางประวัติศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างยิวกับอิสลาม ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ความศรัทธาอะไรยังไง  ถ้าจะแย้งขอให้ไปตั้งอีกกระทู้นะคร้าบ  จะได้ไปอ่านกันถูก เผื่อบางท่านเข้ามาในหัวข้อที่ชื่อว่าศาสนายูดาย อ้าวไหงมันจบลงด้วยอิสลามซะงั้น  โอเคป่าว ส่วนตัวเราเองแค่ศึกษา ทางยิวเค้าเล่ามายังงี้ เราก็เอามาเล่าต่อ  แต่เราจะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาต้นกำเนิดมากนัก จะสังเกตได้ว่า เราไม่ค่อยเล่าเจาะลึกถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์จนละเอียดถี่ยิบ  เพราะอันนี้เราถือว่า ไม่ว่ามันจะถูกเขียนให้ออกมาในแนวไหน มันก็คือประวัติศาสตร์อยู่วันยังค่ำ อ่านไว้ประดับความรู้ รู้จักที่มา แต่ไม่อยากเอามาเป็นประเด็นอะไรมากมาย เราใส่ใจกับความศรัทธาในปัจจุบันมากกว่า ในปัจจุบันทางพลเมืองยิว  ในอิสราเอล เค้าจะมีการถามว่า ต้นตระกูลมาจากไหน   เค้าว่าถ้าอยากรู้ว่าคนผู้นั้นนิสัยมีแนวโน้ม แบบไหน ให้ถามเลยว่า โคตรหนะ มาจากไหน เช่นถ้ามาจากอิรัก  จะออกแนวเลือดร้อน อิหร่านก็จะเป็นแบบนึง อันนี้จำไม่ได้จริงๆ   จากตุรกี  จะเป็นพวกเหนียว ขี้งก แต่หน้าตาดี  กรี้ววว       หรือพวกไทมาเนีย   ลักษณะคือผิวสีคล้ำ น้ำตา่ลไหม้ เนียน กินเผ็ดเก่ง พูดออกเสียงบางตัวอักษรในภาษาฮีบรูไม่ชัด    นิสัยรื่นเริง อัชเก็นนาซี่   พวกยุโรป  นิสัยอย่างนึงแต่ที่เหมือนๆกันคือไม่ค่อยสู้พริก กินเผ็ดไม่ได้ และที่อิสราเอล ก็จะมีคนยิวหลายเชื้อชาติมาก  เอธิโอเปีย อิีรัก อิหร่าน ตุรกี รัสเซีย โปแลนด์  ที่อินเดียและจีนก็รู้สึกว่าจะมีชุมชนยิวเช่นกันถ้าจำไม่ผิด  ก็จะมีทั้งยิวแท้ ก็คือได้กลับเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้แล้วก็ยังปฎิบัติตัวเป็นยิวที่ดี  และยิวที่แท้นิดๆ ขอเรียกยังงี้ก็แล้วกันนะ คือเกิดมาในครอบครัวยิว แต่ว่าไม่ได้เคร่ง ไม่สนใจวิถียิว  กินของแสลงทั้งหลาย ไม่ไปโบสถ์ ไม่สวด ไม่สนใจชาบัท  อะไรแนวนี้ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 12:40:04

ความคิดเห็นที่ 44 เข้ามาอ่านครับ ^^ จากคุณ : ศรัทธาพลัง เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 12:59:12

ความคิดเห็นที่ 45 อ่านสนุกดี ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ชาเขียวร้อน เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:05:25

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ Motek นำเสนอให้จบก่อนก็ได้ค่ะ ค่อยตอบคำถามทีเดียว คนที่เค้าไม่ได้สนใจอยากรู้คำตอบของคำถามแบบนั้น จะได้ไม้ต้องรอ เดี๋ยวอาจมีมาอีกเป็นสิบ กำลังรออ่านถึงความน่าสนใจ น่าค้นหา ของศาสนายูดายต่อค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 13:08:53 จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:06:44

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบ Ms Kohlanta ดังนั้นแล้วจึงขอถามว่า จริงหรือไม่คะ ที่ว่าเด็กยิวจะได้รับการสั่งสอน อบรม ให้ดูถูก เกลียดชัง มองผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ยิวว่าเป็นลาตัวเมีย ******  อันนี้ไม่จริง เด็กยิวไม่ได้ถูกอบรมให้เกลียดหรือชังศาสนาอื่น  และไม่ได้รับการสั่งสอนให้มองผู้หญิงว่าเป็นลาตัวเมีย  ในทางยิวแล้ว ผู้ชายส่วนมากจะทำหน้าที่รับใช้พระเจ้าเข้าทำนองคลองธรรมมากกว่าผู้หญิง  เพราะเมื่อเป็นครอบครัวแล้ว ผู้หญิงจะต้องดูแลลูก และมีหน้าที่ๆ กำหนดไว้แ้ล้วเช่นกัน อย่างเช่นการจุดเทียนชาบัท  ผู้หญิงเท่านั้นต้องเป็นผู้จุด  แต่ถ้าหากชายผู้นั้นยังไม่แต่งงานและอยู่คนเดียว จะอนุโลมให้ชายผู้นั้นจุดเองได้  ดังนั้นจะเห็นว่า ในทางศาสนายิวอาจมีหน้าที่ต่างกันของหญิงชาย แต่ผู้หญิงจะมีสิ่งที่ชายกระทำไม่ได้ และต้องเป็นหน้าที่ของหญิงเท่านั้น  และ นี่อาจจะช่วยเสริมเหตุผลในส่วนที่ว่า ยิวก็ให้เกียรติผูหญิง มิได้มองว่าระดับด้อยกว่าแต่อย่างใด ********* - ในคัมภีร์ของยิว "ไม่ มีความผิดใดๆ ในกรณีที่ยิวละเมิดความบริสุทธิ์ต่อผู้หญิงอื่นที่ไม่ใช่ยิว  เนื่องจากพันธะการแต่งงานของผู้อื่นที่ไม่ใช่ยิวนั้นถือเป็นโมฆะ ฉะนั้นสตรีที่ไม่ใช่ยิวนั้นเปรียบเสมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ซึ่งในบรรดาหมู่สัตว์แล้วพันธะสัญญาใดๆก็ถือเป็นโมฆะ" - ในคัมภีร์ของยิว "บุรุษยิวมีสิทธิในการข่มขืนสตรีที่ไม่ใช่ยิว" - ในคัมภีร์ของยิว  "การซินา(การผิดประเวณี)กับชายหญิงที่มิใช่ยิวนั้นไม่มีความผิดใดๆ เนื่องจากพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากสัตว์เดรัจฉาน" ************* สามข้อ จะขอตอบรวบรัดเป็นอันเดียวเลย   ว่า ความผิดบาปที่สุด  เรียกว่ามหันต์ ของยิวนั้น มีอยู่สองอย่างที่ไม่น่าให้อภัย นั่นคือ 1   การผิดลูกผิดเมียของผู้อื่น   2   การแต่งงานกับหญิงที่ไม่ใช่ยิว   ผิดบาปมากกก แต่ว่าบาปอันนี้จะได้รับการให้อภัยถ้าหากหญิงเปลี่ยนศาสนาเป็นยิว  (ลูกที่เกิดมาจะเป็นยิวตามแม่นั่นเอง  รักษาเผ่าพันธุ์ ) เราก็ไม่รู้ว่าความคิดเกี่ยวกับการข่มขืนหญิงไม่ใช่ยิวแล้วไม่มีความผิด อันนี้ไม่จริงเลย เพราะจะบอกว่า ยิวเนี่ยนะ แค่คิดจะมีเมียที่ไม่ใช่ยิวนี่ก็ผิดบาปมากๆๆๆ แล้ว แล้วเรื่องข่มขืนแล้วไม่ผิดนี่ ไม่จริงอย่างแรง   ยิว  ไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่จะแตะผู้หญิงแม้แต่ปลายนิ้ว ถึงแม้จะเป็นยิวด้วยกันก็ตาม ไม่ใช่เพราะรังเกียจ  อย่างที่เคยเล่าไว้่ข้างต้นว่า คนที่เค้าแนะเรื่องราวเกี่ยวกับยิวให้เรา นั้น เมื่อครั้นถึงเวลาอันควรจะถูกส่งไปดูตัวหาคู่  ถ้าคุยกันแล้วคลิ๊ก ก็จะนัดคุยกันต่อไปแค่ไม่เกินห้าครั้งแล้วแต่งงานกัน  ถ้าไม่คลิ๊กก็เลิกติดต่อไปเลยหลังจากเดทแรก  แล้วในระหว่างเดทกัน ก็จะไม่มีแม้แต่การถูกเนื้อต้องตัวกันเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วผู้ชายที่เป็นวิถียิวจริงๆเนี่ย อย่างที่บอก เค้าไม่ช่วยตัวเอง  เค้าไม่ต้องการแม้แต่จะให้เชื้อ ออกนอกร่างกาย แบบทิ้งๆขว้างๆ   เพราะมันมีค่า   ถ้าเค้าไม่ช่วยตัวเอง เพราะเหตุผลนี้ แล้วเรื่องข่มขืนหญิงที่เป็นยิวหรือไม่เป็นยิวนี่ไม่น่าจะใช่ประเด็นแล้วหล่ะ เพราะแค่แตะด้วยปลายนิ้ว ก็ไม่ได้แล้ว ในทางกฎหมาย  การข่มขืนหญิง ถึงแม้ยิวด้วยกันเองก็เหอะ  ผิดโดนจับติดคุกแหงแก๋ แล้วอย่างแรบไบ ทีระดับค่อนข้างสูง หรือคนที่เคร่งมากๆ เค้าแทบจะไม่มองผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ  เดินไปไหนจะเอามือป้องสายตาตลอด   คงไม่มีทางจะไปข่มขืนหญิงไหนหรอกจ้า ในคำสั่งสอนของยิว ไม่ได้มีเขียนไว้นะ เรื่อง ว่าด้วยการข่มขืนที่คุณสงสัยหน่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 13:11:31 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:07:47

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณ คุณMotek (Motek)  ที่กรุณาตอบคำถาม ได้ความรู้มากๆเลย เขียนเล่าเรื่องราวได้น่าอ่านมาก ค่ะ :) อ่อ คุณ แมวเก้าแต้ม ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้คุณไม่สบายใจค่ะ เห็น จขกท เค้าบอกไว้หน่ะค่ะว่า ถ้ามีข้อสงสัย ฝากถามไว้ได้ เลยถามไป ระหว่างรออ่ะค่ะ แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 13:22:48 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 13:17:47 จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:15:32

ความคิดเห็นที่ 49 ค่ะ คุณ YAMAMANG เค้าก็แนะนำว่า พี่น้องมุสลิมครับ ผมคิดว่าน่าจะให้ เจ้าของกระทู้บอกเล่าเรื่องราวให้จบก่อนดีกว่านะครับ เพื่อที่เนื้อหาจะได้ไม่ขาดตอน และเราก็แนะนำว่า คุณ Motek นำเสนอให้จบก่อนก็ได้ค่ะ ค่อยตอบคำถามทีเดียว ก็ประมาณนี้ค่ะ ถามได้ค่ะ และจะดีมากถ้าได้ข้อมูลครบถ้วนก่อนค่ะ จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:27:40

ความคิดเห็นที่ 50 ค่ะ รับทราบ พอดีดิฉันก็ทำตาม ที่ จขกท. เค้าบอกไว้ข้างต้น เช่นกันอ่ะค่ะ ว่าถ้าสงสัยอะไรก็ให้ฝากคำถามทิ้งไว้ได้ ขออภัยทุกท่านด้วยค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:44:41

ความคิดเห็นที่ 51 สำหรับผม บทความนี้  น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง  มีค่าควรแก่การเก็บเข้าคลังกระทู้และ เซฟไว้ อืม จากกความเห็นที่ 41 ผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เกี่ยวกับชาวยิวมาหมือนกัน  เรื่องที่พวกเรามุสลิมรับรู้เกี่ยวกับยิว  แล้วเกือบทั้งหมดมาจากพวกเราด้วยกันเอง  อีกแหล่งหนึ่งก็เจ้าของรถยนต์รายใหญ่ของอเมริกาที่โดนยิวหลอกแล้วเขียนหนังสือเกี่ยวกับยิวมาเล่มนึง แต่บทความนี้เขียนจากความรู้สึกของต่างศาสนิกที่สนใจศึกษาในยิวโดยปราศจากอคติใดๆ ถือว่าทรงคุณค่ามาก และที่เขารู้ก็มายิวโดยตรง ไม่ใช่มาจากบุคคลที่เอาแต่สังเกตยิว(เพราะเกลียดกันเกินกว่าจะถาม)   อย่างไรก็ดีไม่ว่าความจริงของยิวจะเป็นเช่นไร  แต่มุสลิมกับยิวคงจะไม่ถูกกันจนถึงวาระสุดท้าย จากประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยมุสลิมทำให้ผมสรุปว่าโดยทั่วไปแล้ว ยิวเป็นเผ่าที่ไม่ซื่อสัตย์  ทำสัญญาทีไรชอบแหกทุกที แต่มีส่วนที่น่ายกย่องอย่างที่สุดคือ  หยิ่งในเกียรติมากและยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป ความจริงมุสลิมเราน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับยิวในอาหรับเท่าที่เรารู้นะ  เพราะต่างศาสนิกคงไม่สามารถหาอ่านได้ง่ายนัก ถึงแม้ยิวจะเป็นคู่ปรับตลอดกาลของอิสลาม  แต่ในยิวนั้นก็ยังมียิวดีน่ายกย่องและมีความรู้อยู่ มุสลิมคบกับพวกนี้ได้ไม่เป็นไร จากคุณ : mage_mann เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:45:19

ความคิดเห็นที่ 52 ใช่ค่ะ คุณ  mage_mann   ยิวดีดี ก็มีค่ะ แต่ยิวตัวฉกาจ ที่เป็นคู่ปรับมุสลิม ก็คือ พวก "ยิวไซออนิสต์'' ค่ะ จากคุณ : Ms.Kohlanta เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:50:41

ความคิดเห็นที่ 53 อย่างที่บอกว่า ตัวอักษรในภาษาฮีบรูแต่ละตัวนั้นมีความหมาย นัยยะซ่อนอยู่ ผู้รู้ท่านถอดรหัสออกมา เรียกว่าวิชา คับบาล่า  kabbalah ที่แปลว่า ความลับของจักรวาล อย่างที่บอกคนธรรมดาก็เรียนได้ ถ้าแต่งงาน  และเป็นยิว   (และฉลาดพอ อันนี้เราเสริมเอง  ) ตัวอักษร นั้นมีความสำคัญ   ตัวเลขก็มีความสำคัญ  และเมื่อเอาทั้งสองอย่างมารวมกันยิ่งตีความหมายถอดรหัสได้มากเข้าไปอีก  ว้าว ว้าว ภาษาฮีบรูจะอ่านจากขวาไปซ้าย   ยกตัวอย่างประโยคง่ายๆ  ถ้าถึงกับจะให้ถอดความจากคัมภีร์ให้ดูหน่อยสิื  ทำไม่ได้  ไม่ได้เรียนคับบาล่า เด้อ  และไม่ฉลาดพอเป็นการแถม อีกต่างหาก ฉันรักเธอ     อนิ โอเฮฟ  โอตัค   ช บอก ญ                  אני אוהב אותך                 อนิ  โอเฮฟเวต  โอตค่ะ   ญ  บอก  ช         אני אוהבת אותך น่าจะเห็นลักษณะตัวอักษรฮีบรูแต่ละตัวใช่ไหม งั้นจะยกตัวอย่างเป็นภาษาไทยให้ละกัน เผื่อจะเข้าใจ  หวังว่าที่เราพยายามจะอธิบาย คงจะมีคนเข้าใจบ้างนะ เอ้า เริ่ม ตัวอักษรในภาษาไทย จะเริ่มด้วย  ก ข ค ง .......  ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม ทางภาษาฮีบรูก็เช่นกัน   .............. א ב ג ד ה ו    ไปเรื่อยๆ เช่นกัน แต่อ่านจากขวาไปซ้ายนะ อย่าลืม ตัวอักษรเล่านี้มีความหมายในตัวเอง  อย่างที่บอกไปข้างบน  ตัวแรกตัว อาเล็ฟ ที่ว่าติ่งบน ติ่งล่าง ทแยงขีดกลางที่คั่นหมายความว่าอย่างไร หวังว่าคงจำได้ นอกจากตัวอักษรเหล่านี้มีความหมาย นัยยะลึกซื้งในตัวเองแล้ว เมื่อเขาเอาตัวเลขเข้าไปแทนตัวอักษรเพิ่มด้วย ก็จะมีความหมายเพิ่มขึ้นได้อีก อย่างเช่น  ก = 1    ข = 2     ค =3   .........  เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงอักษรหลักที่แทนด้วยเลข  10  จากนั้นตัวอักษรต่อไป จะแทนด้วย 20  30   40  เมื่อถึงเก้าสิบ ก็จะแทนด้วย หลัก 100  200  300  อย่างนี้ไปนั่น  จนจบครบตัวสุดท้าย คือ ฮ   แล้วเขาทำยังไงละสู  เค้าคิดกันยังไง นี่ไง เราจะยกตัวอย่างให้ คำว่า แม่ ในภาษา ฮีบรู   เรียกว่า อีม่า             אמא ส่วนคำว่าพ่อ                 เรียกว่า  อาบ้า           אבא ทางผู้เชี่ยวชาญเค้ากรุณาเปิดเผยความลับของสองคำนี้ให้รู้ เข้าบอกว่า  อีม่า  ที่แปลว่า แม่   เมื่อแทนด้วยตัวเลขแล้ว จะได้   หมายเลข  41               อาบ้า ที่แปลว่า  พ่อ                                   จะได้ หมายเลข    3 แล้วมันเกี่ยวกันยังไงล่ะ   มันสำคัญลึกซื้งอะไรตรงไหน ก็แค่ตัวเลข  แต่จะบอกว่าตัวอักษรฮีบรู มันเป็นภาษาโบราณหลายพันปีใช่ไหม  เพราะฉนั้นการเขียนคำว่าพ่อ แม่ ก็มีมาตั้งแต่ตอนนู้นแล้วเช่นกัน ทางวิทยาศาสตร์ ภายต่อมาเค้าว่าอย่างนี้ ตัวอ่อนของทารก จะเริ่มพัฒนาเป็นมนุษย์ คือมีสมอง และเริ่มมีชีวิต เมื่อมีอายุระหว่าง 40-41 วัน และผู้หญิง จะได้เรียกได้ว่าเริ่มเป็นแม่อย่างแท้จริงเมื่อตัวอ่อนทารกเริ่มมีชีวิต เมื่อมีอายุครรภ์ ได้ 41 วัน นั่นเอง อุ้ย อุ้ย  ตรงกับตัวเลขที่ตกตำแหน่งคำว่าแม่เลย   บังเอิญหรือเปล่า อะ งั้นมาดูต่อ ที่คำว่า อาบ้า หรือ พ่อ ที่ตก หมายเลข 3     คำว่า แม่กะพ่อบวกกัน จะเป็น  41+3 = 44   คำว่า เยราดิม  ที่แปลได้ว่า ลูกๆ หรือ เด็กๆ  ในภาษาฮีบรู   คือ   ילדים   แปลงเป็นตัวเลขออกมา  ได้เป็นหมายเลข    44   สรุป  เผื่อจะงงกัน เอา แม่+พ่อ  41+3   =     44     ลูก                   =     44 บังเอิญอีกล่ะ อันนี้ผู้รู้ผู้ศึกษา ท่านยกตัวอย่างมาง่ายๆนะ  ให้คนธรรมดาฟัง Motek ไม่ได้คิดเองเด้อ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:00:15 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 13:56:42

ความคิดเห็นที่ 54 วันก่อนได้อ่านิตยสารฉบับหนึ่ง ได้อ่านเรื่องชาวสะมาเรีย เท่าที่รู้ก็คือยิวเผ่าหนึ่งที่แยกออกไป แต่ในนั้นไม่ได้เล่าละเอียด  อยากรู้เพิ่ม ฝากคำถามครับ 1. ยิวที่แยกกลุ่มไป หลักๆ แล้วมีกี่กลุ่ม 2. ทำไมชาวยิวกับชาวสะมาเรียถึงไม่ค่อยปรองดองกันเท่าไหร่ เขามีเรื่องขัดแย้งอะไรกันครับ 3. ทำไมในคัมภีร์ใหม่ของคริสต์ ถึงเรียกพวกเขาว่า ชาวสะมาเรียผู้ใจดี จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 14:37:28

ความคิดเห็นที่ 55 ท่านใดสงสัย ส่งข้อความเข้ามาถามทางหน้าไมล์ หลังไมล์ก็ได้นะ จะได้เป็นการต่อประเด็นในการเขียนเล่าต่อ เพื่อเป็นวิืทยาทานแก่ท่านอื่นๆ ต่อไป เพราะบางทีเราก็อาจขุดออกมาจากหัวได้ไม่หมด ถ้ามีใครเปิดประเด็นตั้งคำถาม ก็จะเป็นการต่อกระทู้ไปได้เรื่อยๆ เผื่อจะได้น่าติดตามมากขึ้น ต่อมา เราจะกล่าวกันถึงเรื่องที่ยิวบอกว่า พระเจ้าสร้างโลกเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดหยุดพักผ่าน คือวันเสาร์ ดังนั้น เลข 7  มีอิทธิพลต่อศาสนายิวมากกว่าเลขอื่นใด ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ เราจะยกตัวอย่างเรื่องที่ว่าอะไรก็เลข 7 ของยิว ให้ได้อ่านกันพอเป็นกระษัย  ท่านผู้รู้ ท่านเปรยให้เราตั้งข้อสังเกตถึงความหมายของเลขเจ็ด ที่ยิวเขาบอกว่ามันสำคัญ   เขาบอกว่า   แม้แต่การทำไรนาเกษตร  การใช้ผืนดิินที่พระเจ้าประทานให้มานั้น กล่าวว่า การเพาะปลูกนั้นดำเนินเรื่อยไปเป็นเวลาหกปี   และในปีที่ 7  ต้องเป็นปีที่พักผืนดิน   คือต้นไม้ก้อปล่อยไว้ ไม่ตัดทิ้ง ไม่มีการทำไร่ในปีที่เจ็ดของการเพาะปลูก  (แล้วแต่สวนใครว่จะเริ่มปลูกกันเมื่อไร ท่านว่าให้นับไป ไม่ใช่ว่าทั่งทั้งดินแดนของยิวก็จะพากันไม่เพาะปลูกในปีเดียวกันหมด อันนี้ไม่ใช่ )   แล้วพอพักผ่านในปีที่เจ็ดเสร็จสิ้นลง ก็เริ่มนับหนึงไป ไปจนถึงปีที่เจ็ดอีกรอบนึง ก้อพักกันอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยไป    แล้วเมื่อวนไปจนถึง ปีที่ 50  เมื่อถึงตอนนั้น ท่านบอกว่า ผืนดินนั้น จะต้องส่งกลับคืนให้แก่เจ้าของเดิม     ถ้าอย่าง นาย ก เป็น เจ้าของที่ดิน  แล้วต่อมา นาย ข  ก็เช่าที่ดิน ครั้นพอครบ 50 ปี นาย ข ก็ต้องส่งที่ดินที่ตนเช่านั้นคืนให้แก่นาย ก           การพักผ่านในปีที่ 7 นี้ ท่านว่าไม่เป็นแต่เฉพาะ ผลดีแกผืนดินเท่านั้น  ยังเป็นผลดีแก่เกษตรกรด้วย เพราะร่างกายนั้นก็เหมือนกับเครื่องจักร  ต้องมีการหยุดพัก บ้างเพื่อเติมพลัง เพราะเช่นนี้เอง ในสมัยโรมัน  ชาวโรมันจึงเรียกยิวว่าเป็นพวกขี้เกียจ   เพราะทำงานแค่หกวัน และหยุดพักในวันเสาร์   ในขณะที่คนอื่นเค้าทำงานกันเจ็ดวันเลย         แต่เรื่องนี้ในปัจจุบันยังจะมีการส่งคืนหรือไม่อย่างไร  อันนี้ไม่รู้นะ ท่านถึงความหมายของเลขเจ็ดในศาสนายิว และกล่าวให้พวกเราตั้งข้อสังเกตอีกว่า แล้วทำไมสัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน    แล้วถ้าศาสนาที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่สร้างโลกในเจ็ดวัน ทำไมไม่ตั้งให้สัปดาห์หนึ่งมีมากกว่า หรือน้อยกว่าเจ็ดวันล่ะ   สวรรค์ก็มีเจ็ดชั้น   เอ ของพุทธก้อมีเจ็ดชั้นหรือเปล่านา ตัวโน๊ตก็มีเจ็ดตัว   โด เร มี ฟา ซอล ลา ซี ร่างกายคนเราก็ประกอบด้วยเจ็ดส่วน คือ หัว 1     ร่าง และ ส่วนแขนทั้งสอง  3     ขา  2     เป้า  1   รวมกันเป็นเจ็ด   ป้าดดดดด เหมาะเจาะ เอาอีก ท่านบอกอีกว่า   ศรีษะหน่ะ มีหน้าต่างกี่ช่องล่ะ   รูหู  2   ตา  2     จมูก 2   ปาก  1 รวมกันเป็นเจ็ดอีกแล้วอะ  เถียงไม่ออกเลยเรา เทศกาลวันหยุดของยิว ที่เป็นวันหยุดยาว ส่วนก็มี 7 วัน เช่้น คานุก้า   เปสัค  หรือ สุโกต ท่านยังไม่ยอมหยุด  ท่านให้เราสังเกตอีกว่า มองไปรอบๆตัวเธอนะ  ถ้าเธอสังเกตดีๆ แล้วจะเห็นว่า มันเต็มไปด้วยเจ็ดแทบทั้งนั้น อย่างเช่น  ห้อง  เก้าอี้  ทิศทาง สิ่งรอบๆ ตัวหน่ะ   ก็คือ  อย่างเช่นเรายืนอยู่ในห้อง  ห้องนั้นก็จะมีหกด้าน คือ บน ล่าง ซ้าย ขวา หน้่า หลัง  อันนี้ 6 ด้าน แล้วนะ   ตัวเราผู้ที่ยืนอยู่เนี่ย เป็น ส่วนที่ 7 แม้ว่าเราจะนั่งบนเก้าอี   เราก็เป็นส่วนที่ 7 น้านนนนน  จริงอีกล่ะ และคำกล่าว ที่ว่า เบเรชิต บารา อาโดนาย  เอ็ต  ฮะชะมาอีม เวเอ็ต ฮะอาเร็ส   ความหมายแปลว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกสร้างทุกสิ่ง     ในประโยคข้างต้นมีการตีความแยกไปได้อีก เจ็ดอย่าง โอ้ย เกือบงง  งั้นเอาสั้นๆ นะ เป็นคำกล่าวในภาษาฮีบรู  ประโยคนี้มีเจ็ดคำ  ( คำที่เราเขียนติดกันนั่นล่ะ นับเป็นหนึ่งคำ) คำว่า เอ็ต  เป็นคำที่อยู่ตรงกลางระหว่างประโยค     คำว่า เอ็ต  ในภาษาฮีบรู  เขียนว่า    את    ตัวอักษรสองตัวนี้  ตัวแรกคือ א เป็นตัวอักษรตัวแรกของฮีบรู   และอักษร  ת   เป็นอักษรตัวสุดท้ายในภาษาฮีบรูเช่นกัน ท่านว่า คำนี้ถ้ามองโดยวงกว้าง อักษรสองตัวก้อคลอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกแล้ว  เพราะทุกสิ่งบนโลกมีชื่อเรียกเป็นภาษาฮีบรู ก็เรียกด้วยการใช้ตัวอักษรตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้าย โห  คิดได้ไงอะ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:54:51 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 15:22:59 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 14:42:05

ความคิดเห็นที่ 56 อันนี้เรื่องเล่า เป็นเกร็ดความรู้นิดนึงนะ ทางยิว เค้าบอกว่า เมื่อชายหญิงแต่งงาน  ในปีแรก สามีจะต้องตามใจภรรยาทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะต้องการอะไร อยากใด้อะไร ก็ต้องทำตาม  อันนี้เป็นตามหลักศาสนาเลยนะ แต่เราไม่รู้ว่าปีต่อมาใครต้องตามใคร อย่างไร  เอิ้ก ด้วยการที่มันเป็นหลักศาสนานี่เอง บางครั้งอาจได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องทำบางอย่างได้ เพราะหลักศาสนาที่อิสราเอลจะค่อนข้างมีอำนาจกว่ากฎหมาย เช่นอย่างในเมือง เยรูซาเล็ม    แต่ฮีบรูจะออกเสียงว่า เยรูชาลาอิ่ม อันนี้เจอกับตัว ไปกับเพื่อนชาวยิว ตอนเช้าผู้ชายที่เคร่งจะตื่น ตีสี่ตีห้า  รีบไปให้ทันเข้าโบสท์ เพื่อไปสวด  ทุกวัน ถ้าระหว่างทางเจอตำรวจเรียกตรวจ บอกให้หยุด เพราะเพื่อนเรามันแต่งตัวน่าสงสัย คือใส่เสื้อกันหนาวแบบปิดจมูกเหลือแต่ตา  เนื่องจากที่เยรูซาเล็ม หนาวจนติดลบ ฝนตกปรอยๆด้วยตอนนั้น มือหอบกระเป๋าสีดำกอดแล้วเดินกึ่งวิ่งกึ่งเดินอย่างเร่งรึบ   ตำรวจสายตรวจคงสงสัย  เราเองถ้าไม่รู้จักมันเราก็สงสัยเหมือนกันล่ะเพราะท่าทางมันดูทะ:-)มากๆ  ตำรวจเรียกตรวจถามว่า จะไปไหน ทำไมทำพิรุธ  เีพื่อนเรามันก้อรีบกลัวไปไม่ทันสวดตอนเช้า เพราะเค้าจะมีกำหนดเวลาห้ามเกินกี่โมง    แหกขี้ตากันมาตั่งกะตีสี่ เช้าวันเสาร์ ชาบัทอีก  ไม่มีรถวิ่ง เดินอย่างเดียวพะย่ะค่ะ เพื่อนเราบอกตำรวจเสร็จว่าจะไปสวดแล้วรีบเดินต่อ ก็มันสายนี่หว่า ตำรวจไม่เชื่อ ตะโกนต่อว่า  จะไปไหน หยุด บอกให้กลับมานี่ก่อน    เพื่อนเรามันก้อไม่สน  เราด้วยความไม่รู้เลยถาม เฮ้ย เอ็งไม่กลัวตำรวจจับเหรอว่ะ แบบว่าขัดขืนการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ไรเงี้ย  มันบอกว่า  โอ้ย ไม่กลัวหรอก ถ้าตำรวจมาทำชั้นไปสวดสายนะ  ตำรวจนั่นหล่ะ ที่จะโดนไม่ใช่น้อย     ศาสนาเหนือกว่ากฎหมายจริงๆแฮะ นอกเรื่อง ต่อข้างบนที่กล่าวว่าผัวต้องตามใจเมียในปีแรกของการแต่งงาน มีชายคนหนึ่ง เพิ่งแต่งงานไม่นาน  ถูกเรียกไปรายงานตัวในกองทัพ เท้าความก่อนว่า คนอิสราเอลนี่จะเป็นทหารกันหมดไม่ว่าชายหรือหญิง ชายสามปี หญิงสองปี   ทำไมล่ะ ผู้หญิงก้อไม่เว้นเหรอ แน่นอน เพราะเค้าให้เหตุผลว่าอิสราเอลเป็นประเทศขนาดเล็ก และรายลัอมไปด้วยชาติที่ไม่ค่อยจะชอบเค้าสักเท่าไร เพราะงั้นพลเรือนจำเป็นต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด  แม้ผู้หญิง ที่เห็นสวยๆ หวานๆ ที่อิสราเอลหน่ะ  ตอนเป็นทหารอาจได้ไปหน่วยลาดตระเวน  ขับรถถัง  ซ่อมเฮลิคอปเตอร์   อะไรแนวนั้นไปเลยนะ ซิบอกให้  อายุ 18 ก็จะมีการไปทดสอบคัดเลือกว่าเหมาะกับตำแหน่งไหน  บางทีก็ถูกส่งไปอยู่หน่วยเขียนแบบเรือรบ  ซ่อมรถถัง ซ่อมเครื่องบิน  เรือดำน้ำ  อะไรก็ว่าไป พวกนี้คือเด็กๆอยู่เลยนะ  ส่วนพวกไม่ได้เรื่องชอบทำตัวเกเรไม่ค่อยสนใจระเบียบหรือการเป็นทหาร  พวกนี้ก็จะติดคุกทหารมั่ง เก ไปรายงานตัวไม่ทันบ้าง ก็จะโดนส่งไปเป็นพวก พลขับ ตัดผม อะไรที่ไม่ค่อยได้ใช้ความรู้ทางการทหารหน่ะ ก็ว่ากันไป หลังจากปลดประจำการแล้ว  ทางกองทัพก็จะมีการเรียกรายงานตัว ทุกปี หรือ ทุกๆ กี่ปีก็ไม่รู้นะ  ไม่เคยไปเป็นกะเค้าซะด้วย  แต่ว่าแต่ล่ะครั้งก็เรียกไปประจำการทีนึง เดือน หรือ สองเดือนบ้าง  บางคนอายุมากขึ้น แต่งงาน มีครอบครัว ถ้ากองทัพเรียกก็ต้องไป  ต้องไปจริงๆ ทีนี้ อีตาคนที่เราจะกล่าวถึงเนี่ย  ดั๊น เิ่พิ่งจะแต่งงาน  เมียที่บ้านบอกว่าไม่ให้ไป ตามหลักศาสนาอย่าลืมนะว่าเธอต้องตามใจชั้นในปีแรก   แหม เอาไงละทีนี้ พ่อหนุ่มนั่้นก็ไปรายงานตัวกับกองทัพ  แล้วบอกว่าอยู่ไม่ได้ จะกลับบ้าน  พวกที่กองทัพก็โวยวาย แบบว่า เฮ้ย ทำงี้ได้ไง  ชั้นก็อยากกลับบ้านเหมือนกันนะ อยู่มาหลายเดือน ตูก้อมีครอบครัวมีลูกเหมือนกัน  แต่ต้องทำหน้าที่นะเฟ้ย  พวกนั้นไม่้ยอม พ่อหนุ่มข้าวใหม่ปลามัน เลยบอกว่า มันไม่เหมือนกัน  ชั้นหน่ะเพิ่งแต่งงาน เมียไม่อยากให้มา   ชั้นก็ไม่อยากขัดใจเมีย  อย่าลืมนะว่าตามกฎศาสนายิว เค้าบอกว่าผัวต้องตามใจเมีย อย่าทำให้เมียขุ่นเคืองเป็นอันขาด     ไม่รู้คุยกันเถียงกันอีท่าไหนในกองทัพ สรุป  พ่อหนุ่มได้กลับไปอยู่กะเมียที่บ้าน สบายแฮ แหม่  เป็นไปได้ จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 15:12:59

ความคิดเห็นที่ 57 จริงค่ะ เวลาอ่านบทความที่ยกจากคัมภีร์ไบเบิ้ล จะมีรับบี หรือแรบไบ และชาวสะมาเรีย มาเป็นตัวประกอบอดทนอยู่บ่อยๆ เราเลยอยากอ่านแบบที่ได้เป็นตัวเอกบ้าง เลข 7 ของพุทธ นอกจากโพชฌงค์ 7 แล้วนึกไม่ออกแฮะ และ บทสวดโพชฌงค์ 7 เป็นคาถาพิชืตโรคซะด้วยนะ ;) จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 15:19:29

ความคิดเห็นที่ 58 ช่วยเสริมให้อีกนิด สวรรค์ตามที่อธิบายไว้ตามคัมภีร์ศาสนาพุทธ มี 6 ชั้นครับ เลยขึ้นไปเป็นพรหม 16 ชั้น อรูปพหรมอีก 4 ชั้น เรื่องสวรรค์ชั้นเจ็ด เป็นเพียงสำนวนครับ ส่วนการนับวัน-สัปดาห์-เดือน-ปี มาจากการสังเกตท้องฟ้า และฤดูกาลครับ มนุษย์บางกลุ่มจะนับสุริยคติ(รอบของดวงอาทิตย์) ส่วนใหญ่จะเป็นชาติตะวันตกที่ใช้กัน   บางกลุ่มจะนับแบบจันทรคติ(รอบของดวงจันทร์) แต่ก่อนไทยก็ใช้แบบนี้   เพิ่มเติม http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/04/X7698263/X7698263.html อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องความลึกลับของตัวเลข เท่าที่ผมรู้มา เขาเรียกว่า Numerology ซึ่งมีในศาสตร์ของหลายๆ ชนชาติ แต่ก็จะต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เป็นการที่มนุษย์พยายามจะถอดรหัสจากธรรมชาติ เพื่อประโยชน์กับชีวิตตน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไปทางโหราศาสตร์ ถ้านึกง่ายๆ อย่างคนไทยที่พอเห็นได้ ก็เซียมซี http://en.wikipedia.org/wiki/Numerology http://en.wikipedia.org/wiki/Gematria จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 15:52:18

ความคิดเห็นที่ 59 เดี๋ยวเราเกริ่น เรื่องของนักบินอวกาศคนแรกของอิสราเอลก่อนนะ ที่ตายในยานโคลัมเบีย นักบินอวกาศยิวตายเพราะยานโคลัมเบียระเบิด แต่ไดอารี่รอดกลับโลก ภัณฑารักษ์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อิสราเอล โชว์ข้อความในไดอารี่ของ เอียน รามอน นักบินอวกาศคนแรกของอิสราเอล ผู้โชคร้ายเพราะเป็นหนึ่งใน  7 นักบินอวกาศที่เสียชีวิตในยานขนส่งอวกาศ"โคลัมเบีย"ที่เกิดลุกไหม้ขณะเดิน ทางกลับโลกเมื่อวันที่  1 กุมภาพันธ์ ปี 2546 แม้เขาไม่ได้มีชีวิตกลับโลก แต่ไดอารี่ของเขาได้กลับสู่โลก และกลับสู่มือของ โรน่า ภรรยาของเขา ประมาณสองเดือนหลังเหตุน่าสลดใจ องค์การบริหารอวกาศและการบินสหรัฐฯ หรือ NASA ได้พบไดอารี่ที่รอดเหลือจากไฟไหม้ของรามอน 37 หน้า ในสภาพเปียกปอนและขยุกขยุย ตกอยู่ในป่านอกเมืองที่มีชื่อว่า"ปาเลสไตน์"ในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ น่าแปลกใจมาก ที่ NASA ไม่พบแม้เศษชิ้นส่วนของยาน"โคลัมเบีย" แต่กลับพบไดอารี่ที่รอดจากไฟที่เผาไหม้ยานจนหมด รอดมาจากความหนาวเย็นของสภาพอากาศและการกัดกินของแมลง NASA ส่งไดอารี่คืนให้โรน่า ซึ่งเธอนำไปให้เจ้าหน้าที่นิติเวชวิทยาช่วยฟื้นฟู ใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะกลับมาอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี้ และโรน่าสามารถอ่านข้อความที่สามีบันทึกไว้ได้ถึง 80 % มีเพียง 20 % ที่อ่านไม่ได้ เธอมอบไดอารี่จำนวน 3 หน้าที่เห็นให้พิพิธภัณฑ์ แต่เก็บส่วนที่เหลือไว้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่อยากเปิดเผยสู่สาธารณชน โดยในหน้าหนึ่งเป็นข้อความในพระคัมภีร์ของศาสนายิว ที่ รามอนคัดลอกไว้เพื่อนำขึ้นไปอ่านส่งกระจายเสียงมาจากอวกาศ ข้อความที่รามอนบันทึกไว้ในไดอารี่แสดงว่า เขาไม่ได้รู้ระแคะระคายล่วงหน้า เรื่องความผิดพลาดที่ทำให้เขาและเพื่อนๆนักบินไม่ได้กลับโลก เพราะแผ่นกันความรอดหลุดออกและกระแทกถังน้ำมันจนเกิดไฟไหม้ยาน เพียง 16 นาทีก่อนที่ยานจะลงจอดบนโลกที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี้ คร่าชีวิตทุกคนบนยานโคลัมเบีย รูปประกอบ และที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=328692 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 15:56:21

ความคิดเห็นที่ 60 หน้าตาคุณ  อิราน  ราม่อน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 15:57:16

ความคิดเห็นที่ 61 ขอเล่าเรื่อง bible code จิ๊ดนึงนะ เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยของ คับบาลิสต์  หรือผู้ศึกษา คับบาล่า นั่นเอง ท่านบอกว่า การตายและชะตากรรมของอิราน  รามอน  ได้มีการกล่าวถึงไว้ล่วงหน้่าในคัมภีร์มานานแล้ว ท่านจึงนำมาแสดงหลักฐานให้ดู  ท่านเกริ่นว่า  คอมพิวเตอร์เนี่ย สามารถนับตัวอักษรได้ใช่ไหม  แต่ทว่า ข้อสังเกตในคัมภีร์ภาษาฮีบรูเนี่ย มันมี  พวกระยะห่างของตัวอักษรและเป็นไปได้ยากที่สมองคนเราจะมานั่งคิดคำนวณก่อนที่จะลงมือเขียนคัมภีร์   อย่างเช่นในคัมภีร์เล่มแรก บราชิต ทุกๆ 49 ตัวอักษรจะปรากฎตัวอักษรที่อ่านแล้วจะได้คำว่า Torah  ทุกครั้งไป  ตัวที่ห้าสิบ ก็เป็น T   นับไปอีกสี่สิบเก้าตัว ก็จะเจอ  O  แบบนี้ ท่านว่านับไปได้ทั้งเล่ม ก็จะเจอแบบนี้ ส่วน Exodus ก็เจอเช่นเดียวกัน ส่วนคัมภีร์ที่เหลือก็เจอ แต่จะเป็นการนับจากข้างหลังไปข้างหน้า แทน   สำหรับกรณีของนักบินอวกาศ ที่ชื่อ อิราน รามอน  ที่ตายในยานอวกาศ โคลัมเบีย ท่านบอกว่า มีการกล่าวถึงในคัมภีร์ด้วย บทที่กล่าวถึงโลก และสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า และในบทนี้เอง ที่ค้นพบชื่อของ อิราน รามอน มีการเอามาโชว์นิดนึงด้วย ดังรูปที่เห็นด้านล่าง (แผ่นที่เราเห็นในมือของคับบาลิสต์ท่านนั้น ไม่แน่ใจว่าจะใช่แผ่นนี้หรือเปล่า แต่เราจำได้ว่าในมือท่าน มีตัวอักษรที่ปรากฎแล้วอ่านได้ว่า  โคลัมเบีย ที่เป็นชื่อของยานอวกาศด้วย แต่แผ่นนี้เราไม่เห็นมี ) แต่เอาไว้ดูเป็นตัวอย่างแล้วกันว่ามันเป็นแนวไหน แต่กรณีนี้ ทุุกๆ  1822  ตัวอักษร  นับไปเรื่อยๆ  ก็จะปรากฎเป็น ชื่อ และ วันตาย ของเขา ท่านบอกว่า แต่เดิมเนี่ย พระเจ้าท่านบอกว่า พวกยิว ไม่สมควรจะไปจากโลก อิราน เป็นยิวคนแรกที่ไป และตาย จากนั้นไม่ว่าจะเป็นยิวที่เกือบจะได้ไป ก็ต้องมีเหตุให้ไม่ได้ไปตลอด เช่น ยานเสียบ้าง อะไรบ้าง ก็เลยมีการพูดเล่นกันว่า  พวก นาซ่า คงไม่กล้ารับยิวไปเป็นนักบินอวกาศอีกแล้ว เพราะเป็นตัวซวย เราก็เล่าไปตามที่ได้ฟัง ได้เห็นมา  ใครจะว่ามันเว่อร์เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือ ไร้สาระ เป็นไปไม่ได้  เราไม่แย้งอะไร  เพียงแต่อยากเล่าให้ได้รับรู้กันถึงอีกแง่มุมหนึ่ง ที่มีบางท่านอาจไม่เคยได้ยิน หรือ ได้อ่านมาก่อน แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:58:49 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 16:24:58 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:20:01

ความคิดเห็นที่ 62 ต่อไปขอเล่าอีกตัวอย่าง ที่ฟังจาก คับบาลิสต์ เกี่ยวกับ 9/11 ในแผ่นนี้ เราไม่รู้ว่าอยู่ท่อนไหน   ท่านโชว์ให้ดู พอดีว่าเราหาในลุงกู๋ แล้วพบว่าเป็นแผ่นเดียวกับที่อยู่ในมือท่าน  เราเลยเล่านิดนึง ในนี้จะพบคำในภาษาฮีบรู ว่า  หมิคดัล   แปลว่า ตึุกสูง                เตอูมิม  แปลว่า  ฝาแฝด ืืืืืืืื                                        มาโตส    แปลว่า เครื่องบิน           ปาอไมย์  แปลว่า  สองครั้ง แล้วก็มีอีกหลายๆคำ แต่เราจำไม่ได้ล่ะ การค้นพบครั้งนี้ คับบาลิสต์ท่านนั้นบอกว่า ท่านเริ่มค้นพบมากก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นแบบ ตระหงิดๆ  มีการค้นพบคำเกิดขึ้นก่อนล่วงหน้า และท่านก็พยายามค้นหาคำตอบเรื่อยมา ต้องการจะตีความให้ออก  ท่านกล่าวว่าค้นพบในย่อหน้าที่มีการกล่าวถึงท้องฟ้าและสิ่งที่อยู่บนฟ้า อีกเช่นกัน แต่จะเป็นด้วยเหตุผล อันได้ไม่ทราบ  ท่านหาเจอและพบข้อสรุปในวันเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ เสมอๆ   คือ ท่านค้นพบหลายเรื่อง แต่ท่านไม่ค่อยพูด   โธ่ ท่าน จะเตือนกันหน่อยก้อไม่ได้ การค้นพบสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากคัมภีร์นี้  ทางนักวิทยาศาสตร์ก็ได้เข้ามาทำการค้นคว้าทดลอง หาความจริง กันแล้ว และ ก็สรุปว่า  มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  ที่จะมีการนับตัวอักษรได้เป๊ะๆ แบบนี้  เพราะ บางที บางเรื่อง มันไม่ใช่แค่นับกันไป ทุกๆ สิบ หรือ ร้อย ตัวอักษรแล้วจะเจอ  บางที เป็นพันกว่าตัว  แล้วนับต่อไปในจำนวนเท่ากัน ก็เจออีก   อืม ก็ นะ  เราก็ไม่ได้ว่าจะเชื่อไปซะหมด เราก็ยังอยากพิสูจน์อะไรอีกหลายๆเรื่องเหมือนกัน เพราะงั้นจึงยังศึกษา อยู่นี่ไง จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:40:40

ความคิดเห็นที่ 63 ลืมรูปประกอบ 9/11 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:41:16

ความคิดเห็นที่ 64 เดี๋ยวจะมาต่อเรื่อง วันชาบัท คนยิวเค้าทำอะไรกัน ไม่รู้ยังมีคนอ่านอยู่ป่าวเนี่ย   กลัวพล่ามอยู่คนเดียว จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:44:06

ความคิดเห็นที่ 65 ตามอยู่ค่ะ ^^ คนถอดระหัสได้นี่แก่งจริงๆ :0 จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 16:58:35

ความคิดเห็นที่ 66 รออ่านอยู่ครับ จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 18:55:01

ความคิดเห็นที่ 67 รออ่านอยู่เช่นกันค่ะ จากคุณ : อนุมานน้อย เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 20:26:20

ความคิดเห็นที่ 68 ต่อเลยครับ จัดไปอย่าให้เสีย จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 20:36:14

ความคิดเห็นที่ 69 มาแล้ว มาต่อ ตามคำสัญญา  ไปแอบทำธุระมา หาได้ทำเนียนเช็คเรทติ้งแต่ประการใด พระเจ้าสร้างโลกเจ็ดวัน  วันที่เจ็ดนั่นท่านพักผ่อน สิ่งนี้ก็ตกมาสู่ชาวยิวเช่นกัน  ชาบัท  หรือ ซาแบทส์  หรือ ซะบาโต  นั่นหน่ะ วันเดียวกัน ตามแอคเซ่นของแต่ละภาษา อย่าได้สงสัยอันไหนถูกต้อง  เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ฮีบรูเค้าออกเสียงกันว่า  ชาบัท  שבת ชาบัทนี่คือวันเสาร์เลยใช่ไหม  วันเสาร์ปุ๊บหยุดกันเลยใช่ไหม   ไม่ใช่ เค้าบอกว่าการนับวัน เวลา จะตามปฎิทินของยิวเค้า  เค้าจะเริ่มนับกันในเย็นวันศุกร์  พระอาทิตย์ตกตอนเย็นวันศุกร์ นั่นจะถือว่าเป็นวันเสาร์ อ้าว ยังงี้พระอาทิตย์ตกปุ๊บ เข้าปั๊บ เลยใช่ไหม ไอ้เจ้าวันเสาร์เนี่ย ไม่ใช่    อีกแล้ว ในปฎิทินของพี่ยิวเค้าจะมีการบอกไว้ด้วย ว่าสัปดาห์นี้ วันชาบัท เริ่มตอนกี่โมง  แต่ล่ะสัปดาห์ไม่เหมือนกัน  ต้องคอยเช็คดู  บางทีทางทีวี เค้าก็จะมีบอกว่ากี่โมงเริ่มเข้่่าชาบัท เดี๋ยวนี้มี แอพพลิเคชั่นให้เช็คเวลาชาบัทด้วย   ไฮเทค   แรบไบถือไอแพดสอนสวด  อันนี้ท่านว่าไม่ผิด  ก้อต้องตามยุคตามสมัยไง  ฮ่าๆ แล้วทำไมต้องเครียดเรื่องเวลากันปานนั้นด้วยล่ะ ทำไมต้องเป๊ะขนาดนั้น เค้าต้องคอยตรวจดูนะว่ามันกี่โมง เพราะหลังจากที่นับว่าเป็นวันชาบัทแล้วเนี่ย  เค้าจะมีข้อห้าม ห้ามเปิดไฟ  อะไรที่เป็นไฟๆเนี่่ย ห้าม ตู้เย็นเปิดแล้วมีไฟ  ห้าม   แล้วเวลาเข้าชาบัท  ไฟบ้านพวกยิวมันมิต้องมืดตื๊อกันหมดทุกบ้านเรอะ ห้ามเปิดไฟเนี่ย เปล่า  เค้าก็ใช้วิธีเปิดก่อนที่มันจะเป็นเวลาชาบัทไง  เปิดเป็นไฟหรี่ เปิดมันค้างไว้ข้ามวันข้ามคืนแบบนั้นแหล่ะ   ที่เค้าห้ามคือกดสวิทซ์ แต่พี่ยิวท่านก้อหาช่องทางได้ คือกดสวิทซ์ไฟก่อนชาบัททิ้งไว้ซะเลย แหม่ ๆ   แล้วพวกที่ไม่สนใจวันชาบัทล่ะ  เป็นยิว แต่วันชาบัทไม่ทำตามวิถียิว   แรบไบท่านก็สอนและพยายามบอกคนพวกนี้ว่า  ยิวที่ดีต้องเข้าชาบัทนะ ถ้าไม่เข้าไม่สนใจ ชาบัทแทนที่จะทำตามวิถียิว  กลับไปทำนู่นทำนี่ตามใจเจ้า  ท่านเตือนว่าไม่ดี  มันเหมือนชีวิตจะซวย ทำอะไรก็ไม่ค่อย รุ่งเรือง พวกยิวที่ไม่ค่อยเคร่ง  เค้าก็จะไปเที่ยวกัน ทำตามใจฉัน หรือก็ไปทำงาน อ้าว ไหนว่าปิดไง  ใช่ ร้านรวงที่อิสราเอลส่วนใหญ่วันศุกร์จะทำงานครึ่งวัน หน่วยงานราชการปิดเที่ยง บ่าย  ร้านรวงเอกชน บ่าน สอง สาม หรือ สี่ ตามแต่ใจ แต่ไม่เกิน เวลาเข้าชาบัท    จะปิดยาวไปถึงวันเสาร์ ตอนเย็นๆ นู่น  พอเลิกเป็นเวลาชาบัทแล้วถึงจะเปิดทำการ       แต่ แต่  แต่    พวกที่อุตริทำงานในเวลาชาบัทก็มี  ร้านอาหาร  ร้านกาแฟ   แหล่งเสื้อผ้า  อะไรแบบนี้ คือเค้าว่าก็เปิดให้พวกยิวที่ไม่ถือในชาบัท ออกมาพักผ่อนไง ได้เงินด้วย แล้วพวกที่ทำงานในวันชาบัทเนี่ย ค่าแรงจะได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยห้าสิบ หรือสองร้อยเท่า  อันนี้เราไม่แน่ใจ แต่ไม่ต่ำกว่านี้หรอก   เพราะงั้นคนยิวที่อยากได้เงินเพิ่ม พวกที่ไม่เคร่งในศาสนาก็ชอบทำงานชาบัท เค้าว่า ไม่หยุดหรอก เสียเวลาทำมาหากิน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 21:16:38

ความคิดเห็นที่ 70 แล้วทางแรบไบ ท่านว่าอย่างไรกับคนพวกนี้ล่ะ เคยมีคนมาถามท่านว่า  ท่านๆ ผมรายได้ไม่พอ ต้องทำงานในวันชาบัท  แต่ทำไม๊ เพื่อนผมที่ไม่ได้ทำ มันได้เงินเดือนน้อยกว่าผมก้อตั้งหลายพัน  แต่ผมเนี่ยเหลือเก็บไม่ได้เท่ามันเลย มีเหตุให้ต้องเสียเงินตลอด เดี๋ยวรถเสีย  เดี๋ยวไอ้นู่นในบ้านเสีย  มีแต่เรื่องต้องจ่ายเงิน ไม่ได้เหลือเก็บเท่ามันเล้ย  ผมล่ะ เซ้ง เซ็ง หรือผมซวยเพราะทำงานวันชาบัทครับท่าน ท่านตอบแบบยาวแต่เราจะตัวทอนมาให้กระชับลง ท่านว่า พระเจ้าสร้างโลกเจ็ดวัน ท่านยังต้องพักผ่อนในวันชาบัท ท่านก็บอกให้พวกเราพักด้วย เหตุผลเพราะอะไร อย่าลืมเครื่องซักผ้านะ   (จำกันได้ป่าว นัยยะเรื่องเครื่องซักผ้าที่เราบอกไว้ข้างบนนู่นหน่ะ ) ท่านบอกว่า  ร่างกายคนเราคืออะไร แค่กาย  แล้วข้างในมีจิตวิญญาณใช่ไหม  ถ้าเอาจิตวิญญาณออะไป ร่างกายก็ตายหน่ะสิ  เธอทำงานหนักมาหกวัน  เพื่อไล่ตามเงิน ทำงานหนักเพื่อเงิน ใช้งานร่างกายอย่างหนักหน่วง   แล้วเงินคืออะไร คือสิ่งที่สมมุติกันขึ้้นมา ท่านว่าทำงานได้ แต่อย่าหักโหมทำทั้งเจ็ดวัน   เธอใช้ร่างกายตั้งหกวันมาแล้ว  แล้ววันที่เจ็ดเนี่ย เธอให้ร่างกายและจิตวิญญาณเธอได้พักผ่อนบ้างไม่ได้เชียวหรือ   พระเจ้าท่านบอกแล้วว่า ยิวต้องพักผ่อนในวันชาบัท   ถ้าไม่ทำก็ไม่รุ่งเรือง เหมือนซวย อะไรประมาณนั้นแหล่ะ   มีการพิสูจน์ สำรวจทางตัวเลขแล้วว่า  ที่อิสราเอล ร้านค้าที่เปิดในวันชาบัท จะมียอดขายในวันนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าวันธรรมดา ประมาณ ยี่สิบเปอร์เซ็นต์   แต่   ก็ยังมีรายได้โดยรวม น้อยกว่า ร้านรวง  หรือ ธุรกิจ ที่ปิดทำการในวันชาบัท น้าน ผลสำรวจความซวยโพลล์   ออกมาแล้ว แล้วถ้าอย่าง Motek อยากมีชีวิตที่รุ่งเรืองเหมือนยิวเค้าบ้างล่ะ อยู่ดีๆ ดัดจริตทำเนียนเข้าชาบัท ถือวันเสาร์พักผ่อน ทำทุกอย่างเหมือนพี่ยิวเค้าได้ไหม  ชีวิตจะดีขึ้นอีกป่าว ป่าว  Motek  แต่จะกลายเป็นความซวยสุดๆ ซวยมหาซวย จะมาตกลงที่ชีวิต Motek ทันทีเลยครับพ่อแม่พี่น้อง   เนื่องจากว่า เราไม่ใช่ยิว  เพราะฉนั้นห้ามมมมมมมม   ห้าม ห้าม  สะแหลนไปทำชาบัทเชียว    ถ้าอยากทำ ท่านว่าทำเกือบเหมือนได้  คือทำทุกอย่างที่ยิวทำหน่ะได้ แต่อย่างน้อยต้องแหกกฎข้อนึง ก้อยังดี  เพื่อจะได้ไม่ซวย   อ้าว แล้วจะสแหลนไปทำชาบัท กะเค้าทำไมล่ะ   อ้าว  ใครจะไปรู้ เผื่อชอบ เผื่อ ศรัทธามากกว่านี้ ไปเข้ารีต เรียนเปลี่ยนเป็นยิวซะ  เป็นการฝึกไปในตัวด้วยไง  จำได้ไม่อึดอัดมากหลังจากได้เปลี่ยนแล้ว  เหอ เหอ  ฝันเฟื่องไปหรือเปล่าเนี่ย เรา พูดเรื่องการเข้าชาบัทมาตั้งนาน  ถึงเวลาต้องบอกแล้วว่า  วันชาบัทคนยิวเค้าทำอะไรบ้าง แล้วทำไมยิวที่ไม่เคร่งถึงไม่ชอบทำกัน  บ้างก้อว่า ยาก บ้างก็ว่าอึดอัด จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 21:39:08

ความคิดเห็นที่ 71 เค้าเริ่มจะต้อนรับวันชาบัทตั้งแต่วันศุกร์ ครอบครัวไม่เคร่งก้อทำกันนะ เป็นประเพณี เพราะตามที่วิเคราะห์แล้ว มันมีแต่ข้อดี เอ้า เริ่้ม  อย่าให้เสียเวลา วันศุกร์ ผู้คนก็ใช้ชีวิตปกติธรรมดา ไปเรียน ไปทำงาน เลิกงานกันบ่ายๆ รีบกลับบ้าน ทำความสะอาดบ้าน   ทำอาหารมื้อเย็น รอสมาชิกในบ้านกลับมาทำชาบัท สวดนิดหน่อย หรือ ไม่สวด แล้วแต่สะดวก หรือจะทำรวบรัดตัดตอน ไม่มีใครไปตรวจ หรือลงโทษจับตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร     อันนี้เป็นแบบที่ว่ายิวทั่วไปเค้าทำกัน ต่อมาเราก็จะเล่าถึงยิวที่เคร่ง   เอ้าเริ่ม วันศุกร์  ลูกเต้า มีโรงเรียน มีงานมีการ ก็ไปทำกัน  แม่ที่อยู่บ้าน ก็ทำความสะอาดบ้านให้เอี่ยมอ่อง แต่เช้า   ทำกับข้าวมื้อใหญ่  ทำกับข้าวที่ดีๆ ไม่ค่อยเหมือนกับที่กินกันในวันปกติสักเท่าไร  แบบว่าพิเศษกว่าหน่อยนึง   กับข้าวมีตายตัวไหมว่าต้องทำอะไร ในมื้อพิเศษนี้ ตอบว่าไม่  ใครถนัดอะไรก็ทำไป  ส่วนมากก็จะมี ไก่อบ มันฝรั่งอบ   ข้าวอบ   เนื้อ   ซุปกูราชบ้าง   อันนี้ก็แล้วแต่อีกหล่ะว่าโคตรใครมาจากไหน ก็จะทำอาหารติดแนวไปทางโคตร อีกนั่นแล  พวกอิรักก็จะทำกับข้าวแบบอิรัก  อะไรก้อว่ากันไป เสริมให้นิดนึึง*****  ถ้าในมื้อนั้น มีปลา หรือ เนื้อ/ไก่      เค้าจะไม่กินด้วยจานเดียวกัน  จะมีจากสำหรับกินปลา   ถ้าใครใคร่อยากกินไก่กินเนื้อต่อ  ก็ต้องเอาจานใบใหม่   โปรดอย่าถามว่ามันเป็นเหตุผลกลใดกันหนอ ขอบอกว่าลืม  อีกล่ะ  แล้วมันจะมาเล่าทำไมว้าาาา     เอาน่า อันไหนจำได้จะบอกให้ อันไหนจำไม่ได้แล้วใครอยากรู้ปานนั้น ไปหาลุงกู๋เอาเองเถิด อ้ะ ต่อมา แม่บ้านก็จะจัดเตรียมความเรียบร้อย ทำอาหารเผื่อไว้สำหรับวันเสาร์ด้วย เพราะวันชาบัทนั้นห้ามจุดไฟเด็ดขาดดด ห้ามทำกับข้าวด้ั้วย  ดังนั้นอาหารมื้อเย็นวันศุกร์ก็จะมากหน่อย  เผื่อไปอีกสำหรับสมาชิกกินวันต่อไป     แล้ววันเสาร์ จะอุ่นกับข้าวกันยังไง  ห้ามเปิดไมโครเวฟอุ่นไม่ใช่เหรอ     บ้านที่ไม่เคร่งมากเรื่องไฟฟ้า เค้าก็เปิดอุ่นเวฟกิน  แต่บ้านที่เคร่งหน่อย เค้าก้อมี แผ่นอุ่นอาหารให้ร้อนตลอดเวลา  ทิ้งกันไว้ข้ามคืน  กาต้มน้ำก้อเสียบปลั๊กทิ้งไว้เลย ข้ามคืนกันอีกเช่นเคย   แต่ตอนโบราณยิวเค้ากินกันยังไงอันนี้ไม่รู้  ไม่ได้สงสัยใคร่ถามท่านมา พอตกใกล้เวลาชาบัท ผู้ชาย  และลูกชาย  ก็ไปโบสถ์  เรียกว่า เบ็ท คเนเส็ท   ไปสวด  จะแต่ตัวดีที่สุด ส่วนมากเสี้อเชิ้ตสีขาว กางเกงแสลค    ที่เบ็ท คเนเส็ท  จะมีการจัดที่ไว้แยกหญิงชาย   หญิงอยู่ชั้นบน   ชายอยู่ชั้นล่าง     มันมีเหตุผล แต่ยังไม่เล่าตอนนี้  ติดไว้ก่อน ในระหว่างที่แม่บ้าน จัดโต๊ะ จัด คิดดูช  เค้าก็จะจุดเทียนต้อนรับวันชาบัท  เอาผ้าคลุมหัว  สวด  ตำแหน่งจุดเทียนต้อนรับชาบัทนี้เป็นของผู้หญิงนะ   ผู้ชายทำไม่ได้เด็ดขาด ยกเว้นถ้าอยู่คนเดียว   ถ้าอยู่กะแม่  ก้อแม่เป็นคนจุด หญิงที่แต่งงานแล้ว จะจุดเทียนอย่างน้อย สองเล่ม   หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จุดเพียง เล่มเดียว เท่านั้น ลงรูป คิดดูช  ให้ด้วย เมื่อพ่อบ้านและลูกชาย กลับมาจากเบ็ท คเนเส็ต    เปิดประตู ก็จะโผกอดกัน แล้วพูดว่า   ชาบัท ชาลอม    ผลัดกันกอด ผลัดกันพูด จนครบสมาชิกในครอบครัวหน่ะล่ะ   เสริม*****  บ้านไหนอยู่ชั้น 10 - 20  ถ้าเคร่งเรื่องชาบัท เค้าก็จะไม่ใช้ลิฟต์  เดินขึ้นเดินลงด้วยบันได    เพื่อนเราบ้านมันอยู่ชั้นสิบ  พอกลับมาถึงบ้านต้องขอเวลาพักหายใจสักระยะ  ก่อนเริ่มกิน    แอบสงสารและแอบขำในเวลาเดียวกัน แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 16:13:01 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 22:20:50 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:19:56

ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อถึงโต๊ะอาหาร   ก่อนกินมีสวดอีกล่ะ  ทุกคนยืนขึ้น ผู้ชายใส่คิปปะไว้บนหัว  เคร่งหรือไม่ ก็ต้องใส่  ถ้าหาคิปะไม่ได้ ก็เอากระดาษทิชชู่หรือผ้าแปะหัวไว้  ถ้าแบบว่าสิ้นไร้ไม้ตอกหาอะไรมาแปะหัวไว้ไม่ได้ซะจริงๆ  เอามือนั่นล่ะ วางไว้บนหัว หัวหน้าครอบครัว กางไบเบิ้ลสวด   เ่ออ บทไหนอะไรบ้าง คงไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นหรอกนะ สวดเสร็จ จากรูปข้างบนจะเห็นแก้วไวน์  ก็จะถือแก้วไวน์สวด จากนั้นก็จะจิบแล้วส่งต่อให้แม่บ้าน จากนั้นลูกชายคนโต  แล้วก้อไล่ตามอายุไปเรื่อยๆ   ตามลำดับความอาวุโส พอจิบเสร็จ ก็พูดว่า ชาบัท ชาลอม  แล้วก็ไปล้างมือกันทุกคน  เค้ามีวิธ๊ล้างมือ มีวิธีสวดอีก ขอไม่กล่าวถึง จากนั้นก็นั่งลง ขนมปังก้อใหญ่สองก้อนใช่ไหม  พ่อบ้านก็จะเอามาประกบกันแล้วสวดอีก   สวดเสร็จพ่อบ้านก้อบิ ขนมปังจิ้มเกลือกินก่อน  แล้วค่อยบิส่งแจกจ่ายให้ครบตามจำนวนสมาชิก กินเข้าไป เค็มแค่ไหนก็ต้องกิน  อิอิ แล้วก็เริ่มโซ้ยกันตามอัธยาศัย บนโต๊ะอาหารมื้อนี้เอง ที่ทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันโดยแท้จริง  เมื่อในช่วงสัปดาห์ ทุกคนยุ่งอาจไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่ได้เจอกัน บ่อยนักแม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม เพราะต่างคนต่างก็มีภารกิจ  วิถีชีวิตครอบครัวคนอิสราเอลจะไม่เหมือนคนไทยนะ ที่กลับมาบ้านผู้เฒ่า พ่อแก่ รออยู่  ไม่มีอะ น้อยมาก มื้ออาหารนี้เอง ที่ทุึกคนได้เข้ามาใกล้ชิดกันอีกครั้งนึง  มีการสนทนา  เล่าเรื่องราว คุยเล่นหยอกล้อกัน ดูมีความสุข  ทุกคนหัวเราะให้กันด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ยิ้มใส่กันแต่ในใจกังวลเรื่องงาน อะไรแบบนั้น เพราะเค้ารู้ว่ามันเป็นวันพักผ่อนโดยแท้จริง หลังกินเสร็จจะมีสวดกันอีกจึ๋งนึง  แต่ไม่กล่าวล่ะ  ยิบย่อยเกินไป แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 22:41:07 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 22:34:10 แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 55 22:32:39 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:30:32

ความคิดเห็นที่ 73 กล่าวถึงวันเสาร์กันดีกว่า   พวกยิว ทำอะไรกัน   เราจะเล่าถึงที่เคร่งนะ วันนี้ มีข้อห้ามกระทำ  39 ข้อ   มีอะไรบ้าง โอ้ย ยิบย่อยจัด ไม่ขอสาธยาย คงไม่มีวิชาสาขาไหนที่ไทยจะเอาไปออกข้อสอบกระมัง ตื่นเช้า  ผู้ชายไปสวด ที่โบสถ์   สวดเสร็จเดินกลับบ้าน มากิน  แล้วนอนต่อ ตื่นมาจะกิน จะอ่านหนังสือ หรือจะนอนต่อ หรือจะนั่งคุยกัน ก็แล้วแต่เธอเถิดไม่มีใครว่า แต่   ห้าม จุดไฟ เปิดไฟ  ห้ามทำกับข้าว ห้ามเปิดตู้เย็น  ห้ามเปิดทีวี  ห้ามโทรศัพท์  ห้ามขับรถ ห้ามเล่นคอมพิวเตอร์ ห้ามจับมีด กรรไกร  ห้ามกางร่ม   อะไรเงี้ย ห้ามทำงาน แม้แต่งานบ้านก้อไม่ต้องทำ โอ้ย มีอีกเยอะ เรียกว่าอยู่แต่ในบ้าน กิน กับนอน กินเสร็จไม่ล้างจ้านก็ไม่มีใครว่า ออกชาบัทแล้วค่อยล้างยังได้  เพราะห้ามล้าง เรียกว่าเป็นวันพักผ่อนจริงแท้แน่ทีเดียว ท่านแรบไบท่านว่า ลองสังเกตพวกพักผ่อน เค้าต้องการอะไรถึงไปพักโรงแรมกัน  อยากสบายทำตัวเหมือนราชาใช่ไหม พักที่สะอาดสะอ้าน  อ้าว เมื่อวานท่านก็ทำความสะอาดบ้านกันแล้วนี่   มีอะไรอีก  มีอาหารกินโดยไม่ต้องทำ  กินเสร็จไม่ต้องล้างจาน  อ้าว ที่บ้านท่านก็มีนิ อาหารบุฟเฟ่ห์เหมือนที่โรงแรมเลย อาหารตั้งแต่มื้อเมื่อวานที่ท่านทำเผื่อไว้แล้วไง ตั้งไว้บนเตาอุ่นอาหารข้ามคืนนั่นหน่ะ หิวก็ลุกมากิน เมื่อยก้อไปนอนต่อ เตียงนอนพักผ่อนก็มี   เตียงที่บ้านกับเตียงที่โรงแรมต่างกันตรงไหน ท่านก็เอนกายได้ในท่าเดียวกัน  สะดวกสบายจะตายวันเสาร์หน่ะ   แล้วท่านจะไปจ่ายเงินไปพักผ่อนที่โรงแรมทำไม  ก็ทำบ้านให้เหมือนโรงแรมสิ แถมได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกด้วย ป้ะ แรบไบ ท่านเล่นมุกนี้เลยแฮะ อ่านดูเหมือนไม่ยากนะ   ฮ้าาา ลองทำเองดูก่อน แล้วจะรู้ แต่คนยิวไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไม่สนใจในข้อนี้ คนเคยไปเที่ยว สังสรรค์   ไปเที่ยวนอกบ้าน  ถึงอยู่บ้าน แต่มีข้อห้ามมากมายก็อึดอัด ทำยาก พูดง่ายๆ  เคยฟุ้งเฟ้อ เจอกิเลสแล้ว  มันกลับมาทำตามวิถีชาวยิว ยากส์ แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 55 18:05:44 แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 02:29:35 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:55:54

ความคิดเห็นที่ 74 เล่าอยู่คนเดียวเริ่มว้าเหว่  เหงา  เข้ามาขัดจังหวะ กันบ้างก็ได้นะ   จะได้มีสีสัน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 22:59:02

ความคิดเห็นที่ 75 มาขัดจังหละตามที่ขอ   สงสัยอยู่พอดีว่าพวกที่เคร่งๆจะมีกรณียกเว้นไม่เข้าชาบัทกันไหม?  เช่นเจ็บถึงตาย ถ้าไม่มีข้อยกเว้นงั้นถ้าโรงบาลไหนมีหมอที่เคร่งหมด  คนไข้มิพากันกอดคอไปโลกหน้ากันหมดในวันเสาร์หรือไร จากคุณ : mage_mann เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 23:53:24

ความคิดเห็นที่ 76 ร่วมด้วยช่วยปาด... ฝากคำถามใน คห 54 ด้วยนะคร้าบบบ แล้วส่วนคำถามที่ถามไปหลังไมค์ ก็เพราะไม่อยากให้เยอะไปในกระทู้ ยังไง จะรออ่านนะครับ จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 2 ก.พ. 55 23:57:43

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณมากๆ ค่ะที่มาแบ่งปันความรู้กัน กำลังสนใจอยากศึกษาเกี่ยวกับยิวอยู่พอดีค่ะ คุ้นชื่อมานานมากแต่ไม่รู้รายละเอียดลึกซึ้ง จะขอตามอ่านต่อพรุ่งนี้นะคะ จากคุณ : Whatshallwecallit เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 00:34:32

ความคิดเห็นที่ 78 คำถามข้อที่ 54 ขอติดไว้ก่อน จะไปถามผู้รู้มาให้  แต่ข้อสาม นี่แปลกๆ ถามว่าในคัมภีร์คริสต์ ทำไมเรียกว่าสะมาเรียผู้ใจดี   เอ ข้อนี้ถ้าเราเอาคัมภีร์ทางคริสต์ไปถามทางยิว  เราจะโดนดีดออกประตูมาไหมเนี่ย   ไปลองถามทางคริสต์ดีกว่า หรือ ถ้ามีผู้เข้ามาอ่านกระทู้แล้วพอที่จะตอบได้ ก้อช่วยตอบแทน Motek หน่อยเด้อ ส่วนคำถามความเห็นที่  75 ข้อนี้ตอบได้  เพราะเราเคยสงสัยเหมือนคุณเลย ชาวยิว  ที่เคร่ง นะ  ผู้ที่แต่งงานแล้ว จะไม่มีการถูกเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่สามี หรือ ภรรยาของตน   แม้แต่งานแต่งงานสำหรับพวกเคร่ง  ก็จะมีผ้ากั้น ไว้สำหรับชายหญิง  ไปงานแต่งเดียวกันแต่มองไม่เห็นกันนั่นล่ะ เราเคยถามท่านว่า สมมุตินะว่า  วันหนึ่ง ท่าน ที่เป็นแรบไบ  ขับรถไปแล้วพบรถคันหนึ่งประสบอุบัติเหตุอยู่  แล้วรอบตัวก็มีแต่ท่านเท่านั้น  ผู้ที่อยู่ในรถเกิดเป็นหญิงสาวคนเดียว  และด้วยความที่แม้แต่คนยิวแบบเคร่งที่ไม่ได้เป็นแรบไบ ก็ห้ามถูกตัวเพศตรงข้ามอยู่แล้ว   แล้วนี่ท่านเป็นถึงแรบไบ  ท่านจะทำอย่างไร  จะช่วยชีวิตหล่อน  หรือ ทิ้งให้หล่อนตายด้วยเหตุผลที่ว่าท่านแตะเนื้อต้องตัวเพศตรงข้ามไม่ได้ ท่านตอบว่า ก็ต้องช่วยชีวิตก่อนสิ  อันนี้เป็นข้อยกเว้นได้ เมื่อมันเกี่ยวกับความเป็นความตาย  เกี่ยวข้องกับชีวิตผู้อื่น   เพราะงั้น ถ้าเกิดพวกยิวแบบเคร่งที่ห้ามขับรถ เกิดป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลในวันชาบัท  ก็ได้รับการยกเว้นเช่นกัน  ศีลไม่แตก ให้อภัยได้ แล้วหมอล่ะ วันเสาร์หมอทำงานไหม  ทำดิ  หมอพยาบาลเค้าก็ไม่ได้เคร่งทุกคนไปซะเมื่อไร  โรงพยาบาลไม่ปิดทำการวันเสาร์หรอกน่า ต้องมีจรรยาบรรณกันบ้าง ไม่ได้เคร่งครัดกันจนสุดโต่งขนาดนั้น จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 04:41:19

ความคิดเห็นที่ 79 ต่อไป มีผู้ถามมาหลังไมล์ว่า แล้วทางยิวเค้ามีการกล่าวถึงพุทธไว้ว่าอย่างไรบ้าง อันนี้เราไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ว่ามีไหม  แต่จะไปถามมาให้  เพื่อให้ได้คำตอบที่แน่นอน เราเคยถกปัญหากับผู้รู้แล้วถามว่า เมื่อทางยิวบอกว่า พวกเค้าเป็นชนชาติที่ถูกเลือก แล้วพระเจ้ารักมากเป็นพิเศษ  แล้วศาสนาอื่นล่ะ  ไม่รักบ้างเหรอ  ไหนว่าพระเจ้าสร้างโลกสร้างทุกสิ่ง  แต่คนศาสนาอื่นที่เป็นผลพลอยจากการสร้างของท่านล่ะ ไม่มาเหลียวแลเลยเหรอ หรือว่าจะตัดขาดไปเลย แบบพ่อตัดลูกอะ  ลำเอียงนี่     ขอบอกว่าเราถามไปแบบนี้จริงๆ  เสี่ยงต่อการโดนถีบออกมามาก แต่ยอม ท่านเลยเล่าให้ฟังไว้ดังนี้ เมื่อครั้งหนึ่ง เมื่อมีกลุ่มชนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ได้พยายามทำร้ายพระเจ้า แสดงการดูหมิ่น และถือหอกถือดาบ เงื้อง่า ท้าทายพระเจ้า   ท่านจึงสาปให้มนุษย์กลุ่มนั้นพูดจาต่างภาษากันไป  สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง  และผู้ที่พูดภาษาเดียวกัน สื่อสารกันเข้าใจก็มาจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน และต่างก็แยกย้ายกันไป คนเหล่านั้นสุดท้ายก็ได้แยกไปมีวิถีชีวิตของตนเอง  มีลัทธิ มีศาสนาใหม่อะไรก็ว่ากันไป แต่ตราบใดศาสนาอื่นนั้นไม่มาระราน หรือท้าทายทำร้ายคนยิว ก็ไม่เป็นปัญหาใดๆ เขาบอกว่าทางพุทธ ก็มีวิถีของพุทธไป ไม่ได้คิดจะมาครอบครองแย่งชิงดินแดนศักดิสิทธิ์ ก็ไม่มีข้อบาดหมางแคลงใจกัน เดี๋ยวมาต่อประเด็นนี้ในวันพรุ่งนี้แล้วกัน ไปนอนก่อน จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 04:55:53

ความคิดเห็นที่ 80 อ๊ะ อ๊ะ อันนี้เคยได้ยิน  เรื่องโดนพระเจ้าสาปนี่  แต่มันคนละสาปกัน  ที่เราเคยได้ยินคือโดนสาปเป็นลิง และพวกที่โดนคือยิวเอง เรื่องนี้มีอยู่ในกุรอาน  แต่ยกมาทั้งโองการกลัวจะไม่ได้รับความสนใจ  เลยขอเล่าแบบขยายความละกัน มีเมืองของยิวที่ใกล้ทะเลเมืองนึง ปลามันชอบว่ายมาบนน้ำในวันชาบัท  ถ้าเห็นปลาแบบนี้ชาวประมงบอกสบายสิตรู  ไม่ต้องออกทะเลไปเวี่ยงแหทั้งที่ไม่รู้ว่าจะได้ปลาหรือเปล่า กล้วยมาถึงปากช้างแล้วจะไม่กินก็กะไรอยู่  แต่ติดที่วันชาบัท ชิ  พวกมันจะขึ้นมาวันอื่นไม่ได้หรือไงเนี่ย  แต่ว่าเนื่องด้วยมันสมองอันล้ำเลิศของพวกยิว ชาวบ้านก็เลยดักปลาไว้ตั้งแต่วันศุกร์ พอตอนออกชาบัทก็ได้ปลาแยอะแยะ สบายไปอีกนาน แต่พระเจ้าท่านถือว่าพวกเหล่านี้ เป็นพวกละเมิดในวันเสาร์ ไม่อดทนต่อการทดสอบของพระองค์ทั้งที่พวกยิวได้เคยรับปากอย่างเคร่งครัดก่อนหน้านั้น  ดังนั้นพระเจ้าจึงสาป ให้เป็นลิง  รวมทั้งพวกที่ไม่ยอมเตือนด้วย  มีบางเล่มได้โน๊ตไว้ว่า  พวกที่โดนสาป  อยู่ได้ราว 3 วันก็ตาย ขยายความจากกรุอาน โองการ อัล–อะอฺรอฟ:163 เอ่อลองถามเรื่องนี้กับพวกยิวดูหน่อยสิครับ  จากคุณ : mage_mann เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 11:10:02

ความคิดเห็นที่ 81 จากที่อ่าน มุสลิมจะเข้าใจวัฒนธรรมยิวได้ดี เช่น การเข้าชาบัท โดยรับตอนค่ำวันศุกร์ แล้วรอประกาศ อันนี้ ผมคิดว่าคือการ เข้าเวลา มัฆริบ นั่นเอง (มุสลิมจะรู้ว่านี่คือเวลาละหมาดช่วงพลบค่ำเวลาหนึ่ง) ซึ่งมุสลิม ก็จะนับวันแบบนี้นั่นแหละ คือถ้าวันนั้นวันพฤหัส พอพลบค่ำปุ๊บ จะนับเป็นวันศุกร์ครับ เจ้าของกระทู้ลองไปดูเว็บนี้ http://www.muslimthai.com/services/falak_ipt/ ลองเลือก วัน และสถานที่ พอได้ตารางมาให้ดูเวลา มัฆริบ ผมว่านั่นคือการเริ่มนับวันใหม่ พวกยิวก็น่าจะนับแบบนั้นแหละครับ เรื่องกิน ก็คล้ายกัน คือมุสลิมจะไม่กินหมู ดังนั้นกระทะ หม้อไห อะไรจะไม่ใช้ปันกับพวกที่ทำหมูเลย ยกเว้นไม่ได้จริงๆ ก็ต้องล้างให้สะอาด ซึ่งบางสำนัก อาจจะล้างด้วยน้ำดินเช่นเดียวกับโดนน้ำลายสุนัข อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ก็ระวังมาก หญิงชายก็เช่นกัน จะไม่ปะปนกัน จะมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน การทักทายจับมือกัน หญิงชายที่แต่งงานกันได้ (ไม่ใช่พี่ น้อง พ่อแม่) ก็จะไม่สัมผัสมือกัน จะไม่มองจ้อง ผู้หญิงมุสลิมก็จะคลุมผมปกปิดด้วย การสวดมนต์ก็เช่นกัน มุสลิมจะสวดกันตามเวลาเป๊ะ เรื่องที่คุณเล่าว่าเพื่อนรีบไปสวดมนต์นั้น มุสลิมเรา เข้าใจยิวคนนั้นเป็นอย่างดี เรียกได้ว่า รู้ซึ้งเลยทีเดียวว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะมุสลิมก็จะละหมาดตรงเวลาเช่นกัน แต่ประวัติศาสตร์บางเรื่องต่างกันพอควร ผมคิดว่าน่าจะลองอ่านดู เช่น เรื่อง ที่พี่น้องขายกันไปเป็นทาสนั้น ผมว่าเจ้าของกระทู้น่าจะได้รับข้อมูลมาคลาดเคลื่อนไปบ้างนะครับ เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิด หลังจาก แยกสายกันไปแล้ว พวกที่ขายก็เป็นยิวนั่นแหละ จะว่าไปแล้ว คำว่ายิว หรือยะฮูดนั้น มาจาก ชื่อของชาวฮิบรูเผ่านึงนะครับ จาก 12 เผ่า โดยมาจากลูกหลานของ จาค็อบ (มุสลิมเรียกว่า นบี ยะอฺกู๊บ) 12 คน คนแรกคือ ยะฮูดา ซึ่งก็เป็นหนึ่งในพี่น้องที่ขาย โยเซฟ ไปเป็นทาสด้วยซ้ำ เรื่องนี้พูดแล้วยาว ผมชอบมากเป็นพิเศษ เพราะอ่านแล้วจะลำดับเหตุการณ์ด้วยความเพลิดเพลิน คำว่ายิว 12 เผ่า จริงๆ ต้องเรียกว่าอิสราเอล 12 เผ่า เพราะยิวนั้นเป็น 1 ใน 12 เผ่าเท่านั้นนะครับ จากคุณ : Carroth เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 12:20:46

ความคิดเห็นที่ 82 เดี๋ยวไว้มืดๆ พอผมว่างแล้วผมจะมาแตกกระทู้นะครับ พูดถึงประวัติศาสตร์ระหว่างยิวกับอิสลาม โดยเริ่มจากต้นตระกูลของชาวยิว ไปจนถึงเข้าสู่อียิปต์ หนีจากการตามล่าของ ฟาโรห์ ร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย และเข้าสู่ดินแดนกันอาน (คานาอัน) และยิวเป็นประชาชาติที่ถูกเลือกจริงหรือไม่ รวมไปถึงความโปรดปรานที่ประเจ้าได้ทรงประทานให้กับประชาตินี้ แล้วพวกเขาตอบแทนความโปรดปรานเหล่านั้นอย่างไร รวมไปถึงเรื่องราวของแผ่นดินเยรูซาเลมและปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างยิวกับอิสลาม แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 13:42:09 แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 13:36:03 จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 13:32:27

ความคิดเห็นที่ 83 ว่างแล้ว ขอแตกกระทู้เลยละกัน จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 14:09:39

ความคิดเห็นที่ 84 ความเห็นที่ 80  วันนี้มีโอกาสได้ไปเข้าชาบัทกับครอบครัวยิว เดี๋ยวจะถามมาให้เด้อ ขอเล่าเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้าของชาวยิวก่อน พระเจ้าของพวกเค้าเนี่ย เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก  ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยนามเลยทีเดีย และมี 72 หรือ 73 คำนี่ล่ะ ที่ห้ามใช้เอ่ยแทนนามของพระเจ้า อ้าว แล้วถ้าจะเอ่ยถึงพระเจ้าในบทเรียน หรือ พูดคุยสนทนากันเกี่ยวกับศาสนาล่ะ จะใช้คำอะไรแทน คำที่ให้เรียกแทนในเวลากล่าวถึงพระเจ้าก็จะมี  ดังเช่นนี้แล ฮะเชม เอโลคิม เอโลฮิม ฮะชะมาอิม อะโดนาย อันนี้คือที่ได้ยินหลักๆนะ  ที่เค้าเรียกกัน ถ้าในบทสวดก็จะเจอคำว่า อะโดนาย เช่น  บารูร อตา อะโดนาย หรือบางทีก็จะปรากฎคำว่า  ฮะเชม อะไรประมาณนี้ แล้วพระเจ้าจะเปรียบได้ดังเทวดา ที่ว่ามีการลงมาจุติ บนโลก อะไรแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ตอบ  ไม่นะ  พระเจ้า จะเป็นแนว Lord of God         ไม่มีใครเคยเห็น   ไม่เคยมาเป็นมนุษย์  เป็นแต่ผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่  เวลาเค้าพูดถึงพระเจ้า จะเป็นอะไรที่ ยิ่งใหญ่ แตะต้องมิได้  อะไรแนวนั้น            และท่านก็ไม่ได้ระบุึว่า จะต้องเป็นยิวนะ ไม่เป็นผิดมหันต์  ก็ไม่เชิง  แต่จะออกแนวที่ว่า  ถ้าเธอเชื่อมั่นและศรัทธาแล้วจะดีเอง   เพราะงั้นถ้าได้คุยกับคนยิวที่เคร่งๆ  ความรู้สึกจับได้เวลาที่เค้ากล่าวถึงพระเจ้า จะออกแนวว่า เชื่อ เชื่อ เชื่อ และศรัทธา เท่านั้น ไม่ค่อยมีคำถาม    พวกที่เคร่งเนี่ย  ถ้าเกิดเรื่องร้ายกับชีวิต  เรื่องไม่ดี คนพวกนี้ก็จะไม่โทษพระเจ้าว่าทำไมล่ะ  เราเชื่ออย่างมากมายแต่ทำไมท่านถึงบันดาลให้เกิดเรื่องร้าย  ท่านไม่ปกป้อง ไม่คุ้มครองชั้นหรือ               พวกเขาจะไม่คิดเช่นนั้น  แต่จะใช้ชีวิตอย่างอดทน และเชื่อมันในตัวท่านว่า อาจเป็นบททดสอบ หรือ เชื่อว่าบางครั้งเกิดจุดเปลี่ยนที่มนุษย์มองว่ามันย่ำแย่มากๆ  แต่แท้จริงแล้ว อาจมีสิ่งดีกว่ารออยู่             เรียกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลในตัวมันเอง ล้วนเป็นสิ่งดี แต่เรื่องมหัศจรรย์ พันลึกที่หาคำอธิบายไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ เกิดขึ้นมากมายเหมือนกัน ในศาสนานี้  และบางครั้งก็มีผู้อยากทดสอบด้วย  ผลที่ออกมา บางเรื่องแม้แต่นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน           เรื่องนี้ถ้ามีผู้สนใจ อยากให้เล่า  เราก็ไม่ปิดบัง  แต่ตอนนี้ยังไม่ อุบไว้ก่อน กลัวว่าจะเกิดการเข้าใจผิดว่า Motek เป็นอะไรไปเนี่ย เอาเรื่องเหลือเชื่ออะไรมาเล่า กลัวกระทู้เบี่ยงเบน  ถ้าใครสนใจ ก็ลงชื่อไว้ ว่างๆ จะมาเล่า จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 16:25:00

ความคิดเห็นที่ 85 ต่อกันด้วยความเชื่อของศาสนายูดายในเรื่องนรก สวรรค์ อันนี้จากปากของชาวยิวที่เคร่ง และ ไปเรียนกับแรบไบเป็นกิจวัตร เขาบอกว่า ในทางศาสนาเนี่ย กล่าวไว้ว่า มีอีกภพภูมิหนึ่ง ที่เหมือนกับโลกเราธรรมดา เป๊ะเลย  แบบก๊อปปี้กันมา  แต่ภพนั้นจะเป็นจิตวิญญาณด้านดีของเรา ถ้าเราทำดีหรือไม่ดีมันก็จะมีผลกับภพนั้นด้วย งง ป่าว อ้ะ ขยายความต่อ   เขาบอกอีกว่าถ้าเราตายไปแล้วเนี่ย ก็จะมีการพิพากษาใช่ไหม คงเหมือนกับศาสนาพุทธที่ออกแนวว่า ทำดีไปสวรรค์ ทำไม่ดีไปลงนรกก่อนหนา แต่ทางยิวเขาบอกว่า ถ้าทำดี จิตวิญญาณด้านดี ของเราก็จะค้างเติ่งอยู่บนนั้น ส่วนไอ้ด้านไม่ดีที่เราเคยทำไว้ตอนยังมีชีวิตอยู่เนี่ย ก็จะลงมาเกิดหรือลงมาข้างล่าง เพื่อจะได้ทำดีต่อไปหรือได้โอกาสแก้ไขสิ่งไม่ดีที่เคยทำไว้ หรือมีห่วงอะไรก็ปลดมันซะให้เสร็จสิ้น จนกว่าจะบริสุทธิ์แล้วไปรวมกับส่วนดีของเรา ที่อยู่ด้านบน เมื่อครบถ้วนมีแต่ส่วนดีร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อไรก็ไม่ลงมาเกิดอีก และรอเพื่อจะไปยังนิรันดร์  อะไรประมาณนั้น แต่ถ้ายังทำไม่ดีอยู่ ก็เวียนเกิดอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เขาว่าเช่นนี้ ความตาย ยิวเขาว่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อตายแล้วฝังคืนสู่ดิน  เพราะเรามาจากดินก็ต้องกลับลงสู่ดิน ถึงแม้จะเหลือร่างเต็มหรือกระดูกเพียงชิ้นเดียว ก็จะต้องฝัง ปล  การฝังร่างนี้มีเหตุผลและการกล่าวที่เกี่ยวโยงไปถึงการกลับมาของพระเมสิอาห์   หรือที่เรียกว่า มาเชียอั๊ค ในภาษาฮีบรู และวันสิ้นโลก      เดี๋ยว จะมาต่อให้ในส่วนนี้ การเผาที่อิสราเอลก็มี สำหรับคนต่างศาสนา เช่นพุทธ แต่ราคาค่าทำพิธี แพงกว่าการฝัง มากกกกก แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 06:12:37 แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 17:28:53 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:20:41

ความคิดเห็นที่ 86 โอ๊ะ เพิ่งรู้ว่ายิวมีเรื่องเวียนว่ายตายเกิดด้วย น่าสนใจมากค่ะ เท่ากับมีโอกาสสะสมคะแนนเรื่อยๆ พอถึงวันสิ้นโลกก็ Game Over หมดสิทธิ์เล่นต่อใช่ไหมคะ วันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว!! รออ่านต่อค่ะ ^^ ปล. คุณ Motek แตกกระทู้ใหม่ไหมคะ กระทู้ยาวๆกลัวมันจะด๋อยซะก่อน แก้ไขเมื่อ 03 ก.พ. 55 18:01:49 จากคุณ : แมวเก้าแต้ม เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 17:44:56

ความคิดเห็นที่ 87 เคยอ่านเจอมานานแล้วว่า ศาสนายูดายยอมรับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มาอ่านเจออีกทีชัดๆ วันนี้เอง จากคุณ : ซามูไรหมูตอน เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 18:29:20

ความคิดเห็นที่ 88 อ้าว มาเช็คอีกที เป็นกระทู้แนะนำไปซะแล้ว  ต๊กกะใจ  อะไรเกิดขึ้นนี้ เราเขียนเล่าเล่นๆ ไม่ได้มีสาระทางวิชาการอะไรเลย อะ งั้นต่อแล้วกัน หลายคนสงสัยเหมือนเราว่า   อ้าววว ไหนว่ายิวเป็นชนชาติที่ถูกเลือกไง  ทำไมเจอแต่สงคราม โดนกดขี่เป็นทาสพี่อียิปต์ ตั้งแต่โบราณ สู้รบปรบมือกะเค้ามาเรื่อย ไหนยังโดนนาซีพี่ฮิตเล่อร์ หนวดจิ๋ม กวาดล้างซะเป็นล้านๆ  ไหนว่าพ่อรักแล้วทำไมพ่อไม่ดูแล เทคแคร์เลยล่ะ แม้แต่คนยิวที่ไม่เคร่งในศาสนาก็คิดเหมือนเราๆท่านๆและพาลไม่เชื่อมั่นในพระเจ้าของพวกเขา เอ้า ท่านแรบไบ ท่านกล่าวว่าเช่นนี้ พระเจ้าหน่ะ ท่านก็คอยดูแล  แต่พวกเราได้ทำตามเงื่อนไขของท่านทุกประการหรือเปล่าล่ะ    ก้อไม่  ก็จะมีพวกแตกแถว นอกลู่นอกทาง เหมือนกับพุทธที่ไม่เคยเข้าวัด  คริสต์ที่ไม่ไปโบสถ์   มุสลิม ที่ เอ่อ   อันนี้เราไม่รู้ว่ามีมุสลิมที่ไม่เคร่งนี่เค้าจะทำยังไงกันบ้าง เพราะเราไม่ค่อยรู้อะไรมากเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม เค้าเลยบอกว่า พระเจ้าท่านก็เลยต้องลงโทษพวกนอกลู่พวกนี้บ้าง   คงคล้ายๆกะนักเรียนที่ไม่สนใจทำการบ้านแล้วโดนครูตี  อะไรแนวนี้ แต่พระเจ้าท่านก้ออาจจะลงโทษหนักหนาสาหัสไปสักนิดนะ อันนี้ตามความคิดอดีตพุทธศาสนิกชนที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร  อย่างเรา อิอิ ต่อๆ   การเกิดโศกนาฎกรรมของพวกยิว ไม่ได้เกิดบ่อยแบบติดๆกัน เราๆท่านๆก็เห็นอยู่ใช่ไหม  แต่เกิดทีนึงก็ใหญ่หลวงนัก แรบไบท่านเผยว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระเจ้าท่านลงโทษพวกที่เริ่มออกนอกลู่นอกทาง ไม่ดำเนินวิถีชีวิตแบบยิว เริ่มละเลยในศาสนาของตน   ทุกๆ สิบ ชั่วโคตร ตั้งแต่โบราณการณ์นี่ จวบจนปัจจุบันกี่ชั่วโคตรแล้วเนี่ย ครั้นเมื่อท่านลงโทษแล้ว ก็เหมือนพัดพายิวที่ไม่ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรมให้มีอันเป็นไป และเหลือพวกยิวพี่ดีไว้  เพื่อสืบสานศาสนาให้ดำรงสืบไป ท่านว่าฉะนี้แล ดังนั้น พวกพระหรือพวกเคร่งในศาสนายิว  พวกที่ว่าดูตัวถูกใจปุ๊บแต่งกัน ไม่เดทกันนานตามที่เรากล่าวไว้ในตอนต้น พวกนี้จะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย   แล้วปั๊มลูก   หัวปี  ท้ายปี   บางทีเข็นรถเด็กอ่อน  เดิน เตาะเตะ ขนาบข้างอีกสอง  ในท้องก็ยังป่อง   โอ้วววว  ราวกับโรงงานผลิดลูก เด็กๆในตระกูลนี้เกิดมาก็จะเจริญรอยตามพ่อแม่  อย่างครอบครัวที่เคร่งมาก ใส่ชุดดำ  คนที่อิสราเอลจะเรียกพวกนี้ว่าพวกพระ   แล้วพวกพระก็จะเรียกพวกคนต่างศาสนาว่า  กอย หรือ กอยย่า เด็กๆพวกนี้ก็จะ คร่ำเคร่ง อ่านคัมภีร์   วิชาพื้นฐานแบบโรงเรียนทั่วไปไม่ได้เรียนหรอก แต่เค้าก็ไปโรงเรียนศาสนากันนั้นแหล่ะ พวกที่เจริญรอยตามพ่อแม่ก็จะวนเวียนกันไปเช่นนี้ แต่ก็ยังมีเด็กที่เกิดในครอบครัวแบบนี้  แล้วเกิดเปลี่ยนใจในภายหลัง อยากใช้ชีวิตแบบปุถุชนชาวยิวทั่วไปที่ไม่เคร่ง   พวกนี้ค่อนข้างน่าสงสาร เพราะบางทีก็ต้องออกจากครอบครัว  ถ้าพ่อแม่รับไม่ได้   ออกมาใช้ชีวิตเอง  แถมไม่ได้มีความรู้วิชาทั้วไปที่โรงเรียนธรรมดาเค้าสอนกัน จะไปเข้ามหาลัยก็ยากก้อไม่มีความรู้อะ น่าสงสาร มีข่าวที่อิสราเอลเหมือนกันที่ว่ามีเด็กที่คร่ำเคร่ง ตัดสินใจไม่ต้องการชีวิตแบบนี้อีกแล้ว อยากเป็นธรรมดา ออกทีวี มีการฟ้องร้อง อะไรไม่รู้ ไม่ได้ตามข่าว จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 3 ก.พ. 55 23:35:51

ความคิดเห็นที่ 89 ดีครับเป็นกระทู้แนะนำ จะได้ไม่ต้องเลื่อนหา 555 จากคุณ : YAMAMANG เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 00:23:51

ความคิดเห็นที่ 90 เล่าต่อ พวกเคร่งของคนยิวจะมีหลายแบบ การแต่งตัวก็ต่างกันไปนิดหน่อย อย่างในรูป คนอิสราเอลจะเรียกคนเคร่งแบบนี้ว่า ดอส   (สำหรับคนเดียว) ดอสซิม(สำหรับใช้เรียกเป็นหลายคน  คือมากกว่าหนึ่งคน) อย่างในรูปนี้เรียกว่าดอสซิม แต่บางทีก็จะเรียกว่า  เพนกวิน ก็ดูลักษณะการแต่งตัวสิ เหมือนปะ พวกดอสซิม นี่แหละ เป็นพวกเคร่ง ที่เรียนโตรา แต่ว่า ไม่ใช่ผู้สอน จะสังเกตได้ว่า จะมีผมหยอยๆ ข้างหูด้วย ไว้เครา  ใส่หมวกดำ หมวกก็จะมีหลายทรง แล้วไม่ใช่แบบถูกๆนะ ราคาแพง ส่วนมากสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกะศาสนายิว จะมีราคาแพง หมวกก็จะมีร้านขายหมวกโดยเฉพาะ มียี่ห้อ ทำจากวัสดุใด อะไรยังไง ราคาสูงตามคุณภาพ แต่ขอร้องอย่าถามว่า ยี่ห้อไหนแพงสุด ราคาเท่าไร  เพราะไม่รู้ จริงๆ เสื้อผ้าไม่ว่าหน้าไหน หน้าฝน หนาว ร้อน ร้อนมาก หรือร้อนโคตรๆๆ ก็จะใส่แบบนี้แหล่ะ ร้อนขนาดที่ว่า คนธรรมดาจะใส่สายเดี่ยว ขาสั้น ยังร้อน แต่ดอสซิม ก็จะใส่แบบเนี้ย ทุกหน้า ทุกฤดูกาล โห ลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเลยมั้งเนี่ย คนอิสราเอลไม่ค่อยชอบพวกดอสซิมสักเท่าไร เพราะพี่ท่านเหลือเกิน บางคนนะ ทำตัว น่าถูกตีกระหม่อมด้วยไม้หน้าสาม   แต่แบบที่ดีๆ สุภาพเค้าก็ดี  แต่อย่างว่า ถ้าปลาเน่าหนึ่งตัวมันก็เหม็นทั้งไห นั่นแหล่ะ พวกนี้ ถ้าไปทำงาน เวลาว่างก็เรียนศึกษาโตรา  แต่สอนหรือเปล่า เผยแพร่หรือเปล่า ผู้รู้บอกว่าไม่   พวกนี้ อย่างผู้หญิงธรรมดา จะไปถูกเนื้อต้องตัวพี่ท่านไม่ได้ เดี๋ยวถูกโดดถีบขาคู่ออกมา ก้ออย่างที่บอก เมียเค้าแตะต้องตัวเค้าได้คนเดียว  แหมพ่อเนื้อทองคำ ถ้า Motek เห็นดอสซิมอยู่กันเยอะๆ  (บางทีแม้แต่คนอิสราเอลด้วยกันอาจเรียกแบบขำขันแนวเสียดสีว่า เพนกวินเป็นฝูง ) Motek  จะพยายามอยู่ห่างๆ   เค้าก็ไม่ได้ว่าจะมาโดดกัดคอหอยพวกเราอะไรงี้หรอก แต่ก็ปลอดภัยไว้ก่อน น่าจะดีกว่า แต่ว่าจะมีพวกดอสซิมอีกกลุ่มหนึ่งที่ดูถูกคนต่างศาสนา หรือแม้แต่ศาสนาเดียวกันก็จะเขม่นแล้ว  ก็พวกที่ตีความโตราแบบผิดๆ สุดโต่ง แล้วเบ่งใส่ผู้อื่น พวกนี้แหละที่แรบไบระดับสูงออกมาบอกว่าอย่าเรียกตัวเองว่าเป็นยิวจะได้ม้ายยย มันเสื่อมมมม มีข่าวออกมาเมื่อไม่นาน ว่า มีทหารหญิงอิสราเอล ถูกพวกเพนกวินกลุ่มไม่น่ารัก ต่อว่าเธอ ถมน้ำลายใส่ แล้วด่าด้วยคำว่า  ชิ๊คส่า       คำน้ำเป็นคำใช้เรียกโสเภณีชั้นต่ำในสมัยโบราณ เพียงเพราะเธอใส่เสื้อแขนกุด หรือแต่งกายไม่สุภาพนี่แหล่ะ อ้าวก้อเจ๊เค้าเป็นสาวสมัยใหม่ เรื่องก็ออกข่าวขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะเพนกวินดันไปด่าคนจริงเข้า พวกอิสราเอลที่ดูข่าวและหมั่นไส้เพนกวินพวกนี้ เลยได้มีเฮ  สมน้ำหน้ากันใหญ่ ทีมีผู้กล้าออกมาเอาเรื่อง และหลายคนก็พูดว่าพวกดอสซิม ประเภทนี้ทำได้ยังไง  หญิงสาวที่เอ็งไปต่อว่าหน่ะ เค้าเป็นทหารที่ปกป้องชาติ เพื่อให้พวกแกได้นั่งศึกษาโตรานะ ก็อย่างที่เคยบอกว่า คนอิสราเอลหนุ่มสาว เมื่ออายุ สิบแปด จะต้องไปเป็นทหาร แต่ทว่าพวกดอสซิมเนี่ย มีอภิสิทธิ์  ไม่ต้องไปเป็นทหาร   คนธรรมดา ทำเรื่องผ่อนผันไม่ขอรับใช้ชาติก็ได้ เช่น ไม่สมประกอบ หรือลูกคนเดียว  หรือมีเหตุจำเป็นอะไรก็ว่ากันไปตามแต่จะกล่าวอ้าง คนไม่เป็นทหารมีผลเสียยังไง มีดิ คนที่เค้าไปรับใช้ชาติ ก็จะมองว่าพวกนี้เห็นแก่ตัว  ไม่รักชาติ  หรือ มันต้องผิดปกติอะไรสักอย่าง แบบว่าไม่บ้า ก้อเรื่องมาก กองทัพเลยไม่เอาเมิง และ หน้าที่การงาน อาจหายากนิดนึง อย่างถ้าแบบว่างานดีๆที่เป็นของรัฐ  หมดสิทธิ์เลย ถ้าส่งใบสมัครแล้วประวัติไม่เคยเป็นทหาร จะเขี่ย เรซูเม่ทิ้งอย่างไว โดยไม่ดูคุณสมบัติเ ไม่ว่าโพรไฟล์จะเริ่ดหรู สักแค่ไหน   ไปเถิด อย่าได้มาทำงานรัฐเลย คนไม่รักชาติ   เขาเล่นกันเช่นนี้แล แต่งานที่ไม่สนใจประวัติการเป็นทหารก็มี  ไม่ใช่ว่าพวกไม่รับใช้ชาติจะถูกตราหน้าว่า อุ๊ย คนไม่ดี แล้วจะไม่มีใครรับเข้าทำงาน   ไม่ขนาดนั้น มันก็ยังมีอยู่จ้า เห็นปอยผมหยอยๆ ข้างหูของดอสซิมทั้งสองข้างไหม  อยากรู้ไหมว่าเหตุผลว่าทำไมมันต้องมีสิ เอาไว้ให้คนขำเล้นเหรอ เปล่า เค้ามีเหตุผลนะ   แต่ผู้รู้บอกเราว่า แล้วเอ็งจะรู้ไปทำแมวอะไรว่ะ อ้าย Motek เค้าบอกวว่าเหตุผลมีเยอะ แต่บอกแค่อย่างเดียวคือเอาไว้แยกแยะว่าเป็นยิวไม่ใช่มุสลิม (เอ่อ   พี่ๆ มุสลิมอย่าเพิ่งกริ้วนะ) อ้าวก้อใส่สูทดำใส่หมวกกันซะอย่างนั้น มุสลิมเค้าก้อไม่ใส่แบบแกหรอก มันก้อใช่ แต่คนที่เคร่งมากๆ มีผมหยอยข้างหู แต่ไม่ใส่ชุดดำ  แต่งตัวธรรมดาก็มี เค้าก็ใส่คิปปะ บนหัว แล้วมีหยอยๆเพื่อให้แยกแยะได้ว่าไม่ใช่มุสลิม เพราะที่อิสราเอล คนมุสลิมบางทีเค้าก็ใส่หมวกบนหัวกัน  อาจต่างกันนิดหน่อยเรื่องขนาดหรือเปล่าไม่แน่ใจ  แต่เรียกว่าอะไรเราไม่รู้  ผู้รู้เข้ามาบอกด้วยล่ะกัน เค้ามีหยอยเพื่อให้สร้างความแตกต่าง แยกแยะออกว่าอันไหนยิว อันไหนมุสลิม คนยิวที่เคร่ง แบบคนธรรมดา ไม่ใส่ชุดดำ เค้าก็จะใส่แต่คิปปะ บนหัว เอากิ๊บติดเพื่อถ้าลมมามันจะได้ไม่ปลิวหลุด  และไม่ไว้หยอย ข้างหู     พวกนี้จะจัดอยู่ในพวกที่เรียกว่า  ดาตี เลอูมิ เค้าไม่ไว้หยอย เพราะบอกว่าไม่เท่ห์   น้าน ยิวห่วงหล่อ พวกนี้จะเข้าหาวิถึชีวิตแบบยิว มากแต่ไม่เท่าพวก ดอสซิม ดาติ เลอูมิ แหกขี้ตาไปสวดแต่เช้า ทุกวัน  ชาบัทก็เคร่งเป๊ะ และมีการไปเรียนกับแรบไบเพื่อให้เข้าใจโตรามากขึ้น     การทำเช่นนี้ เรียกว่า ลั๊คโซ่ เบ่ชูวา แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 06:27:13 แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 04:52:26 แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 03:38:27 แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 03:29:39 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 02:49:11

ความคิดเห็นที่ 91 สังเกตว่าหมวกจะต่างจากพวกข้างบน ถามผู้รู้  ว่าต่างกันตรงไหน มีระดับความเคร่งเข้มข้นกว่าหมวกธรรมดาหรือไง หมวกปุกปุยแบบเนี้ย ผู้รู้บอกว่า   ตรูก้อไม่รู้เหมือนกัน จบเห่เลยทีนี้ ไผรู้ช่วย บอกที อยากรู้เหมือนกัน แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 03:48:30 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 03:47:25

ความคิดเห็นที่ 92 อันนี้รูปยิวน้อย บอยสเก๊าต์  ( Motek เรียกเล่นๆเองนะคำหลังอะ) น่ารักป่าว อิอิ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 03:51:24 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 03:50:44

ความคิดเห็นที่ 93 จำที่เราเคยเล่าได้ไหม ว่าครอบครัวยิวเคร่งจะมีลูกมาก แบบว่าไล่ๆกัน หารูปมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่นี่เป็นครอบครัว แรบไบ Greemberg แต่พวก ดอสซิม ที่ลูกเยอะๆก็แนวนี้แหล่ะ   หารูปมาจากลุงกู๋  จะได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 03:54:21

ความคิดเห็นที่ 94 ส่วนนี่เป็นรูปคิปปะ    แต่ถ้าคิปปะสองอันขึ้นไปเรียกว่า คิปโป๊ต จะเห็นได้ว่า มีหลากสไตล์ หลายสี แล้วแต่ถูกใจอันไหนซื้อโลด Motek ถามผู้รู้  ว่า เฮ้ย ถ้าอยากได้ลายแบบกะโหลก แนว Ed Hardy  หรือออกแนวกราฟฟิก Tattoo  ได้ป่าวว่ะ แบบว่าอยากเท่ห์ไม่ซ้ำแบบใคร ผู้รู้มองด้วยสีหน้าที่เซ็งหน่ายกะคำถามเรามาก มองด้วยสีหน้าที่เหม็นเบื่อกะเราเหลือเกิน แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า " เมิงก้อคิดได้เน๊าะ  มันก้อเกินไป " จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 04:15:02

ความคิดเห็นที่ 95 อันนี้เป็นรูปลักษณะการแต่งตัวของผู้หญิงยิว ที่เคร่ง จะใส่แบบนี้ กะโปรงนี่อย่างน้อยต้องปิดหัวเข่า  เสื้อแขนยาว   ถ้าวัยรุ่นแฟชั่นหน่อยก็จะใส่กางเกงไว้ข้างใน แล้วคลุมทับด้วยกระโปรงยาว ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะโพกผ้า   ถ้ายังไม่แต่งงาน ก็จะไม่โพก เหตุผล  มีสิ เค้าบอกว่า ผมของสตรีเป็นสิ่งสวยงามเย้ายวน ถ้าแต่งงานแล้วก็จะโพกผ้าคลุมไว้ไม่ให้ชายอื่นได้เห็น  เนื่องจากเป็นสิ่งสวยงามนี่เอง จึงจะเก็บไว้ให้ผู้เป็นสามีได้ยลโฉมผมงาม แต่เพียงผู้เดียว เออ สาวยิวกะเจ้าจันทร์ผมหอมนี่เป็นอะไรกันหรือเปล่าเนี่ย  เฮ้ออ แก้ไขเมื่อ 04 ก.พ. 55 05:43:10 จากคุณ : Motek (Motek) เขียนเมื่อ : 4 ก.พ. 55 04:23:41