Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
*********************พระซน 19 ********************* ติดต่อทีมงาน

พระซน 19 ติดเพ่ง

"โป่ะยาสลบ ข่มขืนนิสิตยับ" ....พระซนพับหนังสือพิมพ์ วางลงกับโต๊ะหิน ด้วยอาการเครียด เมื่ออ่านข่าวพาดหัว
ทำไมสังคมยุคนี้ สมัยนี้มันเป็นแบบนี้หนอ ...ศีลธรรมมันเสื่อมทรามขนาดหนัก
เมื่อก่อนยังจำได้ มีข่าวข่มขืนขึ้นข่าวหนึ่ง พาดหัวไปหลายวัน ...เป็นเรื่องใหญ่โต ทอร์คออฟเดอะทาวน์ ไปเป็นเดือนๆ
ทำไมๆๆ โลกมันช่างเลวร้าย  ...ถ้าคนไม่มีธรรมะ ต่อไปเราจะอยู่กันยังไง พระซนคิดๆๆ และก็เครียดๆๆ

เดินๆ กวาดๆ ใจก็คิดๆ ถึงความเลวร้ายบนโลกนี้
คิดไปๆ ...พลัน ต่อมเอ๊ะพระซนเริ่มทำงาน เป็นสิ่งเดียวที่แข็งแรงที่สุดขอพระซน
ในใจส่วนหนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อเหลียวไปดูพระองค์อื่นๆ รอบๆ
ทำไมท่านอื่นเค้าไม่เครียดเหมือนเรานะ.....เอ้...
แต่ก่อนเราก็ไม่เครียดนี่นา อ่านข่าวแค่นี้ มันก็เป็นเรื่องที่เกิดอยุ่บ่อยๆ  เครียดได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
+   +"

ช่วงเวลาก่อนพระซนจะไปอยู่ที่วัดสนามใน  พระซนพำนักอยู่ที่วัดในกรุงเทพฯ เพื่อมารักษาตัว
ตกหลังคาสูงกว่า 3 เมตร ละลิ่วลงมากระแทพื้นปูน กระดูกข้อเท้าแตก ใส่เฝือกไว้กว่า 2 เดือน
คงได้มีเรื่องเล่า เรื่องตกหลังคาอีกเป็นแน่แท้ พระอะไรจะซน จนตกหลังคาหนอ....

ก่อนตกหลังคาไม่นาน ช่วงที่อยู่สวนโมกข์ ตอนนั้น พระซนเริ่มรู้จักสติปัฏฐาน 4
ซึ่งเริ่มด้วย กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน  มีสติเห็นกายในกาย
ตรงนี้ พระซนศึกษามาเยอะพอสมควรนะ จึงรู้ได้ว่า "กายในกาย" คือความรู้สึกทางกายนี่เอง
คือสัมผัสทางกาย เวลาหยิบจับอะไร หรือลมมาถูกกาย ก็ให้มีสติระลึกรู้
รวมไปถึง ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกกระทบกลิ่น ฯลฯ ให้รู้ตรงนั้น
กลับมาดูกาย อย่าส่งจิตออกนอก....แน่ ...อ่านมาเยอะ

ตามที่พระซนเคยฝึกสมาธิมา เข้าใจว่าการมีสติ ต้องเห็นให้ชัด ก็ตำราว่า "รู้ชัด" นี่
จึงได้ "เพ่ง" ดูไปที่สัมผัสทางกายนั้น เพื่อให้รู้ชัดๆ ไง
เวลาเดินก็ให้รู้สึกที่เท้า เท้ากระทบพื้นก็ให้รู้  พอได้ยินเสียงปุ๊ป ก็มารู้สึกทางหู อ่านหนังสือก็มารู้ที่อ่าน...
พยายามให้มีสติอยู่ตลอดเวลา พยายามที่จะให้มันต่อเนื่องทั้งวันให้ได้
เวลาไม่รู้ หรือเผลอไป ก็รู้สึกโทษตัวเองเล็กๆ ว่าทำไมขาดสติไปได้..งแล้วก็พยายามต่อ

เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน เห็นเวทนาในเวทนา....เมื่อเห็นกายแล้ว ก็ดูต่อซิ ว่ารู้สึกยังไง...พระซนคิด
รู้ไฃได้ซิว่ามันสุข หรือทุกข์ มันมีความรู้สึกยินดี ยินร้าย หรืองงๆ เอ้า...คอยเพ่งไปที่เวทนา เพิ่มเติมเข้าไปจากการดูกาย
สติช่วงนั้น บางวันก็มาก บางวันก็น้อย แล้วแต่...ไม่แน่ ไม่นอน
แต่ความคิดมันไม่หยุด คิดพิจารณาตลอด กายรู้สึกอย่างนี้...เวทนาตอนนี้คือเวทนาอะไร
สติมีไม่ตลอด ก็เพราะสติมันเป็นอนิจจัง....แน่ พระซนก็คิดแบบนี้อีก พิจารณาธรรม
แต่ก็แปลก พิจารณาธรรมยี่หยุดคิดยากจัง คล้ายๆ ตอนที่ฟุ้งธรรมะเลย
พยายามบริกรรมเพิ่มไปบ้างมันก็พอหยุดคิดได้หน่อย แต่เดี๋ยวก็เอาอีกแล้ว.....พิจารณา

การที่พระซน พยายามเพ่งเพียร ให้มีสติแบบนี้ ตามตำรา ที่ว่าด้วยสติปัฏฐาน
สิ่งหนึ่งที่แปลกไป คือ ไม่เคยหาวเลย สังเกตุตัวเองอยู่ ...เอ้...ไม่หาวเลย แปลก
ไม่ง่วงนะ กลางวันไม่ง่วง แต่ถ้านอนก็หลับ ...
และที่สำคัญเวลาจำวัด (นอนหลับน่ะแหละ) นอนท่าไหนตื่นมาก็ยังอยู่ท่านั้น
เป็นอย่างงี้ทุกคืน... เอ้...หรือว่าเราพลิกไป พลิกมาแล้วกลับมาอยู่ท่าเดิม
"ท่านนอนได้นิ่งมาก" พระมหา เพื่อนพระซนทัก....เอ้ หรือว่าเรานอนท่าเดียวทั้งคืนหว่า
ไม่เปลี่ยนท่าเลยเหรอ แปลกนะ ...แต่ฝันนะ ฝันเยอะด้วย

จะอะไรก็ตาม การมีสติแบบนี้ นับวัน ความคิดก็ลึกซึ้งขึ้น คิดพิจารณาธรรม...เข้าใจลึกซึ้งจังเลย
เทศน์เก่งนะ ใครมาถามธรรมะ รับรองตอบได้เป็นช่อตๆๆ
แม้จะเป็นเรื่องยากๆ เช่น อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท  ก็อธิบายได้ สบายมาก
จนคนถามชม...ท่านรู้ธรรมะดีจังเลย จนพระมหาเปรยๆ ว่าจะชวนไปสอนเด็กนักเรียน

ใครจะรู้ อาการผิดปกติบังเกิดกับจิตพระซน ....เครียด.... เครียด โดยไม่มีเหตุผลประกอบด้วย
เคยดูทีวีนะ ช่วงนั้นเด็กวัดมาล้อมวงดูบอลกัน พระซนไปนั่งดูบอลกะเค้าด้วย เอ้า ก็ระมัดระวัง มีสติๆๆ
เพ่งไปที่รูป คือนักเตะที่เคลื่อนไหวในจอ...เพ่งดูๆๆ มีสติอยู่กับรูปอย่างเดียว
ปรากฏว่า ไม่รู้เรื่อง ว่าใครแพ้ใครชนะ คือไม่ได้ยินเสียง ...จริงๆ แทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ายิงเข้าประตูกันบ้างหรือเปล่า
รู้สึกว่าไม่รู้เรื่องอะไร เห็นแต่ภาพไหวไปไหวมา
แม้แต่อ่านหนังสือก็ตาม บางทีจิตเห็นแต่รูป เหลือแต่ตัวหนังสือ ไปเพ่งอยู่แต่ตรงนั้น...
เห็นเป็นกระดาษขาวๆ ที่มีตัวอะไรก็ไม่รู้ยึกยือๆ ดำๆ .....สรุป อ่านไม่รู้เรื่อง

ถึงพระซนยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติมาก ...แต่ก็แอบเก็บความสงสัยไว้ในใจ พราะต่อมเอ๊ะยังแข็งแรง อย่างที่บอก
มันเหมือนเข้าใจธรรมะลึกซึ้ง ...ลึกๆ ...มันรู้สึกไม่สบายเลย มันรู้สึกว่าทุกข์ตั้งแต่มาเจริญสติแบบนี้
"เห็นว่า โลกนี้คือทุกข์" ...น่าน ยังคิดเป็นธรรมะเข้าข้างตัวเองอีก คิดว่านี่แหละ รู้ธรรมะแล้ว
มันต้องเห็นทุกข์ก่อนไง มันถึงทุกข์ๆๆ ทุกข์โดยไม่มีเหตุผลประกอบ

นี่ถ้าไม่ไปวัดสนามใน ไม่รู้ว่าจะทุกข์แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน
รู้สึกตัวได้แล้ว..การเคลื่อนไหว ปลุกจิตออกจากการตกเข้าไปในความคิด
จึงได้ถึงบางอ้อว่า...เราไปเพ่ง !!! และอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมา
ทั้งหมด ทั้งมวล  คิด(พิจารณา)มาก...เครียด...หนักใจ
นั่นคืออาการที่เป็นผลพวงจากการเพ่ง
เพ่งๆๆ จนติด ...ไปอุปทาน ยึดมั่นอยู่กับการเพ่ง จึงติด ....ติดเพ่ง

โอ้ย...เกือบปี ที่ไปเพ่งอยู่กับ กาย เวทนา ตามที่เราเข้าใจไปเอง
แท้จริง แค่รู้สึกตัว อยู่กับการเคลื่อนไหว จิตก็จะเห็นความคิด
แล้วก็รู้ว่า ทั้งหมด มันคือการคิด...คิดต้องการที่จะไปรู้ กาย... คิดต้องการไปรู้เวทนา
แล้วก็ไปสร้างกระบวนการไปรู้ๆๆ เพ่งๆๆ เพราะอยากรุ้ให้มากๆ ให้ต่อเนื่อง
...เบื้องหลัง ทั้งหมด สิ่งที่ผลักกดันพระวนให้ทำเช่นนั้น....คือ ความอยาก!!  โลภะนี่เอง
อยากมีสติ อยากรูธรรมะ อยากหลุดพ้น....อยากๆๆ ทั้งนั้นเลย
เริ่มต้นผิด ขบวนการก็ผิด ผลลัพท์ก็ผิด ไม่เห็นไม่รู้จักกิเลส....เลยโดนมันครอบงำและผลัดดันไปซะ

เห็นความคิดแล้ว ใจมันก็รู้ได้ว่า อ๋อ...มันอยากนะ มันคิดต้องการจะให้ได้อย่างนู้น อย่างนี้
มันผลักดันเราไปทำ ไปเพ่งๆ ตามที่เราเข้าใจ ...ความอยากมันเกิดจากคิด ...คิดแล้วหลงความคิด
แล้วการมีสติ ก็ไม่ใช่ไปเพ่งที่กาย ไปเพ่งที่เวทนา ต้องคอยแบ่งเวลาไปรู้ทีละอย่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่แทบจะตลอดเวลา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง รู้สึกต่างๆ นึก คิด ฯลฯ
ถ้าไปรู้ทีละอย่าง แล้วลืมอีกอย่าง จิตจะได้เรียนรู้ความเป็นจริงหรือ

ปัญญา = รู้รอบกองสังขาร ...รู้ทีละอย่างจะรู้รอบได้ยังไง ...เมื่อทุกอย่างมันมีอยู่ตลอด...
มันก็ผิดปกติเท่านั้น อ่านหนังสือยังไม่รู้เรื่องเลย....โอ้ย...หลงทางอยู่เกือบปี

พระซนนั่งเคลื่อนไหว สร้างจังหวะ อยู่วัดสนามในเพียง 1 เดือน กับ 10วัน
วันนั้น วันธรรมดาๆ นั่งสร้างจังหวะที่โบสถวัดสนามใน ลมเย็นๆ เห็นใบไม้ไหว
อยู่ดีๆ จิตมันตื่น พลันจิตก็โปร่งโล่งไปหมด
รู้สึกว่ามันกว้างขวาง รู้กว้างไปสุดประมาณ มันโล่งอย่างบอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
ทีนี้ ตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร รู้สึกยังไง จิตคิดอะไร รู้หมด
เห็นทุกอย่าง ได้ยินเสียงไปไกลๆ ลมกระทบตัวก็รู้สึก นั่นๆๆ คิดแล้ว...
รู้ได้พร้อมกัน ไม่ต้องไปรู้ทีละอย่าง...ไม่เพ่งแล้ว รู้ได้เอง แค่รู้สึกตัว
ตราบใดที่รู้สึกตัวอยู่ ตราบนั้น จะเห็นความคิด...แล้วก็ไม่หลงเข้าไปในความคิด
มันเกิด แล้วก็ดับไปๆ ...ถ้าไม่ไปคิดปรุงแต่งกะมัน
จิตก็เบา สบาย รู้สึกสดชื่น ไม่ขมุกขมัว ไม่หนัก เหมือนตอนที่เพ่ง

นี่แหละ จึงได้รู้ชัด ว่าการมีสติ ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่อย่างที่แล้วๆ มา...โธ่ๆๆ
ความอยากนี่มันสำมะคัญจริงๆ ไม่รู้จักมันจริงๆ แล้ว พาเราไปเมาตำรา (ฟุ้งธรรมะ)บ้าง ไปติดเพ่งบ้าง
โห...เป็นแต่ละอย่าง มันทุกข์จริงๆ แถมไม่รู้ตัวว่าเป็น ยังทำต่อด้วยใจมุ่งมั่น
**** มีศรัทธาที่เกิดจากความคิดเข้าข้างตัวเอง ***
ถ้าหลุดออกจากมันแล้ว...มันโปร่ง สบาย อารมณ์ดี อ่านข่าวอะไรก็ไม่เครียดแล้ว
มันโล่ง จิตเบา ไม่หนักเหมือนเมื่อก่อนแล้ว...ตอนนี้ ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ
พระซนนั่งมองไกลๆ ไป ไม่ได้คิดอะไร จิตใจเฉยๆ คิดอะไร ก็ไม่ไปปรุงแต่งกะมัน
ท่ามกลางแมกไม้ดกครึ้มของวัดป่ากลางกรุง ลมโชยเอื่อย ไบไม้ปลิวครู้ดพื้นเบาๆ เป็นจังหวะตามแรงลมเอื่อยจะพาไป

" เราไปบอกคนเมาว่า เจ้าเมาแล้ว มันก็ตอบว่า กูไม่เมาๆ "...คำครูบาอาจารย์ผุดล่องลอยมาในความคิดพระซน...

จากคุณ : ทางนี้
เขียนเมื่อ : 7 ก.พ. 55 22:16:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com