พระซน 20 หลวงพ่อสมบูรณ์
"ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจากจิตหลงเข้าไปในความคิด"
พระซนกราบแล้วกราบอีก เรานี้โชคดีเหลือเกินที่ได้มาพบหลวงพ่อเทียน
แม้ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้ให้ชนรุ่นหลังได้แกะรอยตามทางที่ท่านกรุยไว้
เราคงทำบุญมาไม่น้อย ได้มาพบครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางสว่างไสวกับจิตใจ ให้ลูกช้าง....พระซนกราบๆๆ
...ข้าพเจ้า ขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระสงฆ์ ผู้ไปแล้วด้วยดี ด้วยเศียรเกล้า...
กายที่เคลื่อนไหวหนึ่ง ความคิดหนึ่ง และจิตที่โปร่งโล่งเบา รับรู้อยู่อีกอย่างหนึ่ง
สิ่งทั้ง 3 ดูเหมือนว่าจะแยกออกจากกันเป็นส่วนๆ
ทุกครั้งที่พระซนสร้างจังหวะหรือเดินจงกรม หรือแม้แต่อิริยาบถธรรมชาติ ไม่ได้อยู่ในรูปแบบการปฏิบัติ ในบางเวลา
พระซนจะ “เห็น” ได้แบบนี้ ...กายกับจิต มันแยกออกจากกัน มันเป็นคนละสิ่ง
ในโลกกว้าง ว่าง โล่ง โปร่ง มีกายที่เคลื่อนไหว และใจที่นึกคิด สลับหยุดนิ่ง เสมือนอยู่ในความว่างนั้น
เข้าใจความหมายของ รูปกับนาม ว่าเป็นคนละสิ่ง....
สิ่งเหล่านี้เกิดได้เพียงแค่เคลื่อนไหว ....และ...รู้สึกตัว...
พระซนถือว่า หลวงพ่อเทียน คือปรมจารย์ ผู้เปิดโลกแห่งการเจริญสติ
เปิดแนวทางใหม่ให้กับการปฏิบัติธรรม นอกรูปแบบการนั่งสมาธิหลับตา ที่เราคุ้นชินกันมานาน
ภาพของคำว่า ปฏิบัติธรรมในสมัยก่อน คือพระ หรือฆราวาสที่ ใส่ชุดขาวนั่งขัดตะหมาด
เอามือประสานกันที่หน้าตัก และหลับตา....นั่นคือการ "ปฏิบัติธรรม"
เหมือนเป็นโลโก้ ติดอยู่ในใจชาวสยามประเทศมาช้านาน
พระซนคิดว่าสมัยนั้น ตอนหลวงพ่อเทียนยังมีชีวิตอยู่ท่านคงต้องฝ่าฝันอุปสรรค คือคำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบ
กับการนั่งลืมตา ยกมือแก่วงไปมา แล้วบอกว่านี่คือ การปฏิบัติธรรม...
มันดูแหม่งๆ ขัดกับความรู้สึกของคนทั่วไป รวมทั้งพระซนตอนย่างก้าวแรกที่เข้ามาในวัดด้วย
ท่านคงต้องอุเบกขากับคำต่อว่าต่อขานมาอย่างสมบุก
เชื่อว่านานมาก เพราะหลายปีนะ กว่าคนทั่วไปจะเข้าใจวิธีของหลวงพ่อ
เข้าใจว่า ท่านสอนอะไร เข้าใจว่าภายนอกเป็นแค่เพียงรูปลักษณ์
อัจฉริยะซ่อนเร้น ...เทคนิคใช้การเคลื่อนไหวเพื่อปลุกความรู้สึกตัวให้จิตหลุดออกจากความคิดปรุงแต่ง..
น้อยคนจะรู้ ...นานวันกว่าจะเข้าใจแพร่หลาย
จนท่านลาไปแล้ว เราเลยไม่ได้พบตัวพร้อมลมหายใจของท่าน....
ซึ่งกลายเป็นตำนาน เล่าขานกันไม่รู้จบ โดยเฉพาะบุคลิกที่ ปล่อยวาง เป็นธรรมชาติของท่าน
ใครอ่านพุทธศาสนานิกายเซ็น...ต้องนึกถึงหลวงพ่อเทียนแน่ๆ
ท่านเคยแม้กระทั่งไหว้โยมด้วยซ้ำ..!!
....”การไหว้นั้น คนเข้าใจว่าไหว้คนอื่น ...ที่แท้ เราไหว้ตัวเราเองต่างหาก”....
ตอนนั้น ท่านไหว้เป็นตัวอย่างแก่เยาวชน
วันงานต่างๆ ของวัดสนมใน จะมีครูบาอาจารย์จากสาขาต่างๆ ของวัดเรียกว่า “ในสายงาน” เดินทางมาพำนัก
กุฎิเล็กๆ ที่มีอยู่ประมาณ 30 กุฏิ ก็จะเต็ม จนฆราวาสผู้ติดตามมาจากต่างจังหวัด ต้องนอนที่ศาลารวม
วันงาน ถือเป็นวันที่ผู้ปฏิบัติธรรม จะเต็มอิ่มไปด้วยธรรมะที่หลากหลาย จากครูบาอาจารย์ ทั่วสารทิศ
"หลวงพ่อสมบูรณ์ จากกระบี่ พักอยู่ที่กุฏินั่นน่ะ ไปกราบท่านซิ " หลวงพี่ศิษย์เก่าวัดสนามในบอกกะพระซน
ภาพแรกที่พระซนเห็นหลวงพ่อสมบูรณ์ ผู้ซึ่งอนาคต จะเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตพระซน
สำคัญยิ่งกว่าใครๆ ...ชนิดที่การตายแทนท่านนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดายเหลือเกิน สำหรับพระซน
แต่วันนั้น...วันแรกที่ได้พบท่านนั่งอยู่ในกุฏิเล็กฝาเป็นไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าแฝก...ท่านดูธรรมดาๆ เหลือเกิน
ธรรมดาจนพระซนไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก...
ครูบาอาจารย์หลั่งไหลมาวัดสนามใน พลัดกันขึ้นเทศน์ ด้วยธรรมะที่แสนเฉียบคม
สาธุชนมาอยู่กันเต็มวัดแทบไม่มีที่เดินจงกรม
การให้ความสำคัญกับหลวงพ่อธรรมดาๆ องค์หนึ่ง จึงมีข้อจำกัด...
“ดูจิตใจซิ สงบหรือไม่สงบ” นั่นคือคำกล่าวทักทายของท่าน
“เป็นยังไง ใจเฉยได้ไม๊ ดูจิตใจซิ นิ่งไม๊ มันคิดอะไรไม๊” ท่านกล่าวย้ำอีก พระซนก็ปฏิบัติตามท่านดู
“มันก็เฉยๆ นะครับ ไม่ได้คิดอะไร” พระซนตอบไปตามเนื้อผ้า...ตามในสิ่งที่ตนรู้สึก
ก็ไม่เห็นมีอะไร ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร....อันนี้พระซนคิด
นั่งอยู่กับท่านพักเดียวก็ขอลา กลับกุฏิมาด้วยไม่คิดอะไร พยายามรู้สึกตัวเอาไว้เท่านั้น
ก็ลองพิจารณาตามที่ท่านสอน เห็นจิตที่นิ่ง ไม่มีความคิดเอาไว้ ...มันก็ดูไม่มีอะไรแปลกใหม่
เดินตามทางเดินที่เป็นพื้นดินปนทราย เดินเตะใบไม้กรอบที่ร่วงหล่นเล่นตามทาง
...สำหรับหลวงพ่อสมบูรณ์ วันนั้น ท่านก็คือครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง....
...แค่นั้น...
หลังจากนั้น ก็ไม่ได้พบท่านอีก หลวงพ่อสมบูรณ์ ก็ลืมเลือนไปจากความสนใจของพระซน หลายปีทีเดียวเชียว
“มีตา หามีแววไม่” เป็นคำพังเพย ที่ต้นตอน่าจะมาจากหนังจีน ใช้ได้เลยที่เมืองไทย โดยเฉพาะที่บางกรวย นนทบุรี
อย่างน้อยก็มีพระรูปหนึ่งที่ตาขุ่นไปด้วยธุลี จนหาแววไม่มี
มองข้ามผ่านครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะเปิดประตูแห่งความพ้น ให้กับพระซนได้
อาบน้ำล้างหน้า ล้างตาได้ แต่ก็ไม่ทำให้ตาใน สะอาดสดใสขึ้น
บางที ...บางทีมันก็คงเป็นบารมี ที่ยังไม่เพียงพอ ....บุญนั้นมี แต่บารมีไม่พอ
พระซนก็ยังคงเดินทางต่อ ในเส้นทางที่ตนพบ และมั่นใจว่าเป็นทางที่จะพาตนไปสู่เส้นชัยได้
เส้นทางนี้ยังคงอีกยาวไกล หากไร้ซึ่งการเห็นจุดหมายปลายทาง
* * * * * * * * * * * * * * *
เปรี้ยง !!! เสียงฟ้าผ่า ดังสนั่นลั่นวัด
หลวงพี่ตัน ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงในกุฏิใกล้ต้นนุ่น จุดเกิดเหตุ...มารู้สึกตัวอีกที ขณะพบตัวเองนอนอยู่บนพื้น
สรรพสิ่งเสมือนหยุดนิ่ง ด้วยความตะลึง ในปรากฏการณ์ธรรมชาติ สุดรุนแรงนี้
ผลกระทบในทันที คือพระและญาติโยม บนศาลาที่ห่างออกไปไม่ไกล กลิ้งไปคนละทิศ หงายท้องไปคนละท่า
ส่วนผลกระทบในระยะยาว หลวงพี่ตัน ค่อยๆ เปลี๋ยนไป๋
“วันนั้น แสงล่ะสว่างจ้า จนเขียวเลย ซัดลงมาที่ต้นนุ่น สว่างวาบไปหมด” หลวงตาเชื่อมกล่าว
“หลายวันนี้ หลวงพี่ตัน ท่านดูซึมๆ ไปนะ” เสียงก๊อซซีปเพิ่มเข้ามา
พระซนนั่งสร้างจังหวะยกมือไปมาอยู่ ก็เอี้ยวตัวไปมอง เห็นหลวงพี่ตันเดินด้วยอาการแปลก จริงๆ ด้วย
เหมือนดูหนังภาพสโลว์นิดนึง การเคลื่อนไหวดูไม่เป็นธรรมชาตินะ ท่านดูอืดๆ และสายตาก็ดูเหม่อลอย
ไม่ได้การ แบบนี้ เห็นที ต้องพาไปหาหมอแล้ว....
ตัดภาพไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญา...
“ท่านได้รับความกระทบกระเทือนอาการเก่าของท่านเลยกำเริบ”
หมอบอก ในขณะพระซนกำลังมองไปที่ “เธค” กลางสนาม...เป็นศาลาเปิดโล่ง ที่เปิดเพลงเสียงดัง
และก็มีคนหลายคนในชุด “คนไข้ ” แด้นซ์กันกระจายในเธคนั้น
“แสดงว่าท่านเคยเป็นมาก่อน” พระซนหันมาตั้งคำถาม
“ใช่ครับ จริงๆ ท่านไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่ก็ควรพักรักษาตัวที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะกำเริบ ซึมมากกว่านี้” หมอแนะนำแกมบังคับ
“ท่านอยู่ที่นี่ก่อนนะ ท่านตัน” “ครับ” พระตัน ยังคงสนทนาตอบโต้ได้ปกติ
ไม่ได้มีอาการที่ขาดการสื่อสารจากโลกภายนอก....เพียงแต่กิริยาอืดลงเล็กน้อย และตาลอยตลอด
ไม่นาน... ไม่ถึงเดือน ที่พระซนกลับมาเยี่ยมท่านอีกที ดูท่านเป็นปกติขึ้น มีแค่เคลื่อนไหว ที่ยังช้าเล็กน้อย
ตาไม่ลอยแล้ว....พระซนมองเข้าไปในตา ...”หลวงพี่ได้ไปดิ้นบ้างป่ะ (สมัยนี้เรียกว่าแด้นซ์)”
“หมอให้ไปเต้นอยู่ พอเหงื่ออกแล้วก็ค่อยยังชั่ว มันค่อยดีขึ้นหน่อย”
อืม...ความรู้สึกตัว ทำให้จิตออกจากความคิดได้อย่างอัศจรรย์จริงๆ
แม้แต่ในโรคพยาบาลประสาท ก็ยังให้คนไข้เคลื่อนไหวเยอะๆ... .เปิดเพลงให้เต้น
เพื่อออกจากการจมลงในความรู้สึก ที่ครอบงำด้วยโรคทางระบบประสาท
ควบคู่กับการกินยา เพื่อปรับระบบให้เข้าที่
มันเป็นธรรมชาติที่เป็นคู่ปรับกันจริงๆ ความคิด กับ ความรู้สึกตัว
เพียงแต่เราไม่รู้จักเท่านั้นเอง.....
“อย่างงี้ อีกไม่กี่วันหมอเค้าคงให้หลวงพี่กลับวัดได้แล้ว ใช่มะ”
พระซนมองไปที่ตาของหลวงพี่ตันอีกที เพื่อคอนเฟิร์มว่าท่านพร้อมออกจากที่นี่แล้ว
“ยังๆ หมอยังไม่ให้ออก”........”อ้าว ทำไมล่ะ ก็ดูหลวงพี่โอเคแล้วนี่”
“วันก่อน พอรู้สึกดีขึ้น รู้สึกตัวขึ้น ผมก็มานั่งสร้างจังหวะ นั่งยกมือไปมา
พอดีหมอเดินมาเจอ...หมอบอกว่า เอ๊ะ นี่ยังไม่หายนี่”
“เอ้ยยยย หลวงพี่” พระซนอุทานพร้อมกลั้นฮาไว้ในใจ “ หลวงพี่อย่าไปสร้างจังหวะดิ
นั่งเฉยๆ นะ ไปยกมือแบบนั้น หมอเค้าก็นึกว่าหลวงพี่ยังไม่หายอ่ะดิ.....”
จบแค่นี้ละกัน ภาคนี้
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 23:00:42
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 22:53:50
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 22:51:54
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 55 22:50:24