ใน วาเสฏฐสูตร
นี้ แสดงให้เห็นถึง การให้ความสำคัญว่า
คนเราจะประเสริฐ คือ เป็นพรหมนั้น
ทั้งพรหมณ์ และพุทธ ต่างก็แปลคล้ายๆ กันคือ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นทางสู่ความเป็นพรหมผูู้ประเสริฐ
แต่ วิธีปฏิบัติ ของทั้งสองศาสนานั้น ต่างกัน
คติ และ จุดหมายก็ต่างกัน
จึงทรงแสดงว่า ความเป็นผู้ประเสริฐที่แท้จริงนั้น อยู่ที่การกระทำ หาใช่อยู่ที่ชาติกำเนิดไม่
ในยุคนั้น วรรณะพรหมณ์จะทะนงตนมากว่า พวกตน เกิดมาจากปากของพรหม ตั้งแต่รุ่นทวดของทวดของทวดสืบมา ปฏิบัติเพื่อความเป็นพรหม
แต่ไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับพรหม
เมื่อจะทรงแสดง ว่า ความเป็นผู้ประเสริฐแท้จริงนั้น ต้องปฏิบัติอย่างไร
ก็ทรงซักไซ้ไล่เลียง วาเสฏฐะมานพ หลายประเด็น เพื่อให้ทราบว่าที่ได้ร่ำเรียนมานั้น อาจารย์ตนสอนอย่างไร ให้เหตุผลมาแล้วอย่างไร
--------------------------------------------
เรื่อง วาเสฏฐะและภารทวาชมาณพ นี้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากพระสูตร
๑๓. เตวิชชสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%E0%B5%C7%D4%AA%AA%CA%D9%B5%C3&book=9&bookZ=33
หรือ จาก ฉ . มหาจุฬา เลื่อนลงไปที่ พระสูตรที่ ๑๓นะคะ
http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd09.htm
----------------------------------------------
จะเห็นว่า
เมื่อจะทรงนิยาม คำว่า พรหม หรือพราหณ์ ที่แปลว่า ผู้ประเสริฐ หรือหนทางสู่พรหมที่ประเสริฐนั้น ทรงท้าวความถึงคำสอนของพรหมณ์ว่า พรหมคืออะไร ปฏิบติอย่างไร แล้วพวกพรหมณ์นั้น ปฏิบิติอย่างไร
อธิบายด้วยว่า
ที่พวกพราหณ์ยึดถือว่า ตนประเสริฐนั้น
ที่พวกพราหณ์ยังมัวเมาในกามกิเลส เรียกว่าประเสริฐหรือไม่
ยังเกี่ยวข้องในสตรีนั้น ประเสริฐหรือไม่
ยังมีจิตจองเวร นั้น ประเสริฐหรือไม่
.....
....
....
แล้วทรงแสดงทางไปพรหมโลก เริ่มจากศีลสามระดับ ไปจนถึงอัปปมัญญา๔
ในพระสูตร " เวเสฏฐสูตร"นั้น มาณพทั้งสอง ฟังธรรมและ ถึงไตรสรณะคมน์เป็นครั้งแรก
ส่วน ใน"เตวิชชสูตร" นั้นทั้งสองกล่าววาจา ขอถึงพระโคดมเป็นสรณะทั้งที่สอง
หลังจากนี้ไป สองสามวัน ก็ได้บรรพชา แล้วได้อุปสมบท และ บรรลุพระอรหัต ใน "อัคคัญญสูตร"
-----------------------------------
การแก้ทิฏฐิ พวกที่ถือลัทธิเดิมนั้น มีให้อ่านได้ในหลายพระสูตร
หลายๆ ครั้ง ทรงใช้วิธี ท้าวความ ความเชื่อเดิม ว่าตนเข้าใจอย่างไร
และปฏิบัติตนอย่างไร พ่อแม่ครูอาจารย์ตน ปฏิบัตตนอย่างไร
แล้วทรงถามย้อนกลับไปใน "สิ่งที่เขายึดมั่น" (ในที่นี้คือ ยึดมั่นในวรรณะพราหมณ์ ของตนว่าประเสริฐโดยกำเนิด)
ว่า ความคิด และวิธีปฏิบัติดังกล่าว จะไม่ได้ผลดังที่คิด เพราะอะไร
แล้วจึงทรง แสดง ทิฏฐิในศาสนาพุทธ ว่าการจะได้ผลดังที่ต้องการนั้น
ในพุทธให้ทำอย่างไร
จนกระทั่ง ทำให้ผู้ที่มีทิฏฐิที่ผิด ยอมจำนน ต่อเหตุผลคำอธิบายของพระศาสดา ในที่นี้ ก็ทำให้สองมานพ นั้น คลายความยึดมั่นในความเป็นวรรณะพรหมณ์ของตน
จากนั้นก็เช่นทุกๆ ครั้ง เมื่อผุ้ฟัง คลายความยึดมั่นในทิฏฐิเดิม ก็เหมือนเทน้ำที่เต็มแก้วออก ให้มีที่ว่างรับ น้ำอมฤตธรรมอันประเสริฐ
ใน "อัคคัญญสูตร" ทรงสรุปจบท้าย ด้วย"ธรรม" ว่าธรรมเท่านั้นที่ประเสริฐ ธรรมเท่านั้นเป็นเลิศ จนทำให้สองมานพ บรรลุอรหันต์ในที่สุด
----------------------------------------------------
"อัคคัญญสูตร"
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=11&A=1703&Z=2129
[๗๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็บรรดาวรรณะทั้งสี่นี้ วรรณะใด
เป็นภิกษุ สิ้นอาสวะแล้ว มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
วางภาระเสียได้แล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว หมดเครื่องเกาะเกี่ยวในภพแล้ว
หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ วรรณะนั้นปรากฏว่า เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลาย
โดยธรรมแท้จริง มิใช่นอกไปจากธรรมเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ความ
จริงธรรมเท่านั้นเป็นของประเสริฐที่สุดในประชุมชน ทั้งในเวลาเห็นอยู่ ทั้งใน
เวลาภายหน้า ฯ
----------------------------------------
มีอีกหลายพระสูตร ที่ แสดงให้เห็นว่าทรงแก้ทิฏฐิ หรือความกระด้างกระเดื่อง ของผู้คนอย่างไร มีพระสูตรที่อ่านแล้วทึ่งและสนุกหลายพระสูตร
เช่น
"อัมพัฏฐสูตร" (มานพหนุ่มบังอาจ ดูหมิ่นชาติตระกูลพระศาสดา)
"ปาฏิกสูตร"(ชีเปลือย ปาฏิกบุตร ป่าวประกาศไปทั่ว ว่าพระศาสดาก็เท่านั้น หากได้พบ จะให้พระศาสดา แสดงปาฏิหารย์ ๑อย่าง เขาจะแสดง ๒ อย่างให้มากกว่าพระศาสดาทุกครั้งไป ..... พอถึงวันที่ พระศาสดาเสด็จไป ยัง อารามของชีเปลือยผู้นี้..... จะเกิดอะไรขึ้น??? .... ขอเชิญหาอ่านกันต่อเอง :) )
---------------------------
การใช้คำ ซ้ำกับ พวกพราหณ์นั้้น มีที่มาที่ไป
ไม่ใช่การแย่งคำมาใช้
พวกพราหมณ์ต่างหาก ยึดถือคำเหล่านั้นแต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ตัวยึดถือ
ทรงถามซักไซ้โดยใช้คำที่พวกเขา"ยึดมั่น" เพื่อทวนความคิดความเชื่อว่า ที่เขาเข้าใจนั้น ใช่แล้วหรือ?
จริงๆ การใช้คำที่ซ้ำกัน กับพวกพราหมณ์นั้นไม่ใช่แค่คำว่า "พราหมณ์" เท่านั้น
ยังมีคำอื่นอีก เช่น คำว่า "ยัญ" ที่ทรงแสดง ว่ายัญ ลงทุนน้อย ไม่ต้องฆ่าสัตว์ ไม่ต้องใช้ทรัพย์มากมาย
แต่ได้ประโยชน์กว่า นั้นเป็นอย่างไร
("กูฏทันตสูตร")
เป็นต้น
-----------------------------------------
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้
เพื่อจะเล่าสู่กันฟัง ว่า คำ หรือ ความหมาย ที่มาของนิยามต่างๆ นั้น
ไม่ใช่ มาปรากฏ บน หน้ากระดาษ พระไตรปิฎก แบบมั่วๆ
เพียงเพื่อจะข่ม ผู้อื่นที่แปลความหมายผิดไปจากพวกตน
เนื้อหาต่างๆ ข้่างต้นนี่้
กล่าวถึงพวกพราหมณ์
ใช้คำเดียวกับพวกพรามหณ์
แต่ แสดงเพื่อหักล้างทิฏฐิที่ไม่ถูกต้องของพราหณ์
เพื่อคลี่คลายความเหลื่อมล้ำ ในการแบ่งวรรณะที่พวกพราหมณ์เอาเปรียบวรรณะอื่นเพราะถือว่า ตนเกิดมาในชาติตระกูลที่ดีกว่า
เนื้อหาพระสูตรลักษณะนี้ (ซึ่งมีมากมายมหาศาลในพระไตรปิฎก)ย่อมไม่ใช่ พวกพราหมณ์ เขียนขึ้นแน่นอน
ต้องเขียนโดยผู้อื่นที่ไม่ใช่ พราหมณ์ แน่นอน
ความเข้าใจว่า มีการยัดเยียดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพระไตรปิฎก โดยพวกวรรณะพราหมณ์ ย่อมเป็นไปไม่ได้ แน่นอน!!
"ถ้าไม่ใช่คำตรัสของพระผู้มีพระภาค ย่อม ไม่สามารถ แสดงได้แทงตลอด ทั้งเหตุในอดีต และคติที่เป็นไป เช่นนี้"
------------------------------------------
หากท่านใด ต้องการทราบเรื่องราวอื่นๆ พระสูตรอื่น ที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึง
ก็สามารถหาอ่านเองได้ นะคะ ถ้าไม่อ่านรายละเอียด ก็จำมีคำถามในใจเรื่อยๆไป
-----------------------------------------
(โปรดสังเกตุว่า ทั้งวาเสฏฐะและภารทวาชมาณพ เป็นคนเรียนเก่งในยุคนั้น ก็เรียกว่าเป็น ผู้มีปัญญาในสังคมนั้นทีเดียว และ มีอินทรีย์แก่กล้ามาก ใกล้ๆ จะได้บรรลุอรหัตผลแล้วด้วย
น่าสนใจว่า ถ้าสองคนนั้นไม่ได้พบพระศาสดา จะบรรลุธรรมไหม?? )
(แล้วตัวเรา(ผู้โพส)นี่ล่ะ???
ไม่ต้องตอบละ... รีบเร่งทำความเพียรต่อดีกว่า...)
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 15:18:50
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 15:11:31
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 15:04:51
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 13:36:07
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 13:22:18
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 13:04:07
แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 55 12:58:43